LOGIN“เป็นอะไร ทำไมวันนี้ถึงซุ่มซ่ามนักล่ะ?”
เสียงทุ้มถาม เป็นครั้งแรกในรอบสองชั่วโมงที่เขาเพิ่งจะพูดคุยด้วย เหมือนไม่ใช่คำถามที่ห่วงใย แทบจะเรียกได้ว่าเป็นการต่อว่าต่อขานเสียมากกว่า “ปวดหัวนิดหน่อยค่ะ เลยรู้สึกเบลอ ๆ ขอตัวก่อนนะคะ” “ปวดหัวก็ไปกินยานอนพัก ไม่ใช่มาทำงานแล้วสร้างความวุ่นวายให้คนอื่นเขาแบบนี้ ถ้าจานพวกนี้หล่นใส่รสาล่ะ เธอจะรับผิดชอบยังไง?” อ๋อ... เขาเป็นห่วงหล่อนคนนั้นสินะ ถ้าเธอทำร่วงใส่ผู้หญิงของเขา เขาคงจะเอาเรื่องเธอถึงตายเลยสิใช่หรือเปล่า? วาสิตายิ้มให้ทั้งที่ดวงตาแดงก่ำ ก่อนจะลุกยืนขึ้นหันหลังเดินออกจากตรงนั้นไปทันที เกิดมาต่ำเตี้ยเรี่ยดินทำอะไรก็คงจะผิดไปหมด เธอไม่ได้อยากให้อุบัติเหตุแบบนี้เกิดขึ้นเสียหน่อย นอกจากจะโดนลูกชายเจ้าของบ้านต่อว่า คงจะตามมาด้วยคุณผู้หญิงของบ้านเรียกตัวให้ไปพบอีกเป็นแน่ ได้แต่ภาวนาอยู่ในใจว่าอย่าให้ถึงกับต้องโดนไล่ออกเลยเถอะนะ ถ้าจะมีอะไรที่ร้ายแรงขอแค่ตัดเงินเดือนเพียงน้อยนิดที่มีอยู่ก็ได้ “วา ถ้าแกไม่ไหวก็ไปพักเถอะ ฉันกลัวว่าแกจะทำขนมพวกนี้หกใส่คุณ ๆ เขาอีก” นางมาลาต้องถอนหายใจออกมาเมื่อมองหน้าหลานสาว ดวงตาที่แดงก่ำเหมือนคนที่อยากจะร้องไห้อยู่ตลอดเวลา นางเข้าใจว่าหลานสาวคงเป็นกังวลกับเรื่องราวในวันนี้มาก “วายังไหวอยู่จ้ะ วาไม่อยากให้ป้ามาต้องทำงานคนเดียว ไม่อยากเอาเปรียบใครด้วย เดี๋ยวคุณผู้หญิงจะได้ตำหนิวามากกว่าเดิมน่ะสิ” “แกเตรียมใจไว้เลย ยังไงเรื่องวันนี้คุณผู้หญิงต้องเรียกแกไปตักเตือนแน่ ๆ” “ขอแค่อย่าไล่วาออกก็พอป้ามา วายังอยากทำงานหาเงินส่งให้แม่ใช้อยู่” หญิงสาวหวังเพียงแค่นั้นจริง ๆ ถึงจะต้องทนมองคุณากรมีความสุขกับผู้หญิงคนนั้นทุกวัน เธอจะต้องทำใจให้ได้ เพราะไม่รู้ว่าที่อื่นจะมีงานทำ มีเงินเดือน มีเวลาให้ต้องไปเรียนได้อย่างทำงานที่นี่อีกหรือเปล่า คุณชิดชนกไม่ใช่คนใจร้าย นางคงมีเมตตากับเด็กผู้หญิงบ้านนอกที่น่าสงสารเช่นเธออยู่บ้าง ตกดึกของคืนเดียวกัน วาสิตาชอบเดินออกมายืนดูดวงดาวและพระจันทร์ที่สวนหน้าบ้าน เพราะความคิดถึงบ้านที่เชียงราย วันไหนฟ้าเปิดทำให้เธอต้องมานั่งมองก่อนจะเข้านอนในทุก ๆ คืนแบบนี้เสมอ อิจฉาท้องฟ้าที่ยังคงมีดวงดาวพรั่งพราวระยิบระยับคอยส่องแสงแม้จะมืดมิด ต่างกับชีวิตของเธอเหลือเกินทำไมช่างดูมืดมัวและอับจนหนทางเช่นนี้ได้ สายตาที่ลอบมองหน้าท้องที่ยังคงแบนราบ ชีวิตของเธอมาถึงจุดผิดพลาดแบบนี้ไปได้อย่างไร หนึ่งคืนที่พลาดพลั้งซึ่งมันไม่น่าจะเกิดขึ้นมาได้ เพียงเพราะสามเดือนที่ผ่านมาเธอได้อยู่ใกล้ชิดกับคุณากร เหตุการณ์ที่ไม่น่าเกิดขึ้นเพราะคุณากรเมาจนขาดสติ เธอจำได้ขึ้นใจว่าคืนนั้นเขาแทบจะคลานกลับมาบ้าน เพราะต้องไปงานเลี้ยงฉลองสละโสดให้ก๊วนเพื่อนที่แต่งงาน เธอต้องทำหน้าที่รอปิดบ้านแทนป้ามาลา จึงได้ช่วยเหลือเขาพากลับขึ้นไปนอนบนห้องพักด้วยความทุลักทุเล เมื่อไปถึงเตียงนอนกว้างที่ร่างกายของเธอต้องเซถลาขึ้นไปทาบทับร่างสูงใหญ่ อ้อมแขนแข็งแรงกอดรัดร่างผอมบางเอาไว้แน่น เสียงพึมพำเหมือนคนละเมอที่ฟังไม่ได้ศัพท์ ท้องฟ้าที่ช่างเป็นใจ สายฝนที่สาดเทกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย เผลอไผลไปกับรสสัมผัส จูบที่เหมือนสูบวิญญาณทำให้คนที่ไม่ประสีประสาและแอบมีความรู้สึกชอบพอปลาบปลื้มเขามานานถึงกับไม่อาจปฏิเสธได้ ปล่อยให้เขาได้เชยชมร่างกาย มอบบทรักที่แสนรวดร้าวในคราวแรก ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความวาบหวามจนยากที่จะลืมได้ลง คำว่าเป็นผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัว ห้ามให้ผู้ชายอื่นที่ไม่ใช่แฟนหรือสามีได้เชยชม สามัญสำนึกนี้ไม่ได้อยู่ในความนึกคิดของเธอเลย แต่กลับเผลอเคลิ้มฝันชวนให้อับอายและยากที่จะลืมเรื่องคืนนั้นไปได้ “วาสิตา เรื่องเมื่อคืนที่เกิดขึ้น เธอรู้ใช่ไหมว่าฉันเมา?” เสียงทุ้มถามขึ้นในรุ่งสางของเช้าวันใหม่ ทำให้เธอต้องพยักหน้าเข้าใจ ก่อนที่เขาจะหยิบเงินปึกใหญ่ออกจากกระเป๋ายื่นส่งให้ “ให้วาทำไมคะ?” “ค่าเสียหายที่ฉันทำไม่ดีกับเธอเมื่อคืนนี้” “วาไม่ได้ขายตัวค่ะ วาไม่ขอรับ” “อย่าทำให้ฉันต้องรู้สึกไม่ดี ถ้าเธอไม่รับ เธอจะเรียกร้องให้ฉันรับผิดชอบเธอหรือไง ฉันบอกเอาไว้เลยนะว่าเรื่องนอนกับผู้หญิง ฉันไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบแม้เธอจะยังบริสุทธิ์อยู่ก็ตาม” ดวงตาคมดุหันไปจับจ้องมองที่นอนที่มีรอยเปื้อนหยดเลือด เขารับรู้ได้ทันทีว่าเมื่อคืนเขาไม่ได้ฝัน ถึงแม้จะเมาหนักมากแต่ยังคงมีสติสัมปชัญญะอยู่บ้าง ความตัองการตามแบบฉบับชายแท้ย่อมมีมากเป็นเรื่องปกติถ้าเมามาย แต่ไม่คิดเลยว่าผู้หญิงที่เขามีความสัมพันธ์ด้วยจะเป็นเด็กรับใช้ในบ้าน แถมอายุก็ห่างกันมากอย่างไม่น่าเชื่อเลยหนึ่งอาทิตย์ผ่านไป ภายในสวนหลังคฤหาสน์ของครอบครัวจิตติพัฒน์ เสียงหัวเราะของคนที่มาร่วมงานดังสลับกับเสียงเพลงแจ๊สหวาน ๆ ที่เล่นคลออยู่ในงานเลี้ยงเล็ก ๆ ซึ่งจัดขึ้นอย่างอบอุ่นในวันนี้ โต๊ะยาวถูกประดับด้วยดอกไม้โทนสีขาวและสีฟ้าอ่อน สื่อถึงความสุขและการเริ่มต้นใหม่ของชีวิตเล็ก ๆ ที่กำลังจะลืมตามาดูโลก บนโต๊ะตรงกลางมีเค้กสามชั้นซึ่งตกแต่งด้วยตุ๊กตาคู่เจ้าบ่าวเจ้าสาว และเด็กทารกตัวจิ๋วที่วางอยู่ระหว่างกลาง สัญลักษณ์ของครอบครัวที่กลับมาเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง วันนี้ยาหยีสวมเดรสสีครีมที่ออกแบบให้รองรับหน้าท้องของคุณแม่ตั้งครรภ์ได้อย่างสวยงาม เธอยืนยิ้มกว้าง และมองไปรอบ ๆ สวนที่วันนี้ถูกจัดให้เป็นทั้งงานแต่งเล็ก ๆ ซ้ำอีกครั้ง รวมทั้งงานเบบี้ชาวเวอร์ เป็นการเฉลิมฉลองเพื่อต้อนรับเจ้าตัวน้อยของพวกเขา ทิวายืนอยู่ข้าง ๆ เขามองภรรยาด้วยสายตาที่ทั้งรักทั้งหวง “พร้อมไหมครับเจ้าสาวของพี่” เขาก้มลงกระซิบเบา ๆ ข้างหู "งานวันนี้มันเกิดขึ้นเพราะความรักและความเต็มใจของเราสองคนใช่ไหมคะ?" “ใช่ครับ และพี่ก็อยากจัดงานแต่งกับหยีทุกปีเลย" เขาพูดพร้อมรอยยิ้มขี้เล่นเหมือนเดิม ก่อนจะจับมือเรียวเอาไว้
รถคันหรูแล่นผ่านรั้วบ้านหลังใหญ่เข้ามา จนมาจอดสนิทที่โรงจอดรถ บ้านที่เขาคุ้นเคย บ้านที่เขาเคยเดินเข้ามาสารภาพบาปเรื่องรังแกยาหยีในวันที่เมามายและขอเธอแต่งงาน จนกระทั่งวันที่เขาทำให้เธอร้องไห้หนัก ๆ บ้านนี้ก็ไม่เคยเปิดประตูต้อนรับเขาอีกเลย แต่วันนี้เขากลับมาอย่างภาคภูมิใจอีกครั้ง รุ่งทิวาเดินออกมาจากบ้านเพื่อมารอรับลูกสาว นางยิ้มหวานทักทายลูกสาวและลูกเขยด้วยความเป็นมิตรเหมือนเคย “กลับมากันแล้วเหรอลูก” “ค่ะ แม่” ยาหยีตอบ ก่อนจะก้าวเข้าไปกอดแม่แน่น ๆ อย่างคิดถึง ทั้งที่เธอไม่ได้กลับมาบ้านแค่คืนเดียวเท่านั้น "สวัสดีครับคุณแม่" ทิวายกมือขึ้นไหว้ทำความเคารพอย่างนอบน้อม "ไหว้พระเถอะตาทิ ไปนอนคอนโดมาคงหลับฝันดีสินะ หน้าตาดูสดชื่นกันทั้งคู่เลย" "ก็ดีค่ะแม่ ได้พูดคุย ได้ปลดล็อกอะไรในใจหลาย ๆ อย่าง หยีกับพี่ทิเข้าใจกันดีแล้วนะคะ เราจะกลับไปอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม" "ถ้าลูกคิดว่าดีแม่ก็ว่าดีจ้ะ ปะ เราเข้าบ้านกันได้แล้ว ทานข้าวเช้ากันมาหรือยัง" "เรียบร้อยแล้วค่ะ แล้วพ่อล่ะคะแม่?" "รออยู่ข้างในน่ะ ปะ ตาทิ เข้าบ้านกันลูก" นางหันไปยิ้มให้กับลูกเขยอีกครั้ง "เดี๋ยวผมต้องเอาของหลังรถเข้าไ
"พี่ทิ หยีเจ็บ อื้อ..." "เดี๋ยวก็หายนะที่รัก เราจะไปช้า ๆ มันรู้สึกดีมากเลยหยี คิดถึงหยีที่สุดเลย" จุดเชื่อมต่อค่อย ๆ ขยับเข้าออกช้า ๆ ยิ่งสร้างความเสียวซ่านให้กับคนทั้งคู่ เสียงครวญครางเริ่มดังขึ้น เสียงเนี้อกระทบเนื้อเริ่มไต่ระดับขึ้นตามความปรารถนาของร่างกายที่กำลังนำพา ร่างหนาโยกกายเข้าออกซ้ำ ๆ ยิ่งคนในอ้อมกอดครวญครางมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเร่งเร้าตามให้ทันเธอ ก่อนที่จะจบลงด้วยเสียงหอบกระเส่าของคุณแม่ตั้งครรภ์ และเสียงคำรามอย่างสุขสมของเขาที่ตามมาติด ๆ ทิวากอดร่างของเธอเอาไว้แน่น ใบหน้าหล่อซบลงบนแผ่นหลังของหญิงสาวอย่างหมดแรงไม่ต่างกัน ริมฝีปากหนาพรมจูบแผ่นหลังขาวเนียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียงหัวใจยังคงเต้นตึกตักแทบจับจังหวะไม่ได้ นานนับสองนาทีกว่าที่ทุกอย่างจะกลับคืนสู่สภาพเดิม "มันดีใช่ไหมหยี?" เสียงทุ้มถามขึ้นเบา ๆ มือหนายังลูบไล้หน้าท้องที่นูนเด่นไปมาอยู่เช่นเดิม "ดีค่ะ แต่เหนื่อยจังเลย ลูกจะเป็นไงบ้างนะ เมื้อกี้พี่ทิทำรุนแรงเกินไปไหมคะ?" ฝ่ามือเรียวลูบหลังมือของเขาไปมาเบา ๆ "ท่าเบสิกแล้วนะหยี ไม่แรงเกินไปหรอก ลูกคงรับรู้ว่าพ่อคิดถึงแม่มากแค่ไหน ก็หยีนั่นแหละทำให้พี่แทบคลั่งจ
ทิวาใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำนานมาก และนานพอที่จะเดินออกมาแล้วเห็นยาหยีนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงแล้วในเวลานี้ ร่างสูงเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างเตียงฝั่งที่เธอกำลังนอนหลับ เขามองจ้องหน้าผู้หญิงที่ได้ขึ้นชื่อว่าภรรยาและแม่ของลูกด้วยความเอ็นดู เขาไม่เคยได้มองเธอใกล้ ๆ แบบนี้เลยสักครั้ง ทั้งที่มีโอกาสได้ทำมาตลอด เขาไม่เคยรู้สึกว่าหัวใจจะมีเพียงแค่เธออย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้เลยด้วยซ้ำ แต่พอมาวันนี้เขาอยากมีเธอในชีวิต อยากอยู่ใกล้เธอ อยากสร้างครอบครัวที่มีความสุขไปด้วยกันตลอดจนแก่เฒ่า เตียงนอนอีกฝั่งยุบยวบลง ทำให้คนที่เผลอหลับถึงกับงัวเงียลืมตาขึ้นอีกครั้ง ร่างสูงที่เปลือยเปล่าขยับเข้ามานอนลงใกล้ ๆ แทบจะเรียกได้ว่าเหมือนเขาจะสิงร่างเธอแล้วในตอนนี้ "พี่ทิ จะขยับมานอนใกล้อะไรขนาดนั้นคะ? แล้วทำไมไม่ใส่เสื้อผ้าเนี่ย หยีจะบ้าตาย" เสียงบ่นต่อว่าเขาก็ดังขึ้น แต่คนที่นอนตะแคงอยู่ข้างกายกลับไม่สนใจอะไรแล้วในเวลานี้ อ้อมแขนแข็งแรงพาดทับไปบนเอวหนาของคุณแม่ตั้งครรภ์ ก่อนจะดึงเข้ามากอดแน่น ๆ "ปกติก็นอนแบบนี้ ไม่ชอบใส่เสื้อผ้านอน เธอไม่รู้หรือยังไงหยี" "จะรู้ได้ยังไงคะ ก็ไม่เคยได้นอนด้วยสักครั้ง เตียง
หลังจากอาบน้ำไปนานกว่าครึ่งชั่วโมง ยาหยีเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมผ้าขนหนูพันกายไว้ และมีผ้าผืนเล็กคลุมไหล่อีกหนึ่งผืน กลิ่นแชมพูหอมอ่อน ๆ ลอยปะปนมาในอากาศ เธอเห็นทิวายืนเลือกเสื้อยืดตัวใหญ่อยู่ เหมือนกำลังตั้งใจเลือกตัวที่ดีที่สุดให้เธอได้ใส่ก็ไม่ปาน “ได้เสื้อยังคะ?” “ได้แล้วครับ ตัวนี้นุ่มสุดเลยนะ รับรองใส่แล้วนอนหลับสบาย” ยาหยีหัวเราะขึ้นเบา ๆ กับคำพูดนั้น ก่อนจะรับเสื้อมาเปลี่ยน ทิวามองภาพนั้นเงียบ ๆ ความคุ้นเคยที่หายไปหลายเดือนมันกลับมาชัดเจนจนใจเขาเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง เขาไม่เคยได้สนใจ ไม่เคยเห็นเธอในสภาพที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จแบบนี้ เขาและเธอพลาดอะไรหลาย ๆ อย่างที่ควรจะได้ทำร่วมกันมานานมากเหลือเกิน “พี่ทิ มองอะไรคะ?” “มองเมียครับ เมียสวย กลัวจะหายไปอีกน่ะ” เขาตอบยิ้ม ๆ ไม่เคยมีความสุขแบบนี้มานานมากแล้ว ยาหยีชะงัก มือที่กำลังชโลมครีมทาผิวหยุดนิ่งลง เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาเล็กน้อย “พี่พูดเหมือนหยีจะไปไหนได้อย่างนั้นแหละ” “หยีไปตั้งหลายเดือนแหละ เพิ่งจะได้กลับมาวันนี้เองนะ” ทิวาก้าวเข้ามาใกล้ทีละก้าว ก่อนจะยื่นมือมาสัมผัสแก้มเธออย่างแผ่วเบา “ไม่ได้อยากให้หยีอยู่เพราะลูกนะ แ
"ไม่ได้อยู่นาน ห้องทำความสะอาดไว้หรือเปล่าก็ไม่รู้ หยีแพ้ฝุ่นนะคะ ถ้าฝุ่นเยอะคงนอนไม่ได้" "มีแม่บ้านมาทำความสะอาดวันเว้นวันนั่นแหละหยี ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้นหรอก ไปอาบน้ำให้สบายตัวไหม เดี๋ยวจะไปหาเสื้อมาให้เปลี่ยน" "เดี๋ยวขอโทรไปบอกพ่อกับแม่ก่อนนะคะ กลัวที่บ้านจะเป็นห่วง ไม่รู้ว่าพ่อแม่จะโอเคไหมที่หยีตัดสินใจแบบนี้" ฝ่ามือหนาของทิวายกขึ้นลูบแก้มนวลนั้นอีกครั้ง ก่อนจะก้มลงจุมพิตริมฝีปากอวบอิ่มเบา ๆ "พ่อตาแม่ยายใจดี พวกท่านจะดีใจมากถ้าเราได้กลับมาเป็นครอบครัวกันอีกครั้ง พ่อหยีอาจจะยังโกรธอยู่ แต่ฉันตั้งใจไว้แล้ว วันพรุ่งนี้จะไปหาพวกท่านที่บ้าน หยีโทรหาพ่อกับแม่เถอะ" ยาหยีหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมา เธอไม่ได้โทรไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เลือกที่จะกดส่งข้อความไปหาแม่เพื่อบอกเล่าว่าคืนนี้จะไม่กลับ จะค้างอยู่กับทิวาที่คอนโด ไม่ต้องเป็นห่วง เธอปลอดภัยดี "เรียบร้อยแล้วค่ะ เดี๋ยวหยีไปอาบน้ำก่อนนะคะ ไปหาเสื้อมาให้เปลี่ยนด้วยล่ะ" ยาหยีลุกขึ้นยืนช้า ๆ ก่อนจะเดินอุ้ยอ้ายเข้าไปภายในห้องนอนของตัวเองที่เคยอยู่อาศัยเมื่อหลายเดือนก่อน ทิวาก็เดินตามหลังหญิงสาวไปติด ๆ เข้าไปภายในห้องนอนเ







