ขวัญรดาลองหลับตาลง พยายามตั้งสมาธิไปที่ระบบแมวกวักที่เคยปรากฏขึ้นมาพร้อมกับลองเรียกในใจ
'ระบบ... มีวิธีหาเงินอย่างสุจริตที่ลงทุนน้อยที่สุดสำหรับครอบครัวเราตอนนี้ไหม' เธอตั้งคำถาม
ติ๊ง!
ราวกับตอบรับคำขอของเธอ หน้าต่างแสงสีทองพลันปรากฏขึ้นในม่านตาอีกครั้ง แต่คราวนี้มันไม่ได้แสดงภารกิจใหม่ มันกลับแสดงหน้าต่างสถานะความสุขปัจจุบันขึ้นมาเหมือนเดิม...แต่มีบางอย่างต่างออกไป
ข้อความสถานะของแม่ช่อฟ้ามีแถบสีเขียวกะพริบอยู่ที่บรรทัดใหม่ซึ่งถูกเพิ่มเข้ามา
[แม่ช่อฟ้า: 30/100 ความสุขเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ทักษะที่ซ่อนเร้น: การทำอาหารระดับสูง]
'ทักษะที่ซ่อนเร้น? การทำอาหาร?' ขวัญรดาขมวดคิ้ว... จริงอยู่ว่าแม่ทำอาหารอร่อย แต่ก็เป็นเพียงกับข้าวบ้าน ๆ ธรรมดา จะเอาไปสร้างเป็นอาชีพได้อย่างไร?
แต่แล้วในวินาทีนั้นเอง ภาพความทรงจำอันเจ็บปวดจากชาติภพแรกก็ฉายซ้อนขึ้นมาอย่างรุนแรง มันไม่ใช่ภาพของเธอเอง แต่เป็นภาพที่เธอในวัยเจ็ดขวบนั่งฟังลุงระบายความคับแค้นใจให้ยายฟังด้วยความโกรธเกรี้ยว...
มันคือช่วงเวลาหลังจากที่ครอบครัวของเธอแตกสลาย... หลังจากที่แม่หอบหิ้วเธอกับมนัสหนีกลับไปอยู่บ้านตายายที่นครสวรรค์...ในตอนที่เธออายุห้าขวบ 'จะว่าไปไม่ใช่ตอนนี้หรอกหรือ' เธอคิดอย่างหวาดหวั่น
ก่อนที่คำพูดของลุงจะดังก้องอยู่ในหัวของเธอ "ก็เพราะผัวมันนั่นแหละแม่!" เสียงของลุงในความทรงจำแสดงความเกรี้ยวกราด "พอถูกหวยได้เงินมาหน่อยก็ทำตัวใหญ่โต!"
ในตอนนี้ดูเหมือนว่าขวัญรดาจะจำคำพูดของลุงได้แม่นว่า...ป๊าถูกรางวัลที่ห้าเป็นเงินถึงหนึ่งหมื่นบาทเลยทีเดียว! ซึ่งเงินหนึ่งหมื่นบาท! ในยุคที่ค่าแรงรายวันอยู่ที่หลักสิบมันคือเงินก้อนมหาศาล มากพอที่จะพลิกชีวิตครอบครัวให้ดีขึ้นได้อย่างสบาย ๆ หรือจะเป็นการทำลายให้ย่อยยับอีกก็ได้เหมือนกัน
ก่อนที่ภาพความทรงจำของจิตวิญญาณของหญิงชรานั้นจะเริ่มชัดเจนขึ้นราวกับเหตุการณ์นี้เพิ่งเกิดขึ้นไม่มีผิด... ภาพของป๊าที่เริ่มกลับบ้านผิดเวลา กลิ่นน้ำหอมแปลก ๆ ที่ติดมาตามเสื้อ และแววตาที่ว่างเปล่าของแม่ที่นั่งรอสามีกลับบ้านทุกคืน...ไม่ว่าอาม่าจะห้ามปรามอย่างไรป๊าก็ดูเหมือนว่าจะกู่ไม่กลับ
สุดท้ายในที่สุดแม่ของเธอจึงได้หอบเธอกับน้องหนีไปอยู่บ้านตายายที่นครสวรรค์ หลังจากที่แม่ร้องไห้มาหลายวัน แม่ก็ได้ฮึดขึ้นสู้และประกาศว่า "ฉันจะเลี้ยงลูกสองคนด้วยลำแข้งของตัวเอง"
เมื่อขวัญรดาคิดมาถึงตรงนี้เธอก็เห็นภาพของแม่ที่ยืนหยัดหาบขนมจีนขายด้วยตัวเองอย่างอดทนจนทำให้มีเงินเก็บก้อนหนึ่ง...และหลังจากนั้นไม่นานที่ป๊าหมดตัวและถูกทิ้งหรือส่วนหนึ่งอาจจะมาเพราะอาม่า ก็เลยทำให้เขาไปง้อแม่ของเธอและสัญญาว่าจะทำตัวใหม่
'ดูเหมือนว่าเหตุการณ์การเป็นลูกแม่ค้าของเราจะเริ่มจากตรงนั้นสินะ' เด็กหญิงครุ่นคิด ก่อนจะดีดนิ้วของตัวเองดังเป๊าะด้วยแววตาลุกโชน 'ขนมจีนน้ำยาฝีมือแม่ ไหนจะแกงเขียวหวานคั่วฟักเขียว...แม่ของเราทำอร่อยที่สุดแล้ว!'
เมื่อคิดได้ดังนี้ เธอก็ตั้งใจว่าจะต้องนำเรื่องนี้ไปคุยกับแม่อย่างจริงจังให้ได้ แต่ก่อนอื่น...เธอต้องจัดการกับระเบิดเวลาที่ชื่อว่าเงินหนึ่งหมื่นบาทนั้นเสียก่อน!
และแล้วแผนการหยิบยืมสลากกินแบ่งรัฐบาลมาให้แม่ก็ได้ถูกคิดขึ้นมาอย่างเร่งด่วน 'เราต้องห้ามแม่ด้วยว่าห้ามบอกใคร แต่เราจะทำอย่างไรให้แม่ทำตามดี' ขวัญรดารู้สึกว่าเหมือนเธอจะประสบปัญหาใหม่อีกแล้ว เนื่องจากแม่ของเธอนั้นรักครอบครัวมาก อีกทั้งยังจะเป็นเหมือนผู้หญิงยุคเก่าทั่วไปที่เป็นเหมือนช้างเท้าหลัง
'เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน...คงต้องลองเสี่ยงดูสักหน' เด็กหญิงครุ่นคิดก่อนจะเหม่อมองไปทางเจ้าทองตัวน้อย 'ใช้วิธีบอกว่ามีผีมาบอกก็แล้วกัน และให้ผีในฝันย้ำว่าหากแม่บอกป๊า บ้านของเราจะแตกเพราะป๊าจะมีผู้หญิงใหม่จากการแนะนำของเพื่อนที่โรงเชือด'
ในขณะที่ขวัญรดากำลังตกอยู่ในภวังค์ของตนเองอยู่นั้น เธอก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของน้องชายดังขึ้น ทำให้เธอหลุดออกจากความคิดอันซับซ้อน
พร้อมกับมองไปยังน้องที่นั่งห่างออกไปไม่ไกล และเห็นเขาทำท่าเหมือนกำลังยื่นของเล่นไม้ในมือให้ใครบางคนที่คนอื่นมองไม่เห็น ซึ่งหากมีคนเห็นก็อาจจะช็อกเนื่องจากจู่ ๆ ของเล่นก็ลอยขึ้นกลางอากาศได้เองราวกับมีคนรับไป
ขวัญรดามองภาพนั้นแล้วก็ยิ้มออกมา...ทั้งนี้เป็นเพราะเธอมองเห็นร่างโปร่งแสงของเจ้าทองที่กำลังทำหน้าทะเล้นแลบลิ้นปลิ้นตาเล่นกับน้องชายของตนอย่างสนุกสนาน ซึ่งดูเหมือนว่ากุมารน้อยกำลังทำหน้าที่เป็นพี่ชายเลี้ยงน้องได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
และแล้วภาพความสุขเล็ก ๆ ตรงหน้ายิ่งตอกย้ำความตั้งใจของเธอให้แน่วแน่มากยิ่งขึ้น...เธอจะต้องปกป้องรอยยิ้มนี้ของน้องและของครอบครัวเอาไว้ให้ได้ แม้ว่าต่อมาป๊าจะคิดได้ แต่ทุกสิ่งมันก็ไม่เหมือนเดิม เนื่องจากเธอรู้ดีว่าแม่ก็ยังคงระแวงป๊าอยู่ในเรื่องผู้หญิงตลอดเวลาจนกระทั่งเธอสิ้นลม
เมื่อแผนการทุกอย่างตกผลึกในใจ เจ้าตัวก็ไม่รอช้าเธอเพ่งสมาธิไปยังจุดที่เจ้าทองกำลังเล่นอยู่ แล้วส่งกระแสจิตไปหากุมารน้อยทันที
'เจ้าทอง...ฉันมีเรื่องสำคัญมาก ๆ จะให้ช่วย'
กุมารน้อยที่กำลังสนุกสนานชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหันมาพยักหน้ารับรู้แล้วค่อย ๆ ลอยตัวมานั่งขัดสมาธิเคียงข้างพี่สาวคนใหม่ของตัวเอง
'พี่สาวมีอะไรให้หนูช่วยเหรอจ๊ะ'
'อีกไม่นาน...ก่อนตรุษจีน ป๊าของฉันจะไปซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล' ขวัญรดาเกริ่น 'ฉันอยากให้เธอช่วยไปสืบดูให้หน่อยว่าป๊าซื้อแล้วเก็บเอาไว้ที่ไหน'
เจ้าทองเอียงคอด้วยความสงสัย 'แล้วพี่สาวจะให้หนูทำอะไรต่อเหรอ...หรือจะให้หนูไปแอบหยิบสลากใบนั้นมาให้พี่สาวใช่ไหม...ว่าแต่แบบนั้นมันไม่เรียกว่าขโมยเหรอจ๊ะ' กุมารทองตัวน้อยถามอย่างพาซื่อ ทั้งนี้เพราะจำได้ว่าพี่สาวเคยพูดไว้
'สิ่งที่เราจะทำนี้ไม่เรียกว่าขโมยเพราะเราไม่ได้ไปลักของใคร แต่ว่าเป็นการตัดไฟแต่ต้นลมต่างหาก' เธอเกริ่น ก่อนจะรีบอธิบายออกมาเพิ่มเติมเมื่อเห็นสีหน้างุนงงของกุมารตัวน้อย 'เจ้าทอง...เธอรู้จักสุภาษิตไทยที่ว่าตำน้ำพริกละลายแม่น้ำไหม' กุมารน้อยส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ
'มันหมายถึงการลงทุนลงแรงไปกับอะไรที่ไม่เกิดประโยชน์เลย...เหมือนเราตั้งใจโขลกน้ำพริกอย่างดี แต่สุดท้ายก็เอาไปเททิ้งในแม่น้ำจนหมด ไม่ได้อะไรดี ๆ กลับคืนมา'
เธอกล่าวพลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตของกุมารน้อย และเมื่อเห็นว่าสีหน้าของเขาคล้ายเข้าใจมากขึ้น เธอจึงได้พูดขึ้นมาอีก
'ซึ่งก็เหมือนกับเงินที่ป๊าจะถูกหวยนั่นแหละ เพราะถ้าปล่อยให้ป๊าเก็บไว้ เงินก้อนนั้นก็จะหมดไปกับเพื่อนฝูงและผู้หญิงคนอื่น...เหมือนเราเอาเงินหนึ่งหมื่นบาทไปเททิ้งในแม่น้ำ มันไม่ได้ทำให้ครอบครัวเราดีขึ้นเลย แถมยังจะทำให้บ้านเราแตกอีกด้วย'
'หนูเข้าใจแล้วจ้ะ แบบว่าพ่อแม่ของพี่สาวก็จะทะเลาะกันแบบนี้ใช่ไหม และก็จะเสียงดัง ๆ ด้วย' กุมารน้อยพูดขึ้นตามที่ตัวเองเคยเห็น
'ใช่แล้วละ แต่ว่าถ้าฉันนำเงินก้อนนั้นมาให้แม่...มันก็เหมือนเรานำเงินของครอบครัวมาเป็นเงินทุนเพื่อสร้างอนาคตของเรา และมันก็จะไม่ได้หายไปไหน แต่ตรงข้ามเงินมันจะงอกเงยขึ้นมาให้เราได้อยู่ดีกินดีกันทุกคน...รวมถึงเธอด้วย'
เจ้าทองนิ่งฟังอย่างตั้งใจ...พร้อมกับจับใจความสำคัญทั้งหมดเอาไว้ว่าสิ่งที่พี่สาวกำลังจะทำนั้น ก็เพื่อทำให้ทุกคนในบ้านได้อิ่มท้องนั่นเอง
'เข้าใจแล้วพี่สาว!' เขาตอบกลับมาเสียงหนัก 'หนูจะไปสืบมาให้พี่สาวเอง! วางใจได้เลย!'
พูดจบ ร่างของเด็กชายก็สลายหายไป ทิ้งให้ขวัญรดานั่งอยู่กับน้องชายตามลำพัง แต่คราวนี้ ในใจของเธอไม่ได้มีแค่ความกังวลอีกต่อไป แต่กำลังมีแผนการบางอย่างที่จะเริ่มต้นขึ้นด้วย
เย็นวันเดียวกัน...เมื่อเธอเห็นว่าแม่อาบน้ำและผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ในขณะที่หญิงสาวกำลังตากผ้าที่ซักสะอาดจากการเปรอะเปื้อนขี้หมูอยู่นั้น
ขวัญรดาก็เดินตรงเข้าไปหาเธอ "แม่จ๋า" เจ้าตัวเรียกขานแม่อย่างอ่อนหวาน
"ว่ายังไงลูก" ช่อฟ้าหันมาส่งยิ้มให้กับลูกสาวของตน แม้ว่าในแววตาจะอ่อนล้าจากการตื่นเช้าและทำงานหนัก
"แม่จ๋า เมื่อคืน" ท่าทางของลูกสาวที่ยืนบิดมือไปมาคล้ายลังเลทำให้ช่อฟ้าเกิดความสงสัย
"เมื่อคืนมีอะไรหรือลูก" คนเป็นแม่วางงานในมือลงก่อนจะเดินมาทางลูกสาวถามอย่างห่วงใย
"คือ เมื่อคืนหนูฝันจ้ะ ในฝันมีคุณยายท่านหนึ่งมาบอกว่า" ขวัญรดาไขว้นิ้วไว้ด้านหลัง พร้อมกับเล่าเรื่องของอนาคตออกมา ช่อฟ้านิ่งฟังลูกสาวด้วยปากอ้า ๆ หุบ ๆ
"แม่ว่าหนูคงจะฝันไปนั่นแหละจ้ะ ไม่มีอะไรหรอก" ช่อฟ้ายกมือขึ้นลูบหัวลูกสาวกล่าวปลอบอย่างอ่อนโยน
"แม่จ๋า แต่มันก็ไม่แน่นะจ๊ะ ถ้าเรามีเงินมากขนาดนั้นจริง ๆ หนูว่าแม่เชื่อไว้สักหน่อยก็ไม่เสียหาย เพราะเงินมันคมมากนะจ๊ะ" คำว่าเงินมันคมมาก ที่ไม่น่าจะออกมาจากปากของลูกน้อยวัยห้าปีทำให้ช่อฟ้านิ่งงันไป