Masukครึกครื้น...
หลังจากฝ่ามือแกร่งตบลงบนกลไก พื้นห้องตรงที่ทั้งสี่ชีวิตก็เลื่อนออกเปิดเป็นช่องทางลับ ทั้งหมดจึงตกลงไปในหลุมดังกล่าวโดยที่ทั้งสามชีวิตนั้นรู้แจ้งอยู่ก่อนแล้วว่าจะเกิดอันใดขึ้นมีเพียงหนึ่งเท่านั้นที่ไม่ทันรู้ตัวก็ต้องดิ่งลงที่ต่ำก็คือหลัวเฟยเฟิ่งเท่านั้น
ตุ๊บ! อึ้ก!
ทว่าที่ยิ่งกว่าหลัวเฟยเฟิ่งจะมิคาดมากกว่าก็คือตนจะถูกหลีเซี่ยงหลิ่วพลิกเอาร่างของนางเป็นเบาะรองรับเรือนกายแกร่งของบุรุษวัยฉกรรจ์แสนจะบึกบึนเต็มกายที่น้ำหนักไม่น้อยของเขาเข้าเสียได้!
"ไป!"
"ยิง!"
เฟี้ยว เฟี้ยว เฟี้ยว
หลีเซี่ยงหลิ่วตะโกนขึ้นมาเกือบจะพร้อมกันกับหลีซือหลางร้องสั่งการทหารให้ยิ่งลูกธนูออกไปซึ่งพุ่งเฉียดใบหน้าของหลัวเฟยเฟิ่งเพียงเส้นผมกั้นขวางแต่นางไม่มีเวลาเสียขวัญเพราะมัวแต่แตกตื่นต่อให้นางทั้งจุกทั้งเจ็บและยังไม่ทันต่อว่าอีกฝ่ายที่ใช้ตนเองเป็นเบาะรองรับแรงกระแทกก็พลันถูกกระชากลากถูให้ตามติดเพื่อหลบหนีทหารของฝ่ายองค์ชายใหญ่และบิดาของนางที่พุ่งลงมาชนิดกระชั้นชิดแบบกายใจจ่อท้ายทอยกันเลยทีเดียว
ตึก! ตึก! ตึก!
เหนื่อยแทบขาดใจเป็นเช่นไรหลัวเฟยเฟิ่งเพิ่งประจักษ์กระจ่างใจตนเอง แต่จะเหน็ดเหนื่อยเพียงในนางก็หยุดวิ่งไม่ได้ นางมีแต่ต้องวิ่งไปข้างหน้าอย่างสุดกำลังตามแรงฉุดดึงของหลีเซี่ยงหลิ่วเท่านั้น โดยที่ด้านหลังของนางกับหลีเซี่ยงหลิ่วมีจูอิงและฉงหลินคอยคุ้มกันปกป้องให้
ไม่นานหลีเซี่ยงหลิ่วก็พานางวิ่งลัดเลาะไปตามซอกหลืบซึ่งถูกขุดเอาไว้จนทหารของอีกฝ่ายห่างออกไปทุกขณะ ไม่นานทหารเหล่านั้นก็หายไปจนหมด แต่หลีเซี่ยงหลิ่วนั้นกลับยังไม่หยุดฝีเท้าลง ยังคงวิ่งไปข้างหน้าเรื่อยๆ จูอิงและฉงหลินนั้นก็ติดตามมาไม่ห่าง ใจแทบจะขาดแต่ไม่กล้าหยุดเพราะกลัวคนขององค์ชายใหญ่จะตามมาทัน
แต่สุดท้ายหลีเซี่ยงหลิ่วก็ชะลอฝีเท้าลงและหยุดลงในที่สุด หลัวเฟยเฟิ่งเข่าอ่อนทรุดลงไปนั่งแปะอยู่กับพื้นอย่างไม่สนใจอีกแล้วว่าตนเองจะแปดเปื้อนหรือไม่ นางรู้เพียงตนเองหมดแรงแล้วจริงๆ เกิดมาจนถึงวันนี้สิบแปดหนาวครั้งนี้นางจึงค่อยซาบซึ้งว่าหนีไม่คิดชีวิตเป็นเช่นนี้นี่เอง
"ต้องไปต่อแล้ว หากเจ้าไม่ไปต่อจะรอความตายอยู่ตรงนี้ก็ตามสะดวก"
เสียงของหลีเซี่ยงหลิ่วดังลอยมาจากด้านบนศีรษะ ฟังแล้วหลัวเฟยเฟิ่งจึงถอนหายใจแรงดังพรืด แต่ก็ลุกขึ้นโดยไม่พูดไม่จา จากนั้นก็เดินตามหลังบุรุษนิสัยต่ำทรามไปอย่างจนปัญญาเพราะบัดนี้หากนางไม่ตามเขาไปก็ไม่ทราบว่าตนเองจะเอาชีวิตรอดไปได้อย่างไรจึงจำใจต้องเดินตามเขาไปเท่านั้น
เดินลัดเลาะได้ราวครึ่งชั่วยามทั้งสี่ชีวิตก็มาโผล่ยังตีนเขาที่อยู่นอกกำแพงวังหลวงมาทางทิศตะวันออกสังเกตได้จากดวงดาวบนท้องฟ้า แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ก็ยังยากจะวางใจว่าปลอดแล้วจริงๆ แต่บาดแผลของหลีเซี่ยงหลิ่วต้องได้รับการตรวจรักษาอย่างจริงจังแล้วหลังจากที่หลัวเฟยเฟิ่งใช้วิชาแพทย์ของตนเองห้ามเลือดของเขาไปบ้างระหว่างหลบหนีออกมาเมื่อครูไปบ้างแล้ว
“เหตุใดเจ้ายังเอาซากแมวมาด้วย”
เมื่อพอจะมีแสงจันทร์ให้ความสว่างได้บ้างหลีเซี่ยงหลิ่วจึงเพิ่งเห็นว่าหลัวเฟยเฟิ่งนั้นยังคงอุ้มซากแมวสีขาวตัวนั้นมาด้วยจนถึงบัดนี้ทั้งที่ต่างหนีตายกันมาโดยแท้
“ไป๋ลู่คือแมวที่น้องสาวคนเล็กของข้ารักมันมาก แต่เพราะต่างต้องแยกจากกันไปไกลแล้วทิ้งหม่อมฉันเอาไว้เพียงลำพัง เจ้าเสี่ยวลู่คือสหายเพียงหนึ่งเดียวที่นางทิ้งเอาไว้แทนตนเอง ดังนั้นต่อให้มันตายแล้วแต่หม่อมฉันก็ต้องพามันมาหาที่ฝังให้ดีเพคะจึงไม่รู้สึกผิดต่อน้องสาวและเสี่ยวลู่”
หลีเซี่ยงหลิ่วทำเสียง'หึ!'แต่ไม่กล่าวอันใดออกมาอีก หลัวเฟยเฟิ่งจึงวางซากของไป๋ลู่แล้วห้ามเลือดให้อีกฝ่ายในความมืดอย่างจริงจัง เพราะมิอาจก่อกองไฟให้ทหารของฝ่ายตรงข้ามติดตามมาเอาชีวิตได้
"ขณะนี้คงทำได้เท่านี้ก่อนนะเพคะ หม่อมฉันไม่มีทั้งยาและเครื่องมือ ทุกสิ่งล้วนอยู่ในจวนสกุลหลัวส่วนหนึ่งกับอีกส่วนหม่อมฉันฝากไว้ด้านนอกเพราะมิอาจนำเอายาสมุนไพรเข้าไปในตำหนักบูรพาได้ตั้งแต่แรกเพคะ"
ฟังแล้วหลีเซี่ยงหลิ่วก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
"แต่เจ้าเป็นท่านหมอ ท่านหมอทุกคนไม่ใช่ว่าต้องพกเครื่องมือและยาสมุนไพรติดกายอยู่เสมอหรอกหรือ ถึงตำหนักบูรพามีข้อห้าม ทว่าหากเจ้าใช้คำว่า'สินเดิม'ก็สามารถยกเว้นได้แล้ว"
หลีเซี่ยงหลิ่วเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัยจริงจัง
"กราบทูลไท่จื่อตามจริง หนึ่งหม่อมฉันคิดจากไปตั้งแต่แรก ที่ห้องหอช่วงหัวค่ำที่หม่อมฉันขวาง ไท่จื่อไม่ใช้ต้องการจะเข้าหอแต่หม่อมฉันต้องการเจรจาตกลงกับไท่จื่อเพคะ กับสอง เรื่องสินเดิมนั้นหม่อมฉันไม่ทราบ เฟยเมี่ยวกับนายท่านหลัวบอกแก่หม่อมฉันว่าทางตำหนักบูรพามีข้อห้ามเด็ดขาดเรื่องเครื่องมือกับยาสมุนไพรหากหม่อมฉันไม่ใช่หมอหลวงมิอาจนำสิ่งเหล่านั้นติดกายเข้าวังหลวงได้อย่าว่าแต่ตำหนักบูรพาเลย"
หลีเซี่ยงหลิ่วนั้นไม่อยากจะเชื่อ ทว่าหลายสิ่งก็บอกแก่เขาว่าสตรีผู้นี้ไม่ได้โกหก เพราะไม่เช่นนั้นนางจะหนีตามเขามาด้วยเหตุอันใดกัน เพราะเมื่อครู่ฝ่ายเขาเช่นไรก็โอกาสตายมากกว่ารอด
"เอาละพวกเราคงพักนานกว่านี้ไม่ได้แล้วหม่อมฉันเตรียมรถม้าเอาไว้หนึ่งคันที่นอกเมืองกับฝากเครื่องมือแพทย์และตัวยาที่จำเป็นบางส่วนฝากเอาไว้ที่โรงเตี๊ยมยังนอกเมืองหลวง ดูจากดวงดาวขณะนี้ก็พอจะเดินมุ่งหน้าไปได้เช่นไรพวกเราไปต่อกันเถอะ"
คราวนี้เป็นหลัวเฟยเฟิ่งบ้างแล้วที่แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าก่อนจะเดินนำหน้าบุรุษทั้งสามที่หนึ่งบาดเจ็บอีกหนึ่งช่วยประคองกับอีกหนึ่งคุ้มกันท้ายแถว
"อ๋อ หลังจากนี้หม่อมฉันไม่ใช่หลัวเฟยเฟิ่งแล้วนะเพคะ หม่อมฉันคือท่านหมอจาง'จางเยี่ยนจื่อ'ตามใบผ่านทางที่ทางการออกให้ รบกวนไท่จื่อและอีกสองท่านเข้าใจตรงกันด้วยมิใช่อันใดแต่เพื่อความปลอดภัยของพวกเราทุกคน"
หลีเซี่ยงหลิ่วจึงยิ่งกระจ่างว่าเด็กสาวที่กำลังมุ่งหน้าไปด้านประตูเมืองทิศใต้นั้นคงเตรียมการจะไปจากเขาตั้งแต่แรกจริงไม่ได้กล่าวโกหกให้ตนเองดูเป็นคนที่น่าวางใจเท่านั้น หาไม่นางคงไม่เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแซ่ใหม่เช่นนี้ ชั่วขณะนั้นเขาก็บังเกิดความคิดขึ้นมาหนึ่งสาย
'ฉงหลิน ต่อไปเจ้าคือ'ฉางเฉี่ยน' ส่วนเจ้าจูอิง นับจากนี้คือ'จงเจิ้ง' ส่วนข้าต่อไปมีแซ่ว่า'เซียว'ส่วนนามนั้นคือ...อู๋เกอ ต่อไปพวกเจ้าคือญาติผู้พี่ของข้าใช้แซ่เซียวเช่นกัน"
หลัวเฟยเฟิ่งหรือต่อไปนับจากนี้นางคือ'จางเยี่ยนจื่อ'ตามหนังสือผ่านทางที่นางใช้แผ่นทองถึงสิบแผ่นแลกมาฟังคำของไท่จื่อตกอับพูดคุยกับคนสนิทก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายก็ไม่นับด้อยสติปัญญาเท่าใด แต่คิดไปคิดมาเยี่ยนจื่อก็คิดว่าตนเองเหมือนจะลำบากแล้วเพราะดันไปรับปากว่าจะให้การสนับสนุนอีกฝ่ายเปลี่ยนตัวตนใหม่จะหนังสือผ่านทางอีกตั้งสามคน
คิดแล้วก็ใจหาย แผ่นทองที่สะสมมาคล้ายจะลอยหายไปสามในแปดส่วนแล้วจริงๆ นางต้องไปรักษาคนรวยมาช่วยไท่จื่อตกยากอีกกี่คนจึงจะได้แผ่นทองคืนกระเป๋าได้เท่าเดิมกันเล่ายิ่งคิดก็ยิ่งมองเห็นความยากจนชัดเจนอยู่ในครรลองสายตาขึ้นทุกขณะ ดังนั้นแล้วเมื่อพ้นจากเมืองหลวงนางจะต้องหาทางสลัดทั้งสามคนนี้ทิ้งไปโดยเร็ว!
ฝ่ายขององค์ชายใหญ่หลีซือหลางนั้นเมื่อทราบว่าน้องชายหนีรอดไปได้ก็ไม่พอใจอย่างยิ่ง แต่เขากลับกล่าวกับหัวหน้าองครักษ์ที่รับใช้ตนเองเพียงแค่ 'ไม่เป็นอันใดเราค่อยๆ สืบหาต่อไป'เพียงเท่านั้น
"แต่ฝ่าบาทเพคะ ปล่อยเสือบาดเจ็บเข้าป่าไปเช่นนี้จะดีหรือ?"
หลัวเฟยเมี่ยวนั้นกลับรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันควันเมื่อทราบว่าหลีเซี่ยงหลิ่วกับพี่สาวของตนเองหนีรอดไปได้ เพราะสนิทสนมกับไท่จื่อมาถึงสี่หนาวนางย่อมรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ธรรมดานัก
"ทหารของเรามีตั้งเท่าไหร่ อีกสิ่งในเมื่อหลวงนี้ก็แทบไม่มีคนที่เซี่ยงหลิ่วจะไปพึ่งพาได้ มีเพียงมันกลับไปถึงแคว้นจิ้งโจวที่มู่หยางอ๋องซึ่งเป็นท่านลุงของมันปกครองอยู่จึงน่ากังวล แต่เมืองหลวงกับแคว้นจิ้งโจวนั้นห่างกับถึงแปดร้อยลี้เราจึงยิ่งกว่ามั่นใจว่าคนของเรามากพอที่จะกำจัดมันได้ก่อนที่มันจะเดินทางไปถึง ส่วนทหารของหลีเซี่ยงหลิ่วเองนั้นก็อยู่ห่างไกลไปคนละทิศละทางมันแค่เพียงสามคนกับการถูกเจ้าแทงจุดตายไป ป่านนี้ก็ไม่แน่ว่ามันอาจจะตายแล้วก็เป็นไปได้
หรือต่อให้เซี่ยงหลิ่วมีปีกบินได้ก็ยากจะรอดพ้นคนของพวกเราไปได้หรือเจ้าไม่เชื่อใจคนของข้าเล่าเมี่ยวเอ๋อร์?"หลัวเฟยเมี่ยวฟังแล้วก็คิดตาม จึงพบว่าหลีซือหลางกล่าวมานั้นมีเหตุผลอยู่ไม่น้อย นางจึงค่อยสบายใจส่วนหลัวเฟยเฟิ่งนางยิ่งไม่กังวล เพราะพี่สาวผู้นั้นก็เพียงคนไม่มีวรยุทธ์ มีแค่วิชาแพทย์พรรคพวกก็ไม่มีอำนาจยิ่งไม่มีคนเช่นนั้นไม่คู่ควรให้นางต้องกังวลแม้แต่น้อย
"แม่ทัพเนี่ยปิดประกาศออกไปให้ทั่วว่าหลีเซี่ยงหลิ่วสังหารองค์ชายรองกับองค์ชายสามไม่พอยังปลงพระชนม์ฝ่าบาทพบเจอที่ใดให้ประหารได้ทันที"
ต่อให้ข้อกล่าวหานี้จะถูกสงสัยเพียงใดแต่ด้วยกำลังของตนเองมากกว่าหลีซือหลางจึงไม่กังวล เมื่อออกคำสั่งไปแล้ว ชายหนุ่มจึงเดินทางเข้าไปภายในวังหลังซึ่งมีเหวินกุ้ยเฟยกับอัครเสนาบดีเหวินรออยู่ก่อนแล้ว ซึ่งตรงลานกว้างของอุทยานหลวงนั้นมีเหล่าพระสนมกับเหล่าองค์หญิงและองค์ชายที่ยังอยู่ในวัยเยาว์กับนางกำนัลและขันทีอาจมากถึงพันกว่าชีวิตถูก'ควบคุม'มารวมกันเอาไว้รอให้เขาตัดสินอยู่อีกด้วย
"ซือหลางคิดการใหญ่ใจต้องเหี้ยม"
อัครมหาเสนาบดีเหวินผู้เป็นท่านตาของเขาเอ่ยขึ้นเมื่อกายแกร่งทรุดลงนั่งบนเก้าอี้เรียบร้อย ชายหนุ่มจึงกดยิ้มอ่อนโยนส่งไปให้กับทุกชีวิตที่กำลังกรีดร้องวิงวอนขอความเมตตาอยู่ยังลานกว้างหนึ่งสาย ก่อนจะโบกข้อมือส่งสัญญาณให้กับทหารองครักษ์ที่ควบคุมกลุ่มคนกลุ่มใหญ่
พวกเขาเหล่านั้นจึงต้องก้มหน้าทำตาคำสั่ง ทั้งที่มันแสนจะโหดร้ายเพราะที่พวกเขาต้องลงมือสังหารนั้นเป็นเด็กและสตรีเสียเป็นส่วนใหญ่เรียกว่ามีบุรุษซึ่งเป็นขันทีเพียงสองในสิบส่วนเพียงเท่านั้น เสียงกรีดร้องโหยหวนดังกึกก้อง เสียงคมดาบตัดเอาเลือดเนื้อ กลิ่นคาวโลหิตฟุ้งกระจาย
เพราะโลหิตนั้นพุ่งออกจากลำคอที่ถูกตัดแยกออกจากศีรษะซากศพเพิ่มขึ้นจนกองเป็นภูเขาขนาดย่อม ซากศพมากมายยังไม่สะเทือนใจได้เท่าน้ำในบึงบัวขนาดใหญ่เนื้อที่ดินอาจมากกว่าสองร้อยหมู่นั้นขณะนี้กลายเป็นสีแดงเลือดนกจากโลหิตของคนกว่าสามพันกว่าชีวิตที่ต้องตายสังเวยความกระหายอำนาจของบุรุษที่ดูภายนอกเป็นคนสุขุมใจดีมีเมตตาเช่นหลีซือหลางเพียงเท่านั้น
"ตรวจดูให้ละเอียดอีกครั้งแม้แต่เด็กแรกคลอดก็ห้ามละเว้น!"
ก่อนจะกลับไปยังตำหนักส่วนหน้า หลีซือหลางยังกำชับหัวหน้าองครักษ์อีกครั้ง แล้วเขาจึงก้าวนำหน้าท่านตาและมารดาตรงไปยังตำหนักหลงจิ่งที่เป็นตำหนักส่วนตัวผู้เป็นฮ่องเต้ด้วยใบหน้าซึ่งยังคงแต้มด้วยรอยยิ้มแสนจะอ่อนโยนเอาไว้ไม่วางทั้งที่เพิ่งจะดูชมและเป็นผู้ออกคำสั่งปลิดชีพคนหลายพันกว่าชีวิตมาโดยแท้
ซึ่งพอไปถึงตำหนักหลงจิ่งก็มีขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊มารอเข้าเฝ้าอีกร่วมสามร้อยกว่าชีวิตซึ่งแน่นอนคนพวกนี้ส่วนหนึ่งคือคนของฝ่ายเขาส่วนอีกส่วนคือพวกที่พร้อมจะเปลี่ยนฝั่งขอเพียงตนเองได้ประโยชน์ ส่วนขุนนางที่สนับสนุนอดีตฮ่องเต้และไท่จื่อหลีเซี่ยงหลิ่วเกือบแปดร้อยชีวิตล้วนตายลงไปหมดแล้วภายในตำหนักบูรพา
ที่อัครมหาเสนาบดีเหวินนั้นกล่าวแนะนำหลานชายของตนเมื่อครู่ว่า'คิดการใหญ่ใจต้องเหี้ยม'นั้นอีกฝ่ายถูกมารดาสั่งสอนมาตั้งแต่จำความได้ และผู้ที่อยู่เบื้องหลังการใส่ร้ายป้ายสีซ่งฮองเฮานั้นย่อมเป็นเหวินกุ้ยเฟยกับอัครมหาเสนาบดีเหวินผู้เป็นบิดาของนางอยู่แล้วเรียกว่ามารดาสวมหน้ากากเก่งเท่าใดบุตรชายเช่นองค์ชายใหญ่กลับเก่งกาจยิ่งกว่าหลายพันเท่านัก!
"ขุนนางที่รัก วันนี้เรารู้สึกอ่อนล้าอย่างยิ่งพรุ่งนี้จึงค่อยมาประชุมที่ท้องพระโรงใหญ่พร้อมหน้าพร้อมตาเถิด"
เรือนกายแกร่งหันมาเผชิญหน้ากับขุนนางทั้งหลายแล้วยิ้มอ่อนส่งให้ก่อนจะกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนจนขุนนางทั้งหลายอดจะเคลิบเคลิ้มกับกิริยาขององค์ชายใหญ่หลีซือหลางไปถ้วนหน้า ซึ่งภาพมารยาเหล่านี้องค์ชายใหญ่นั้นสวมมันมาจนวันนี้ก็แยกไม่ออกแล้วว่าอันใดคือตัวตนแท้จริงหรืออันใดคือเขาปั้นแต่งมันขึ้นมา
เมื่อเหลือเพียงคนกันเองแล้วหลีซือหลางจึงเดินไปนั่งบนเก้าอี้มังกรของบิดาที่เขาสังหารเองกับมือแล้วยกมุมปากพึงใจ
"ขอทรงอายุยืนหมื่นปี หมื่นๆ ปี"
ทุกคนไม่เว้นแม้แต่เหวินกุ้ยเฟยต่างก็คุกเข่าลงแล้วกล่าวออกมาอย่างพร้อมเพรียงใบหน้าอบอุ่นจึงยิ่งยิ้มอ่อนโยนเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน
"ทุกคนลุกขึ้นเถิด เสด็จแม่ลุกขึ้นๆ"
ความอ่อนโยนนี้ไม่มียกเว้นผู้ใดหลีซือหลางลุกขึ้นจากเก้าอี้มังกรภายในตำหนักตรงไปประคองมารดาที่ยังงดงามราวกับเป็นพี่สาวมากกว่าจะเป็นมารดาของบุรุษหนุ่มวัยยี่สิบห้าหนาวเช่นนี้ให้นางลุกขึ้นไปนั่งเก้าอี้สำหรับฮองเฮาที่ตลอดชีวิตของเหวินอี๋เซียงใฝ่ฝันต้องการจะนั่งมาตลอดแต่กลับไม่เคยได้สัมผัส
แต่วันนี้นางไม่ใช่เพียงฮองเฮาแล้วแต่กำลังจะได้เป็นไท่เฮา เป็นใหญ่แม้แต่ฮ่องเต้ยังต้องก้มศีรษะให้กับนางนับว่าที่อดทนมาร่วมสามสิบหนาวนั้นไม่เสียแรงเปล่าแล้วจริงๆ
บทที่16พอตกบ่ายจางเยี่ยนจื่อก็ตื่นขึ้นมาในสภาพหัวยุ่งหน้าตาบวมปูด จมูกแดงปากจิ้มลิ้มก็เจ่อจนดูตลก คราวนี้ท่านหมอจางคนเกิดก็เกิดปัญหาใหญ่ขึ้นมาแล้ว คราวแรกนางเกือบก้าวเท้าออกจากห้องแล้วยังดีพี่ฉางเอ๋อร์คนงามของนางนั้นร้องทักพร้อมส่งคันฉ่องมาให้ดู จางเยี่ยนจื่อจึงม้วนตัวกลับเข้าห้องมาอย่างว่องไว สภาพตลกเล่นนี้แม้แต่เจอสุนัขล่าเนื้อของชาวบ้านมันยังเห่าดังนั้นอย่าได้คาดหวังเลยว่าผู้คนพบเข้าจะไม่ขบขันนาง"ข้าชิงชังเขายิ่งนัก!"โมโหเดือดขึ้นมาท่านหมอจางคนเก่งจึงระเบิดคำพูดออกมาโดยลืมยั้งคิด พอตั้งสติได้จึงค่อยเหลียวซ้ายแลขวาราวกับหนูกลัวแมว ก็คนบ้าผู้นั้นน่ากลัวเกินไปประเดี๋ยวก็ดีประเดี๋ยวก็ร้ายทำตัวราวกับสตรีวัยใกล้หมดรอบเดือนทั้งที่เขาก็เพิ่งจะอายุเพียงยี่สิบสองเท่านั้น หรือว่า? ..."นี่พี่ฉางเอ๋อร์ข้ามีเรื่องอยากหารือ"จางเยี่ยนจื่อนั้นกระโดดลงจากเตียงลงไปนั่งบนเก้าอี้ข้างฉางเฉี่ยนจนขันทีคนงามต้องผวาถอยห่างออกไปราวกับอีกฝ่ายคือยาพิษ ทำเอาหญิงสาวถึงกับชักสีหน้าใส่อีกฝ่ายด้วยความไม่พึงใจนักที่อีกฝ่ายดูรังเกียจตนเองแปลกๆ"ข้าไม่ใช่หนอนบุ้งสักหน่อยพอเข้าใกล้จะได้คัน"ฉางเฉี่ยนไม่อยากจะกล่าว
บทที่15"คนชั่ว! ท่านอย่าเข้ามาอีกนะ!"คนตัวน้อยไม่มีหนทางจะถอยหนีแล้ว แต่เจ้าคนถูก'ผีบ้า'เข้าสิงสู่นั้นกลับยังคงรุกรานคืบคลานไล่ต้อนนางเข้ามาไม่หยุดสองมือเล็กยกขึ้นกำด้ามกระบี่ของอีกฝ่ายเอาไว้แน่น แต่คงเกร็งมากไปมือน้อยนั้นกลับสั่นไหวไม่หยุด"ก็บอกว่าอย่าเข้ามาเช่นไรเล่า! หากเข้ามาอีกข้าจะจะแทงท่านที่หัวใจ!"มุมปากแกร่งกระตุกด้านขวาของเซียวอู๋เกอค่อยๆ ยกโค้งขึ้นดูน่ากลัวราวกับปีศาจราคะนั้นยิ่งทำให้จางเยี่ยนจื่อนั้นย่อมหวาดกลัวบุรุษตรงหน้าขณะนี้แปลกไปมากจริงๆ นางไม่ทราบว่าอีกฝ่ายโกรธนางด้วยเรื่องอันใดกันแน่ และยิ่งไม่เข้าใจว่าเขาเป็นอันใดไปจึงดูคล้ายถูกปีศาจราคะสิงสู่เช่นนี้ ซึ่งนางก็เป็นสตรีย่อมหวาดกลัวอยู่มาก"เช่นนั้นก็แทงสิ เจ้าเป็นหมอและยังรู้จุดตายของข้าดีกว่าผู้ใด แทงลงมาเลย แทงตรงนี้"มือแกร่งของเซียวอู๋เกอจับที่กระบี่ของตนเองแล้วลากลงมาจากลำคอตรงมายังตำแหน่งของหัวใจที่ต่างจากผู้อื่นของตน ดวงตาของเขานั้นจับจ้องมองมาที่นางแน่วแน่ เรียวปากแกร่งนั้นแย้มยิ้มแต่รอยยิ้มดังกล่าวกลับไปไม่ถึงดวงตาหงส์คู่นั้นเลยแม้แต่น้อย เขาออกแรงกดมันแทงเข้าเนื้อจนจางเยี่ยนจื่อตาโต นางเป็นท่านหมอในชีว
บทที่14ดังนั้นหลายวันมานี้จางเยี่ยนจื่อจึงรู้สึกว่ามีบางสิ่งขาดไป คิดทบทวนจนแน่ใจหญิงสาวก็กระจ่างว่าที่หายไปก็คือ'เจ้ากรรมนายเวร'เช่นเซียวอู๋เกอนี่เอง ถึงจะอยู่เรือนเดียวกันนอนห้องเดียวกัน แต่เดี๋ยวนี้นอกจากเวลาทำแผลใส่ยาเขาก็หายหน้าไปตลอดวันและถึงจะนอนห้องเดียวกันพอนางล้มตัวลงนอนอีกฝ่ายก็ลุกไปกลับมายามใดนางเอกก็ไม่รู้เช่นกัน พอนางตื่นขึ้นมาเขาก็หายไปแล้วกรี๊ด! 'ในที่สุดข้าก็หมดเวรสิ้นกรรมกับเจ้าคนหน้าหนาหน้าทนแล้ว'จางเยี่ยนจื่อไม่สนใจหรอกว่าเกิดอันใดขึ้นกับอีกฝ่าย นางสนใจแต่อีกฝ่ายไม่เป็นดังเงาตามติดก็เพียงพอแล้วเพราะหากมีโอกาสนางจะได้หนีไปสักครา แค่คิดถึงอิสระจางเยี่ยนจื่อก็มีความสุขจนเดินผ่านสุนัขนางก็ยิ้มให้มัน เดินผ่านไก่แจ้ แมวเหมียว แม้แต่วัวหรือกระบือนางก็สามารถยิ้มพร้อมโบกมือทักทายพวกมันอย่างสนิทสนมจน ฉางเฉี่ยนกับหลุนเปียวนั้นชักจะกลุ้มใจแล้วจริงๆอีกคนก็เคร่งขรึมจนน่าหวาดหวั่นอีกคนก็ดูร่าเริงอารมณ์ดียิ้มได้ทั้งวันราวกับไปกินสมุนไพรผิดชนิดจนเมามายแล้วมีอาการตาหวานเยิ้มหนักข้อขึ้นทุกวันจนใกล้วันจะเดินทางไปจากหมู่บ้านถงซานแห่งนี้เข้าไปทุกทีอาการประหลาดของผู้เป็นนายทั้งสองก็ท
บทที่13ฝ่ายคนที่ทำให้'ฉางเอ๋อร์เจี่ยเจีย'นั้นเสียกิริยาและฟุ้งซ่านนั้นกลับยังสบายใจตรงไปอาบน้ำชำระล้างร่างกายจนสะอาดแล้วจึงค่อยไปทำแผลใส่ยาให้กับ'หนี้รักหนี้แค้น'ของตนเองอย่าง'ใส่ใจ'จนค่ำคืนนั้นเสียงร้องโอดโอยดังลอยออกมาจากห้องของสองสามีภรรยาหนุ่มสาวอยู่ครู่ใหญ่เลยทีเดียวแต่ก็ไม่มีผู้ใดก้าวไปยุ่งด้วยแม้แต่ฉางเฉี่ยนหรือสององครักษ์เกาเหิงและหลุนเปียว"เจ้ามันก็ดีแต่รังแกข้า กับท่านหัวหน้าหมู่บ้านผู้นั้นเจ้าไม่เห็นไปเอาความกับเขาบ้างเล่า?"หลังจากถูกท่านหมอจางผู้อำมหิตลงมือทำแผลอย่างไม่ปรานีเสร็จแล้วเซียวอู๋เกอจึงอดจะกล่าวออกมาด้วยความแค้นเคืองเสียมิได้เพราะกับเขานางตามเก็บไม่มีพัก เถียงได้ถึงแอบหลอกด่าได้นางทำ แม้แต่รังแกเขาด้วยการทำแผลหนักมือจางเยี่ยนจื่อนั้นก็ไม่เคยไว้หน้าฐานะ'ฮ่องเต้'ของตนเลยสักครั้งช่างสมควรตายเสียจริง!"คนเช่นเฝิงคุนผู้นั้นไม่ต้องถึงมือของข้าหรอกแค่ฮูหยินเอกของเขาเพียงผู้เดียวช่วงนี้พวกเราก็จะไม่เจอหน้าเขาไปอีกหลายสิบวันเชียวละ ท่านเชื่อข้าเถอะ"กล่าวไปจางเยี่ยนจื่อก็เช็ดทำความสะอาดเครื่องไม้เครื่องมือไป เซียวอู๋เกอรู้สึกว่าตนเองเริ่มจะไม่ปกติแล้วจริงๆ เพราะเห็นจา
บทที่12หลังจากผ่านด่านดังกล่าวมาอย่างราบรื่นทุกคนก็ต่างหายใจสะดวกขึ้นเล็กน้อย แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เซียวอู๋เกอก็มอบให้หลุนเปียวหาทางส่งข่าวไปหาจงเจิ้งและหย่งเซิ่งเสียก่อน เพราะกังวลว่าทั้งสองอาจขึ้นเขาแล้วไปพบกับทหารชุดดังกล่าวเข้าอาจจะลำบากมิสู้แจ้งข่าวให้อีกฝ่ายทราบแล้วตามไปพบกันยังหมู่บ้านถงซานย่อมดีกว่า หลังจากจัดการทุกสิ่งเรียบร้อยทั้งเจ็ดชีวิตก็ตรงไปยังบ้านของสองผู้เฒ่าแซ่เพ่ยทันทีกว่าจะเดินทางไปถึงหมู่บ้านถงซานก็ดวงอาทิตย์ใกล้ชิงพลบเสียแล้ว ซึ่งทั้งหมดก็เดินตามกลุ่มนายพรานและชาวบ้านที่ออกไปเก็บข้าวสาลีผ่านซุ้มประตูทางเข้าหมู่บ้านไปได้ด้วยดี มีหลายคนที่ทักทายสองผู้เฒ่า แต่พอเห็นหน้าของจางเยี่ยนจื่อพวกเขาก็ไม่ตามต่อ เพราะทราบดีว่าท่านหมอจางนั้นเป็นผู้มีพระคุณใหญ่หลวงของสองผู้เฒ่าแซ่เพ่ยจึงเคารพอีกฝ่ายราวกับเทพธิดา เนื่องจากจางเยี่ยนจื่อเมื่อสามหนาวก่อนนางได้ช่วยชีวิตของบุตรชายคนเดียวของท่านลุงและท่านป้าเพ่ยที่ไปสอบเป็นเสมียนอำเภอหนิงเสวียนจากพิษของงูแมวเซาต่อมาเมื่อหนึ่งหนาวก่อนฮูหยินของบุตรชายของสกุลเพ่ยนั้นคลอดลูกยากจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดก็เป็นท่านหมอจางอีกที่ไปช่วยทำคล
บทที่11เซียวอู๋เกอนั้นมองการกระทำของจางเยี่ยนจื่อที่สาดผงบางสิ่งลงไปตามรอยเท้าแล้วจากนั้นนางก็ใช้เข็มเงินแทงลงไปที่รอยเท้าดังกล่าว ก็แปลกใจนักไม่เข้าใจว่านางแยกแยะได้เช่นไรว่ารอยเท้าใดเป็นของสองผู้เฒ่ากับสององครักษ์ของเขา เพราะชายหนุ่มแน่ใจอย่างยิ่งว่าบนเขาแห่งนี้ไม่ใช่มีเพียงพวกเขากับสองผู้เฒ่าเท่านั้น แต่ต้องมีนายพรานและชาวบ้านอีกมากที่ขึ้นเขามาในแต่ละวัน วันนี้ก็คงไม่ต่างกัน ทว่าเซียวอู๋เกอนั้นก็ไร้โอกาสที่จะสอบถามเดินอยู่หนึ่งชั่วยามโดยอาศัยหูที่ดีเป็นพิเศษของฉางเฉี่ยนกับสายตาและจมูกที่ว่องไวของเขาจึงหลบหลีกนายพรานกับชาวบ้านได้โดยตลอด ต่อมาอีกครึ่งชั่วยามก็พบกับทั้งสองผู้เฒ่าแซ่เพ่ยกับสององครักษ์หลุนเปียวและเกาเหิงได้อย่างน่าประหลาดใจสำหรับเซียวอู๋เกอยิ่งนักเพราะถึงเขาจะผ่านการฝึกฝนมีทุกแขนงทุกศาสตร์ทั้งต่อสู้ กลศึกไปจนถึงการเขียนพู่กันและเดินหมากชงชาเขาล้วนถูกเข้มงวดมาตั้งแต่อายุไม่กี่หนาว แต่วิชาสะกดรอยตามบนภูเขานี้สำหรับเขานั้นไม่ง่ายและแปลกใหม่เหลือเกินและคาดว่าในเมืองหลวงสาวน้อยที่ทำได้อาจมีน้อยยิ่งกว่าน้อยเป็นแน่"นายท่าน นายหญิง เกิดอันใดขึ้น?"เป็นเกาเหิงที่ตรงเข้ามาทำค







