หญิงสาวมองลึกลงไปในดวงตาของลูกสาว...ดวงตาที่เคยใสซื่อบริสุทธิ์ บัดนี้กลับมีแววของความเข้าใจและความมุ่งมั่นบางอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนฉายชัดอยู่ในนั้น
ภาพของลูกสาวหลังจากรอดชีวิตจากอุบัติเหตุเมื่อวานซ้อนทับขึ้นมา...ทั้งการร้องไห้อย่างเงียบงัน การแสดงความรักความห่วงใยต่อทุกคนในวงข้าวและตอนนี้... คำพูดคำจาที่ดูเป็นผู้ใหญ่เกินวัย...
'ลูกเรา...แปลกไปมากเหลือเกิน' ช่อฟ้าคิดในใจด้วยความรู้สึกที่ทั้งทึ่งและหวาดหวั่นระคนกัน
"ขวัญ...ไปได้ยินคำพูดแบบนี้มาจากไหนลูก" เธอถามกลับไปเสียงแผ่ว พยายามทำใจให้เป็นปกติ
"ก็คุณยายในฝันบอกหนูมาหมดเลยจ้ะแม่" ขวัญรดาตอบอย่างไม่ลังเล เธอรู้ดีว่านี่คือโอกาสเดียวที่จะฝังความคิดนี้ลงในหัวของแม่ได้
"ท่านบอกว่า...เงินเยอะ ๆ ก็เหมือนมีด ถ้าเราใช้เป็นมันก็จะช่วยให้เราสบาย แต่ถ้าเราใช้ไม่เป็น...มันก็จะหันกลับมาทำร้ายเราจนเลือดตกยางออกได้เลยนะจ๊ะ"
ช่อฟ้าถึงกับพูดไม่ออก...คำเปรียบเปรยนั้นคมคายและน่ากลัวเกินกว่าจะเป็นจินตนาการของเด็กน้อย
ขวัญรดาเห็นแม่นิ่งไปจึงขยับเข้าไปกุมมือแม่อีกครั้ง "แม่จ๋า...หนูไม่ได้อยากให้แม่เชื่อหนูทั้งหมดหรอกจ้ะ แต่ถ้ามันเกิดขึ้นจริง...ถ้าเกิดว่าสลากที่ป๊าซื้อถูกขึ้นมาแล้วพวกเรามีเงินเยอะ ๆ ขึ้นมาจริง ๆ อย่างที่คุณยายในฝันว่า...แม่อย่าเพิ่งดีใจจนบอกใครได้ไหมจ๊ะ...โดยเฉพาะป๊า หากว่าหนูสามารถนำสลากมาเก็บไว้กับตัวได้...หนูอยากให้แม่เก็บมันไว้เป็นความลับของเราสองคนก่อนนะ...นะจ๊ะแม่"
คำอ้อนวอนที่เต็มไปด้วยความจริงจังนั้นทำให้ช่อฟ้าใจอ่อนยวบ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมลูกสาวถึงได้พูดจาแปลก ๆ เช่นนี้ แต่สัญชาตญาณความเป็นแม่บอกเธอว่าแววตาของลูกในตอนนี้ไม่ได้โกหก
เธอจึงตัดสินใจที่จะยุติบทสนทนาที่น่าประหลาดใจนี้ลงก่อน หญิงสาวดึงลูกสาวเข้ามากอดเอาไว้แน่น
"เอาละ แม่เข้าใจแล้ว" เธอกล่าวเสียงเบาเป็นการรับปากแบบไม่เต็มเสียงนัก "ไม่ต้องคิดมากแล้วนะ...ลูกไปช่วยอาม่าดูน้องเถอะ"
ขวัญรดาพยักหน้ารับในอ้อมกอดของแม่ ก่อนจะผละออกมาแล้ววิ่งไปหาน้องชายที่กำลังเล่นอยู่กับอาม่า ทิ้งให้ช่อฟ้ายืนนิ่งอยู่คนเดียวด้วยความรู้สึกสับสนวุ่นวายที่กำลังถาโถมเข้ามาในหัวของตน
'ความฝันของลูก...หรือว่ามันจะเป็นลางบอกเหตุจริง ๆ แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเฮียมนตรีจะซื้อสลากเมื่อไหร่ตอนไหน เพราะหากถามตามตรง...เฮียคงไม่บอกแน่'
ในตอนนี้ขวัญรดาไม่ได้รู้เลยว่า สิ่งที่เธอได้หว่านเมล็ดลงไปในใจของแม่กำลังผลิต้นอ่อนขึ้นมาแล้ว
หลังจากมื้อเย็นที่บรรยากาศค่อนข้างจะแปลกไปเล็กน้อย ทุกชีวิตในครอบครัวต่างก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน ป๊ามนตรีเป็นคนแรกที่ล้มตัวลงนอนบนเสื่อผืนเก่า
เนื่องจากเขามีเวลาพักผ่อนเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนจะต้องลุกขึ้นไปทำงานที่โรงเชือดกลางดึก เสียงกรนที่ดังเบา ๆ ของเขาคือเสียงประกอบของค่ำคืนที่ช่อฟ้าคุ้นเคย
ทางด้านของช่อฟ้ากับสุ่นลั้ง คนทั้งสองก็ช่วยกันเก็บล้างถ้วยชามที่หลังบ้านอย่างเงียบ ๆ ต่างคนต่างจมอยู่ในความคิดของตัวเอง
โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าหญิงวัยกลางคนคิดถึงเรื่องอะไร แต่สำหรับช่อฟ้าแล้วนั้น ในหัวของเธอมีแต่คำพูดและแววตาที่จริงจังของลูกสาววนเวียนอยู่ไม่หยุด
เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น เธอจึงเข้ามาในห้องนอนรวม จัดแจงปูที่นอนบาง ๆ และกางมุ้งให้ลูกทั้งสองคน ขวัญรดาทำทีเป็นหลับไปแล้วตามน้องชายที่หลับปุ๋ยไปก่อนหน้านี้
ก่อนที่ช่อฟ้าจะนั่งลงข้างลูก มองใบหน้าที่หลับใหลไร้เดียงสานั้นแล้วก็ถอนหายใจยาว คำเตือนของขวัญรดายังคงก้องอยู่ในหู "บ้านของเราจะแตกเพราะป๊าจะมีผู้หญิงใหม่..."
เธอหันไปมองร่างของสามีที่นอนอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง... จริงอยู่ที่พักหลังมานี้เขาดูหงุดหงิดและพึ่งพาเหล้ามากขึ้น แต่เธอก็ยังเชื่อมั่นในความรักที่เขามีให้ครอบครัว...หรือว่าความเชื่อมั่นของเธอมันกำลังสั่นคลอนกันแน่?
ความไว้ใจที่เคยมีให้สามีเต็มร้อย บัดนี้กลับถูกคำพูดของลูกสาวเจาะเป็นรูโหว่เล็ก ๆ รูโหว่แห่งความระแวงที่เธอไม่เคยรู้สึกมาก่อน
'แต่ขวัญบอกว่าเฮียจะเปลี่ยนไปก็ตอนที่ถูกรางวัลสลากกินแบ่ง ในเมื่อตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา แต่ถ้าเราไม่ทำตามที่ลูกบอกแล้วถ้าเฮียถูกขึ้นมาจริง ๆ ล่ะ บ้านของเราจะยังเป็นบ้านได้อีกอย่างนั้นเหรอ' ช่อฟ้าคิดในใจวนไปเวียนมาอย่างเหนื่อยล้า
ก่อนจะตัดสินใจเอนกายนอนลงเคียงข้างลูก พร้อมกับดึงผ้าห่มผืนบางขึ้นมาคลุมให้พวกเขา และดูเหมือนว่าความอบอุ่นจากร่างกายของลูกน้อยทั้งสองจะช่วยปลอบประโลมหัวใจที่ว้าวุ่นของเธอลงได้บ้าง
ซึ่งค่ำคืนนี้คงเป็นค่ำคืนที่ยาวนาน...คืนที่เธอต้องนอนข่มตาให้หลับไปพร้อมกับคำถามและความกังวลที่ขวัญรดา... ลูกสาวตัวน้อยได้ทิ้งเอาไว้ให้
ขวัญรดาที่กำลังแสร้งหลับและทำเป็นนอนนิ่ง ๆ นั้น เธอรับรู้ได้ถึงไออุ่นจากร่างของแม่ที่นอนลงด้านข้างและสัมผัสของผ้าห่มที่คลุมขึ้นมาถึงอก เธอต้องบังคับจังหวะการหายใจของตัวเองให้สม่ำเสมอที่สุดเพื่อไม่ให้แม่จับได้ว่าเธอยังไม่หลับ
ในขณะที่เสียงกรนเบา ๆ ของป๊า...เสียงลมหายใจสม่ำเสมอของน้องชาย...และเสียงถอนหายใจยาวของแม่...ทั้งหมดคือเสียงประกอบของค่ำคืนที่เธอคุ้นเคย แต่ในวันนี้มันกลับเต็มไปด้วยความตึงเครียดที่มองไม่เห็น
ร่างกายของเด็กห้าขวบกำลังเรียกร้องการพักผ่อนอย่างหนักหน่วง เปลือกตาของเธอเริ่มหนักอึ้งจนแทบจะลืมไม่ขึ้น เธอรู้ดีว่าอีกไม่นานสติของเธอก็จะพ่ายแพ้ให้กับความอ่อนเพลีย แต่ยังมีอีกหนึ่งภารกิจสำคัญที่เธอต้องจัดการให้เรียบร้อยเสียก่อน
'เจ้าทอง...' เด็กหญิงเรียกสหายตัวน้อยของเธอในใจ 'เจ้าทอง...อยู่รึเปล่า'
'หนูอยู่นี่จ้ะพี่สาว' เสียงใส ๆ ของกุมารน้อยดังตอบกลับมาในห้วงความคิดทันที ราวกับเขารอคอยคำสั่งอยู่แล้ว
'ดีมาก...' ขวัญรดาสื่อสารต่ออย่างรวดเร็ว 'คืนนี้...ป๊าจะตื่นไปทำงานตอนสี่ทุ่ม ฉันกลัวว่าจะหลับไปก่อน เลยอยากจะย้ำกับเธออีกครั้ง...อย่าลืมตามติดป๊าไปทุกฝีก้าวนะ'
'พี่สาววางใจได้เลย!' เจ้าทองตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
แม้ว่าขวัญรดาจะได้ยินน้ำเสียงจริงจังตอบรับของกุมารทองตัวน้อยแล้วแต่เธอก็ยังรู้สึกไม่วางใจก่อนจะเน้นย้ำออกมาอีกรอบ
'เขาอาจจะแวะซื้อสลากตอนไหนก็ได้ เราจะพลาดไม่ได้เด็ดขาด เข้าใจไหม'
'เข้าใจจ้ะพี่สาว! หนูจะเฝ้าป๊าของพี่สาวไว้ไม่ให้คลาดสายตาแม้แต่วินาทีเดียว! ต่อให้หนูต้องลอยตามเข้าไปถึงในโรงเชือด หนูก็จะไป!'
ความกระตือรือร้นและความภักดีในน้ำเสียงนั้นทำให้ขวัญรดารู้สึกอุ่นวาบในอกขึ้นมาอย่างประหลาด...พร้อมกับคิดว่าโชคดีเหลือเกินที่เธอไม่ได้ต่อสู้อยู่คนเดียว
'ขอบใจนะเจ้าทอง เอาไว้ฉันจะหาขนมอร่อยมาให้กิน' จบคำกล่าวของเธอและหัวใจเริ่มเบาบางลงจากความกังวล ในที่สุดสติของหญิงชราในร่างของเด็กห้าขวบก็ย่อมพ่ายแพ้ให้กับความอ่อนเพลียต่อร่างกายเล็ก ๆ นี้
ก่อนที่เธอจะจมดิ่งเข้าสู่ห้วงนิทราที่ลึกล้ำอย่างแท้จริง...และรอคอยผลลัพธ์ของแผนการที่จะเริ่มต้นขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
หลังจากนั้นไม่นานเวลาสี่ทุ่มตรงก็ได้มาถึง ร่างสูงใหญ่ของมนตรีลืมตาตื่นขึ้นตามเวลานาฬิกาชีวิตของตนโดยไม่ต้องมีเสียงปลุก เขานอนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ พลิกตัวลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบที่สุดเพื่อไม่ให้รบกวนลูกเมียที่ยังหลับอยู่
ช่อฟ้าที่นอนหลับไม่สนิทนักรู้สึกตัวตื่นขึ้นตาม "ป๊าจะไปแล้วเหรอจ๊ะ" เธอถามเสียงแผ่ว
"อืม" นั่นคือคำตอบสั้น ๆ เหมือนกับทุกครั้ง
ช่อฟ้าลุกขึ้นไปเปิดไฟนีออนดวงเล็กที่หัวเสา แสงสีขาวนวลส่องให้เห็นแผ่นหลังกว้างของสามีที่กำลังสวมเสื้อผ้าชุดทำงานตัวเก่า เธอเดินไปยืนส่งเขาที่บันไดเรือนตามความเคยชิน
มนตรีไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเพียงแต่พยักหน้าให้เธอเล็กน้อย ก่อนจะก้าวลงบันไดและเดินหายไปในความมืดมิดของค่ำคืนโดยมีแสงตะเกียงดวงเดียวในมือ
คล้อยหลังของสามี ช่อฟ้าจึงได้ปิดประตูลงกลอนอย่างเรียบร้อย ในใจก็ได้แต่ภาวนาว่าคำเตือนอันน่าประหลาดของลูกสาวจะเป็นเพียงแค่ฝันร้าย
แต่เธอก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดีว่าหากเรื่องนั้นเป็นจริงขึ้นมา... เธอจะหาญกล้าพอที่จะเอ่ยปากถามสามีเรื่องสลากกินแบ่งได้อย่างไรโดยไม่ให้เขาระแวง...ซึ่งที่เธอไม่รู้เลยว่าลูกสาวตัวน้อยของเธอได้ส่งผู้ช่วยแสนวิเศษตามหลังสามีของเธอไปเรียบร้อยแล้ว...