Masukบทที่2
หลังจากลงมือกระชากขวัญของสตรีไร้ยางอายเช่นคุณหนูรองหลัว หลัวเฟยเฟิ่งแล้ว หลีเซี่ยงหลิ่วก็ตรงมายังตำหนักหงส์ทองซึ่งนับจากนี้จะเป็นตำหนักที่พักอาศัยของหลัวเฟยเมี่ยวสตรีที่เขารักและจริงใจด้วยเพียงผู้เดียวจนกว่าเขาจะขึ้นเป็นฮ่องเต้แทนผู้เป็นบิดา เท้าแกร่งของบุรุษวัยเพิ่งเต็มยี่สิบสองก้าวมั่นคง ใบหน้ายิ้มแย้ม เขามีความสุขจนไม่ทันสังเกตรอบกายของตนเองว่ามีบางสิ่งผิดปกติไปมากอาจเป็นเพราะเขาคิดว่านี่คือที่ทางของตนเองจึงไม่ทันระวังตัวอันใดแม้แต่น้อย
และอาจเป็นเพราะเขากำลังมีความสุข จึงลืมระวังตัวไป ต่อให้ในอดีต หลีเซี่ยงหลิ่วจะผ่านความยากลำบากมามากแม้แต่กินอาหารบูดเน่าในตำหนักเย็นเขาก็ผ่านมาแล้ว แต่เมื่อสิบสี่หนาวก่อนผู้เป็นบิดาก็ยินยอมให้อภัยให้มารดาของเขาถึงแม้สุดท้ายจะสายไป ทว่าฮ่องเต้ก็ยังคืนฐานะให้กับเขาที่เป็นบุตรชายซึ่งกำเนิดจากสตรีอันเป็นที่รักอยู่ดี ชายหนุ่มนึกไปถึงครั้งแรกที่พบหน้าหลัวเฟยเมี่ยว
ในวันนั้นเขายังอายุเพียงสิบแปดหนาวส่วนอีกฝ่ายยังมีวัยเพียงสิบสี่หนาวเท่านั้น นางถูกคัดเลือกมาเป็นสหายร่วมศึกษาของ องค์หญิงหนิงเจียวน้องสาวต่างมารดาอีกผู้หนึ่งของเขา ในวันนั้นนางเอาร่างกายตนเองที่แสนจะบอบบางปกป้องลูกธนูให้กับเขาอย่างไม่กลัวตาย ดังนั้นแล้วนับจากมารดา หลัวเฟยเมี่ยวจึงเป็นสตรีผู้เดียวที่เขาสนิทใจจะคบหาพูดคุย จากเด็กสาวจนเมื่อนางเติบใหญ่เป็นสาวเต็มกายเมื่อหนึ่งหนาวก่อนเขาจึงมั่นใจว่ารักนางมากจนคิดตบแต่งนางมาเป็นภรรยาเอก
แต่เพราะหนึ่งหนาวก่อนท่านย่าของนางถึงแก่กรรมจึงมิอาจจัดงานมงคลได้ มิคาดพอนางออกจากทุกข์กลับมีอุปสรรคใหญ่เป็นพี่สาวต่างมารดาของนางที่ไม่ยอมหลีกทางออกเรือน แต่ยืนยันจะแต่งงานเข้ามาคู่กับน้องสาวให้จงได้ หลัวเฟยเฟิ่งผู้นั้นถึงกับบีบบังคับบิดาด้วยชีวิตของตนเองและน้องสาวคนเล็กกับมารดาเลี้ยงที่รักใคร่เอ็นดูนางดังมารดาโดยแท้ เขาฟังแล้วก็ให้ชิงชังสตรีไร้ยางอายผู้นั้นอย่างยิ่งดังนั้นราตรีนี้ที่สั่งสอนนางไปเช่นนั้นจึงไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย
สตรีมักใหญ่ใฝ่สูงเขาพบเจอมามาก อาจทั้งชีวิต จึงชิงชังรังเกียจอย่างยิ่ง โดยที่ไท่จื่อหนุ่มไม่ทราบเลยว่าทั้งหมดทั้งมวลเป็นคำโกหกของหลัวเฟยเมี่ยวทั้งสิ้น นางเพียงต้องการเรียกคะแนนสงสารจากชายหนุ่มผู้เป็นเป้าหมายเท่านั้นจึงสร้างเรื่องใส่ร้ายป้ายสีพี่สาวต่างมารดาโดยไม่รู้สึกผิด เพราะสำหรับนางแล้วเพื่อบุรุษที่ตนเองรักกับฐานะฮองเฮาที่นางใฝ่ฝันต่อให้หลัวเฟยเฟิ่งต้องสละชีวิต นางก็ไม่คิดเสียใจ!
"เมี่ยวเอ๋อร์ ข้ามาแล้ว"
ความรักที่รอมานานถึงสองหนาววันนี้สิ้นสุดลงแล้วและเขากำลังจะได้ร่วมหอกับสตรีอันเป็นที่รัก อันใดจะสุขใจไปมากกว่านี้หลีเซี่ยงหลิ่วยากจะยกมาเปรียบเทียบ ชายหนุ่มก้าวตรงไปหาสตรีโฉมงามในอาภรณ์สีแดงเจิดจรัส ปักด้วยลดลายของหงส์สีทองเรืองรอง ปกติหลัวเฟยเมี่ยวก็งดงามจนเขายากจะมองสิ่งอื่นหากมีนางนั่งอยู่ตรงหน้า วันนี้พอนางแต่งกายและแต่งหน้าเต็มพิธีการกลับยิ่งงดงามจนเขารู้สึกว่านางเป็นเทพเซียนมากกว่ามนุษย์เดินดินไปเลย
"เช่นนั้นเรามาดื่มสุรามงคลกันเถิดนะ"
หลัวเฟยเมี่ยวเฝ้ารอเวลานี้มานานแสนนาน นางต้องอดทนมาถึงสี่หนาว ก็เพื่อที่จะมาให้ถึงวันนี้ ทั้งที่รู้สึกอยากจะระเบิดอารมณ์ใส่บุรุษผู้นี้อยู่หลายครั้งแต่เพื่อคนที่นางรักและเลือกแล้ว หลัวเฟยเมี่ยวก็อดทนผ่านมันมาได้ ยังดีว่าอีกฝ่ายนับเป็นบุรุษรูปงามผู้หนึ่งนางจึงไม่ต้องฝืนใจจำทนเมื่อเขาสัมผัสร่างกายหรือกอดจูบไปจนลึกซึ้งมากกว่านั้น หากเขารูปชั่วตัวดำหรืออวบอ้วนเช่นคุณชายหรือเชื้อพระวงศ์บางคนนางคงยากจะทนมาได้นานถึงสี่หนาวเช่นนี้
"กรี๊ด!"
โครม! เพล้ง! ฟู่...
"???"
หลีเซี่ยงหลิ่วมองภาพจอกบรรจุสุราตกลงบนพื้นเพราะถูกบางสิ่งพุ่งเข้าชนมือของตนเองและหลัวเฟยเมี่ยวขณะที่กำลังจะยกขึ้นดื่ม ซึ่งเขาจะไม่ตกใจเลยหากว่าสุรานั้นเมื่อหกลงบนพื้นก็กลายเป็นควันพวยพุ่งขึ้นมาเป็นสาย พรมปูพื้นตรงบริเวณหน้าเตียงที่สุราถ้วยนั้นกระเด็นไปโดนเห็นได้ชัดเจนที่สุดว่าสุราจอกของเขาเองมีปัญหา ชายหนุ่มที่กำลังมีความสุขราวกับว่าตนกำลังก้าวขึ้นไปบนดินแดนเทพเซียนคล้ายกับถูกเท้าขนาดยักษ์ที่มองไม่เห็นถีบจนพลัดตกลงมาในหุบเหวที่ทั้งมืดมิดแล้วเหน็บหนาวในทันทีทันใด!
ปัง! โครม! ตุ๊บ!
"ไท่จื่อกระหม่อมพบนางอยู่ด้านนอกตำหนักพ่ะย่ะค่ะ"
องครักษ์นาม'จูอิน'ที่ปกติจะติดตามอยู่เบื้องหลังของหลีเซี่ยงหลิ่วเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับผลักร่างเล็กในอาภรณ์ของนางกำนัลชั้นปลายแถวลงไป นอนฟุบอยู่แทบเท้าแกร่งของผู้เป็นนายด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ก่อนที่ร่างเล็กดังกล่าวนั้นจะค่อยๆ ขยับใบหน้ามาให้หลีเซี่ยงหลิ่วได้พบเห็น
"หลัวเหลียงตี้"
เป็นฉงหลินที่เดินตรวจตราดูความเรียบร้อยโดยทั่วไปร้องอุทานนามของสาวน้อยคนดังกล่าวออกมาเป็นคนแรก ฝ่ายของคนที่ลงไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงได้แต่ร้องในใจว่าแย่แล้ว แย่แล้ว เพราะไป๋ลู่โดยแท้ที่พานางมาพบจุดพบเช่นนี้ แล้วเหลือบสายตาไปมองเจ้าแมวโง่ตัวพาซวยแล้วอยากบีบคอของมันนัก ที่ให้เข้านั้นมีตั้งมากเจ้าแมวตัวร้ายของน้องสาวนางกลับไม่พุ่งเข้าไปแต่ดันพุ่งเข้ามาในห้องหอที่มีพญายมเซี่ยงหลิ่วอยู่กับนางมารเฟยเมี่ยวเสียได้
ตุ๊บ!
"ไป๋ลู่!"
คราวนี้หลัวเฟยเฟิ่งตะเกียกตะกายลุกขึ้นแล้วพุ่งไปคว้าร่างของแมวน้อยตัวอ้วนกลมที่เป็นของต่างหน้าของนางสาวคนเล็กด้วยกิริยาลืมรักตัวกลัวตาย นั่นก็เพราะเจ้าแมวน้อยขึ้นไปบนโต๊ะอาหารแล้วไม่อาจทราบได้ว่ามันเป็นอันใดไป ซึ่งเพียงแค่รับร่างของไป๋ลู่เอามาอุ้มในอ้อมแขนคนที่เป็นท่านหมอเช่นนางจะไม่กระจ่างได้อย่างไรว่าแมวที่น้องสาวฝากเอาไว้ตายเสียแล้ว มันตายด้วยยาพิษ!
"ยาพิษ! อาหารบนโต๊ะมียาพิษ ไท่จื่อ ไท่จื่อเฟย ทรงเสวยไปแล้วหรือยังเพคะ?"
เสียใจที่แมวน้อยตายจากไปนั้นมากล้น แต่ชีวิตของน้องสาวกับน้องเขยก็สำคัญ นางที่เป็นหมอจึงหันไปสอบถามทั้งสองคนอย่างไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง และเพียงนางร้องออกไปเช่นนั้นทหารองครักษ์ก็พุ่งเขามาภายในห้องหอจนเต็มไปหมด แต่ที่จะตกใจก็คือทหารองครักษ์เหล่านั้นดูแล้วไม่น่าจะเป็นคนขององค์ไท่จื่อสักเพียงคนเดียว!
"พี่ใหญ่...หลีซือหลาง"
หลีเซี่ยงหลิ่วพึมพำนามของพี่ชายต่างมารดาออกมาแผ่วเบาราวกับคนละเมอเหม่อลอย เมื่อแลเห็นร่างสูงใหญ่ของบุรุษที่อายุมากกว่าเขาอยู่สามหนาวและเป็นพี่ชายที่ดีต่อเขามาโดยตลอด ผิดกับพี่รองและพี่สามที่คอยแต่จะรังแกเขาในวัยเด็กกับแก่งแย่งชิงดีชิ่งเด่นกับเขาเมื่อเติบใหญ่คนที่วางใจกลับร้ายที่สุดไปแล้วจริงๆ
“ไท่จื่อระวัง!/ องค์ไท่จื่อระวัง!”
ขวับ! ฉึก!
จูอินกับฉงหลินร้องขึ้นมาพร้อมกันแต่ก็ยังช้ากว่ามีดสั้นในมือของหลัวเฟยเมี่ยวที่แทงเข้าตรงหน้าอกด้านซ้ายซึ่งเป็นจุดตายในร่างกายมนุษย์จนทะลุออกไปยังแผ่นหลังของหลีเซี่ยงหลิ่วเข้าเสียก่อนชายหนุ่มยังคงยื่นนิ่งงันอย่างไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือความจริง
"เมี่ยวเอ๋อร์! เหตุใดกัน?"
หลีเซี่ยงหลิ่วสำลักโลหิตออกมาคำใหญ่จากพิษของบาดแผลซึ่งถูกสตรีอันเป็นที่รักแทงเข้ามาสุดกำลังแล้วกระชากมีดสั้นเล่มนั้นออกไปทันที ก่อนจะเอ่ยปากถามสตรีที่กล้าแทงมีดเข้าสู่หัวใจของตนเองทั้งที่นางดูทั้งอ่อนแอและบอบบางถึงเพียงนั้น พลางเหลือบสายตาก็จับจ้องไปที่นางอย่างไม่อยากจะเชื่อว่านี่เป็นหลัวเฟยเมี่ยวจริงๆ หากเป็นหลัวเฟยเฟิ่งพี่สาวของนางเขาจะไม่แปลกใจหรือสงสัยเลย แต่นี่คือนาง...
คือนางที่ลงมือ ก่อนที่สุดท้ายหลีเซี่ยงหลิ่วจะกระจ่างเมื่อหลัวเฟยเมี่ยวนั้นก้าวเท้าเข้าไปสู่อ้อมแขนของผู้เป็นพี่ชายที่เขาวางใจและเคารพรักดังกับอีกฝ่ายคือพี่ชายร่วมมารดากับเขาเช่น'หลีซือหลาง'องชายใหญ่ที่กำเกิดจากเหวินกุ้ยเฟยที่แท้เขาโง่เขลาให้สองคนนี้ปั่นหัวหลอกลวงมาตลอด สายตาจึงค่อยเหลือบไปมองบนพื้น ตั้งแต่สุรามงคลถ้วยนั้นหลัวเฟยเมี่ยวก็ตั้งใจเอาชีวิตของเขาแล้ว
ไหนจะอาหารบนโต๊ะนั้นที่แมวสีขาวตัวน้อยซึ่งเขาพอจะจดจำได้ว่าหลัวเฟยเฟิ่งอุ้มมันตลอดยกเว้นตอนกราบไว้ฟ้าดินกับยกน้ำชาให้ฮ่องเต้และเหวินกุ้ยเฟยที่เป็นมารดาแท้ๆ ของหลีซือหลางคนชั่วเท่านั้นที่นางยอมให้แมวน้อยห่างกายนั้นกินแล้วตายแทนเขาไปแล้วอีกเล่าเพียงเท่านี้ชายหนุ่มก็พลันตาสว่างแล้วว่าตนเองถูกหลอกมาหลายหนาวเต็มทน
"เฟยเมี่ยว นี่เจ้าทำอันใดน่ะ?"
หลัวเฟยเฟิ่งนั้นเพิ่งหาเสียงของตนเองพบนางจึงถามออกไปอย่างโง่งม ในอ้อมแขนยังกอดซากของแมวน้อยเอาไว้แนบหัวอก ใบหน้างดงามตื่นตกใจอยู่ถึงเก้าส่วน ยิ่งเห็นไท่จื่อกุมบาดแผลตรงหน้าอกด้านซ้ายที่บัดนั้นแดงฉานไปด้วยโลหิตซึ่งหลั่งรินออกมาจากบาดแผลนางนั้นก็ยิ่งตกใจ เดิมทีนางคิดเพียงหลบหลีกหนีหายจากไปไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนสกุลหลัวอีกหรือองค์ไท่จื่อรวมไปถึงราชวงศ์แซ่หลีอีกแต่ผู้ใดจะคาดเพียงแมวตัวน้อยของนางหนีออกจากห่อผ้าแล้วกระโดดเข้ามาภายในตำหนักหงส์ทองแห่งนี้ นางก็ต้องมาตกอยู่กลางเหตุการณ์ไม่คาดฝันไปเสียได้ ต้องสูญเสียแมวไปแม้แต่ชีวิตก็มองแล้วว่ายากจะรอดพ้นออกไปได้
"หุบปากไปเลยนังโง่ หากไม่ใช่เพราะแกกับเจ้าแมวชั่วนั่น เซี่ยงหลิ่วก็ตายไปแล้ว"
เผียะ!
กล่าวจบหลัวเฟยเมี่ยวก็ตรงเข้าไปตบหน้าของหลัวเฟยเฟิ่งจนหน้าหันไปตามแรงตบนั้น พอนางหันกลับมาก็พบเข้ากับบิดาที่มาพร้อมกำลังทหารใต้ปกครอง เท่านั้นหลัวเฟยเฟิ่งก็รู้แจ้งแล้วว่าบัดนี้คนสกุลหลัวทำเรื่องเลวทรามเข้าแล้ว ร่างน้อยจึงถอยหลังจนไปชนกับร่างของหลีเซี่ยงหลิ่วที่กำลังจะสิ้นใจ มีองครักษ์ของเขาหนึ่งคนและขันทีอีกหนึ่งคนเท่านั้นซึ่งคาดว่าจะต้องมาสังเวยชีวิตร่วมกันในไม่ช้า แม้แต่นางเองก็คาดว่าจะไม่รอดแล้วจริงๆ
"ซือหลาง เจ้าทำอันใดกับเสด็จพ่อ"
หลีเซี่ยงหลิ่วยังมีแก่ใจนึกไปถึงบิดากับพี่ชายอีกสองคน แต่เขามีกำลังสอบถามได้แค่เพียงบิดาเท่านั้น และไม่ต้องรอนาน ถุงผ้าที่ชุ่มโชกไปด้วยโลหิตสามถุงก็ถูกโยนมาตรงหน้าของชายหนุ่มราวกับเศษสวะเท่านั้น
"ข้าส่งพวกเขาไปรอเจ้ากับพระชายารองคนงามของเจ้าแล้ว น้องสี่"
ตุ๊บ! ตุ๊บ! ตุ๊บ!
ถึงผ้าใบหน้ากลิ้งมาหยุดอยู่ตรงหน้าของหลัวเฟยเฟิ่ง แต่หญิงสาวไม่กล้าที่จะเปิดออกดู ตรงกันข้ามกับหลีเซี่ยงหลิ่วที่พยักหน้าให้จูอิงและฉงหลินเปิดออกดูทันที และสุดท้ายความอยากรู้อยากเห็นของนางก็ชนะ หลัวเฟยเฟิ่งจึงชะเง้อคอเมียงมองร่วมดูชมกับทั้งสามคนจนครบ ซึ่งแน่นอนว่านางเพิ่งจะยกน้ำชาให้ทุกคนไปยังไม่ทันข้ามวันข้ามคืนมีหรือจะจดจำทุกศีรษะในถุงผ้ามิได้
'ว่าแต่หลีเซี่ยงหลิ่วผู้นี้เขาถูกแทงยังจุดตายมิใช่หรือเหตุใดถึงยังไม่ตายอีกเล่า?'
ถึงจะเสียขวัญกับภาพศีรษะคนตายในถุงผ้าอยู่มากหากแต่นางเป็นหมอ เจอมาแล้วแม้แต่การถูกให้ไปผ่าศพคนตาย ดังนั้นหลัวเฟยเฟิ่งจึงจิตใจแข็งแกร่งในระดับหนึ่งและขณะนี้นางก็รู้สึกว่าอาการของไท่จื่อหลีเซี่ยงหลิ่วผิดปกติ ยังดีว่าฝ่ายองค์ชายใหญ่กับน้องสาวและบิดาของนางยังไม่ทันสงสัย หญิงสาวไม่รอช้าจับชีพจรของบุรุษข้างกายทันที
"บาดแผลไม่สาหัส"
นางพึมพำกับตนเองเพียงเท่านั้นสมองอันฉับไวก็คิดได้ว่าตนเองยังพอมีหนทางรอดชีวิต ขอเพียงทั้งสามคนนี้จะเป็นผู้นำทางพานางออกไปจากตำหนักเลือดแห่งนี้ เพราะให้นางหลบหนีไปผู้เดียวเห็นทีจะไม่รอดเพราะนางไม่รู้ทางหนีทีไล่เช่นพวกเขาทั้งสามคนที่คุ้นเคยกับสถานที่มากกว่า ส่วนนางเพิ่งมา เมื่อครู่ก็เดินหลงทางจนมาโผล่ยังหลังตำหนักแห่งนี้ สุดท้ายแมวที่น้องสาวให้ไว้ก็ต้องมาจบชีวิตลงในสถานการณ์ที่ย่ำแย่แห่งนี้จนได้ แต่หลัวเฟยเฟิ่งไม่มีเวลาเศร้าเสียใจขณะนี้ขอเพียงหนีออกไปจากวงล้อมของคนที่พร้อมจะสังหารชีวิตได้ก็นับว่านางมากวาสนาแล้ว
'ร่างกายของท่านยังหลบหนีได้ ข้าเป็นท่านหมอหญิง มีเงินทองติดกายสามารถสนับสนุนและช่วยเหลือท่านได้ ขอเพียงพวกท่านพาข้าหลบหนีออกไปด้วยเท่านั้น'
คราวแรกที่นางวาดตัวอักษรลงบนท้องแขนของเขา หลีเซี่ยวหลิ่วออกจะแปลกใจอยู่บ้างเพราะมิคาดว่านางที่เป็นคนสกุลหลัวเช่นกันจะต้องพึ่งพาอาศัยเขาพาหนีออกไปไย แต่พอเขาเห็นสายตาของบิดาของหลัวเฟยเฟิ่งจึงพอจะเข้าใจ บุรุษผู้นั้นแม้แต่ชีวิตบุตรสาวคนรองก็ไม่คิดจะเก็บรักษาเอาไว้แล้วเป็นแน่ เขาจึงหันไปมองประสานสายตากับจูอิงและฉงหลิน ถึงอย่างไรเขาก็ต้องการหมอ ในเมื่ออีกฝ่ายคือหมอต่อให้นางเป็นเพียงหมอหญิงและเป็นคนสกุลหลัวแต่เขาก็ยังจำเป็นต้องใช้งานนางอยู่ดี
ดังนั้นเอาอีกฝ่ายไปด้วยก็พอจะเป็นหนทางรอดให้กับตนเองได้หมับ!
"แม่ทัพหลัว ท่านจะยอมให้บุตรสาวของตนเองตายเช่นนั้นหรือ?"
หากแต่คราวนี้หลีเซี่ยงหลิ่วมิอาจวางใจสตรีได้อีกแล้ว จึงกระชากมีดสั้นของฉงหลินมาจี้หมับเข้าที่ลำคอของหลัวเฟยเฟิ่งคิดว่าจะลองเอานางเป็นตัวต่อรองดูก็ไม่เสียหาย แต่หลัวเหยียนฟ่านกับหัวเราะออกมาอย่างคนใกล้เสียสติเสียอย่างนั้น
"เดิมทีนังเด็กนั่นมันก็ไม่ใช่สายเลือดของคนสกุลหลัวอยู่แล้ว ที่ยอมให้มันยังมีลมหายใจมาถึงสิบแปดหนาวเพราะหนึ่ง ท่านแม่ของข้าเมตตามัน สองแม้จะสิ้นท่านแม่ของข้าไปแล้วก็มีเหตุที่จะใช้มันเป็นตัวหลอกส่งมากับเมี่ยวเอ๋อร์ให้แผนการสมจริง ซึ่งบัดนี้มันก็หมดประโยชน์แล้ว พลธนูเตรียมพร้อม!"
พอเห็นว่าจวนตัวไม่ได้ผลหลีเซี่ยงหลิ่วจึงหันไปส่งสัญญาณกับจูอิงและฉงหลิน ค่อยๆ ถอยไปจนถึงจุดที่พวกเขาทั้งสามรู้ดีว่ามีกลไกซ่อนอยู่ เมื่อพลธนูขึ้นสายพุ่งตรงมาอย่างเตรียมพร้อมรอก็แค่เพียงคำสั่ง เขาก็ตบฝ่ามือลงไปตรงบริเวณโคมไฟข้างหัวเตียงทันที!...
บทที่16พอตกบ่ายจางเยี่ยนจื่อก็ตื่นขึ้นมาในสภาพหัวยุ่งหน้าตาบวมปูด จมูกแดงปากจิ้มลิ้มก็เจ่อจนดูตลก คราวนี้ท่านหมอจางคนเกิดก็เกิดปัญหาใหญ่ขึ้นมาแล้ว คราวแรกนางเกือบก้าวเท้าออกจากห้องแล้วยังดีพี่ฉางเอ๋อร์คนงามของนางนั้นร้องทักพร้อมส่งคันฉ่องมาให้ดู จางเยี่ยนจื่อจึงม้วนตัวกลับเข้าห้องมาอย่างว่องไว สภาพตลกเล่นนี้แม้แต่เจอสุนัขล่าเนื้อของชาวบ้านมันยังเห่าดังนั้นอย่าได้คาดหวังเลยว่าผู้คนพบเข้าจะไม่ขบขันนาง"ข้าชิงชังเขายิ่งนัก!"โมโหเดือดขึ้นมาท่านหมอจางคนเก่งจึงระเบิดคำพูดออกมาโดยลืมยั้งคิด พอตั้งสติได้จึงค่อยเหลียวซ้ายแลขวาราวกับหนูกลัวแมว ก็คนบ้าผู้นั้นน่ากลัวเกินไปประเดี๋ยวก็ดีประเดี๋ยวก็ร้ายทำตัวราวกับสตรีวัยใกล้หมดรอบเดือนทั้งที่เขาก็เพิ่งจะอายุเพียงยี่สิบสองเท่านั้น หรือว่า? ..."นี่พี่ฉางเอ๋อร์ข้ามีเรื่องอยากหารือ"จางเยี่ยนจื่อนั้นกระโดดลงจากเตียงลงไปนั่งบนเก้าอี้ข้างฉางเฉี่ยนจนขันทีคนงามต้องผวาถอยห่างออกไปราวกับอีกฝ่ายคือยาพิษ ทำเอาหญิงสาวถึงกับชักสีหน้าใส่อีกฝ่ายด้วยความไม่พึงใจนักที่อีกฝ่ายดูรังเกียจตนเองแปลกๆ"ข้าไม่ใช่หนอนบุ้งสักหน่อยพอเข้าใกล้จะได้คัน"ฉางเฉี่ยนไม่อยากจะกล่าว
บทที่15"คนชั่ว! ท่านอย่าเข้ามาอีกนะ!"คนตัวน้อยไม่มีหนทางจะถอยหนีแล้ว แต่เจ้าคนถูก'ผีบ้า'เข้าสิงสู่นั้นกลับยังคงรุกรานคืบคลานไล่ต้อนนางเข้ามาไม่หยุดสองมือเล็กยกขึ้นกำด้ามกระบี่ของอีกฝ่ายเอาไว้แน่น แต่คงเกร็งมากไปมือน้อยนั้นกลับสั่นไหวไม่หยุด"ก็บอกว่าอย่าเข้ามาเช่นไรเล่า! หากเข้ามาอีกข้าจะจะแทงท่านที่หัวใจ!"มุมปากแกร่งกระตุกด้านขวาของเซียวอู๋เกอค่อยๆ ยกโค้งขึ้นดูน่ากลัวราวกับปีศาจราคะนั้นยิ่งทำให้จางเยี่ยนจื่อนั้นย่อมหวาดกลัวบุรุษตรงหน้าขณะนี้แปลกไปมากจริงๆ นางไม่ทราบว่าอีกฝ่ายโกรธนางด้วยเรื่องอันใดกันแน่ และยิ่งไม่เข้าใจว่าเขาเป็นอันใดไปจึงดูคล้ายถูกปีศาจราคะสิงสู่เช่นนี้ ซึ่งนางก็เป็นสตรีย่อมหวาดกลัวอยู่มาก"เช่นนั้นก็แทงสิ เจ้าเป็นหมอและยังรู้จุดตายของข้าดีกว่าผู้ใด แทงลงมาเลย แทงตรงนี้"มือแกร่งของเซียวอู๋เกอจับที่กระบี่ของตนเองแล้วลากลงมาจากลำคอตรงมายังตำแหน่งของหัวใจที่ต่างจากผู้อื่นของตน ดวงตาของเขานั้นจับจ้องมองมาที่นางแน่วแน่ เรียวปากแกร่งนั้นแย้มยิ้มแต่รอยยิ้มดังกล่าวกลับไปไม่ถึงดวงตาหงส์คู่นั้นเลยแม้แต่น้อย เขาออกแรงกดมันแทงเข้าเนื้อจนจางเยี่ยนจื่อตาโต นางเป็นท่านหมอในชีว
บทที่14ดังนั้นหลายวันมานี้จางเยี่ยนจื่อจึงรู้สึกว่ามีบางสิ่งขาดไป คิดทบทวนจนแน่ใจหญิงสาวก็กระจ่างว่าที่หายไปก็คือ'เจ้ากรรมนายเวร'เช่นเซียวอู๋เกอนี่เอง ถึงจะอยู่เรือนเดียวกันนอนห้องเดียวกัน แต่เดี๋ยวนี้นอกจากเวลาทำแผลใส่ยาเขาก็หายหน้าไปตลอดวันและถึงจะนอนห้องเดียวกันพอนางล้มตัวลงนอนอีกฝ่ายก็ลุกไปกลับมายามใดนางเอกก็ไม่รู้เช่นกัน พอนางตื่นขึ้นมาเขาก็หายไปแล้วกรี๊ด! 'ในที่สุดข้าก็หมดเวรสิ้นกรรมกับเจ้าคนหน้าหนาหน้าทนแล้ว'จางเยี่ยนจื่อไม่สนใจหรอกว่าเกิดอันใดขึ้นกับอีกฝ่าย นางสนใจแต่อีกฝ่ายไม่เป็นดังเงาตามติดก็เพียงพอแล้วเพราะหากมีโอกาสนางจะได้หนีไปสักครา แค่คิดถึงอิสระจางเยี่ยนจื่อก็มีความสุขจนเดินผ่านสุนัขนางก็ยิ้มให้มัน เดินผ่านไก่แจ้ แมวเหมียว แม้แต่วัวหรือกระบือนางก็สามารถยิ้มพร้อมโบกมือทักทายพวกมันอย่างสนิทสนมจน ฉางเฉี่ยนกับหลุนเปียวนั้นชักจะกลุ้มใจแล้วจริงๆอีกคนก็เคร่งขรึมจนน่าหวาดหวั่นอีกคนก็ดูร่าเริงอารมณ์ดียิ้มได้ทั้งวันราวกับไปกินสมุนไพรผิดชนิดจนเมามายแล้วมีอาการตาหวานเยิ้มหนักข้อขึ้นทุกวันจนใกล้วันจะเดินทางไปจากหมู่บ้านถงซานแห่งนี้เข้าไปทุกทีอาการประหลาดของผู้เป็นนายทั้งสองก็ท
บทที่13ฝ่ายคนที่ทำให้'ฉางเอ๋อร์เจี่ยเจีย'นั้นเสียกิริยาและฟุ้งซ่านนั้นกลับยังสบายใจตรงไปอาบน้ำชำระล้างร่างกายจนสะอาดแล้วจึงค่อยไปทำแผลใส่ยาให้กับ'หนี้รักหนี้แค้น'ของตนเองอย่าง'ใส่ใจ'จนค่ำคืนนั้นเสียงร้องโอดโอยดังลอยออกมาจากห้องของสองสามีภรรยาหนุ่มสาวอยู่ครู่ใหญ่เลยทีเดียวแต่ก็ไม่มีผู้ใดก้าวไปยุ่งด้วยแม้แต่ฉางเฉี่ยนหรือสององครักษ์เกาเหิงและหลุนเปียว"เจ้ามันก็ดีแต่รังแกข้า กับท่านหัวหน้าหมู่บ้านผู้นั้นเจ้าไม่เห็นไปเอาความกับเขาบ้างเล่า?"หลังจากถูกท่านหมอจางผู้อำมหิตลงมือทำแผลอย่างไม่ปรานีเสร็จแล้วเซียวอู๋เกอจึงอดจะกล่าวออกมาด้วยความแค้นเคืองเสียมิได้เพราะกับเขานางตามเก็บไม่มีพัก เถียงได้ถึงแอบหลอกด่าได้นางทำ แม้แต่รังแกเขาด้วยการทำแผลหนักมือจางเยี่ยนจื่อนั้นก็ไม่เคยไว้หน้าฐานะ'ฮ่องเต้'ของตนเลยสักครั้งช่างสมควรตายเสียจริง!"คนเช่นเฝิงคุนผู้นั้นไม่ต้องถึงมือของข้าหรอกแค่ฮูหยินเอกของเขาเพียงผู้เดียวช่วงนี้พวกเราก็จะไม่เจอหน้าเขาไปอีกหลายสิบวันเชียวละ ท่านเชื่อข้าเถอะ"กล่าวไปจางเยี่ยนจื่อก็เช็ดทำความสะอาดเครื่องไม้เครื่องมือไป เซียวอู๋เกอรู้สึกว่าตนเองเริ่มจะไม่ปกติแล้วจริงๆ เพราะเห็นจา
บทที่12หลังจากผ่านด่านดังกล่าวมาอย่างราบรื่นทุกคนก็ต่างหายใจสะดวกขึ้นเล็กน้อย แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เซียวอู๋เกอก็มอบให้หลุนเปียวหาทางส่งข่าวไปหาจงเจิ้งและหย่งเซิ่งเสียก่อน เพราะกังวลว่าทั้งสองอาจขึ้นเขาแล้วไปพบกับทหารชุดดังกล่าวเข้าอาจจะลำบากมิสู้แจ้งข่าวให้อีกฝ่ายทราบแล้วตามไปพบกันยังหมู่บ้านถงซานย่อมดีกว่า หลังจากจัดการทุกสิ่งเรียบร้อยทั้งเจ็ดชีวิตก็ตรงไปยังบ้านของสองผู้เฒ่าแซ่เพ่ยทันทีกว่าจะเดินทางไปถึงหมู่บ้านถงซานก็ดวงอาทิตย์ใกล้ชิงพลบเสียแล้ว ซึ่งทั้งหมดก็เดินตามกลุ่มนายพรานและชาวบ้านที่ออกไปเก็บข้าวสาลีผ่านซุ้มประตูทางเข้าหมู่บ้านไปได้ด้วยดี มีหลายคนที่ทักทายสองผู้เฒ่า แต่พอเห็นหน้าของจางเยี่ยนจื่อพวกเขาก็ไม่ตามต่อ เพราะทราบดีว่าท่านหมอจางนั้นเป็นผู้มีพระคุณใหญ่หลวงของสองผู้เฒ่าแซ่เพ่ยจึงเคารพอีกฝ่ายราวกับเทพธิดา เนื่องจากจางเยี่ยนจื่อเมื่อสามหนาวก่อนนางได้ช่วยชีวิตของบุตรชายคนเดียวของท่านลุงและท่านป้าเพ่ยที่ไปสอบเป็นเสมียนอำเภอหนิงเสวียนจากพิษของงูแมวเซาต่อมาเมื่อหนึ่งหนาวก่อนฮูหยินของบุตรชายของสกุลเพ่ยนั้นคลอดลูกยากจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดก็เป็นท่านหมอจางอีกที่ไปช่วยทำคล
บทที่11เซียวอู๋เกอนั้นมองการกระทำของจางเยี่ยนจื่อที่สาดผงบางสิ่งลงไปตามรอยเท้าแล้วจากนั้นนางก็ใช้เข็มเงินแทงลงไปที่รอยเท้าดังกล่าว ก็แปลกใจนักไม่เข้าใจว่านางแยกแยะได้เช่นไรว่ารอยเท้าใดเป็นของสองผู้เฒ่ากับสององครักษ์ของเขา เพราะชายหนุ่มแน่ใจอย่างยิ่งว่าบนเขาแห่งนี้ไม่ใช่มีเพียงพวกเขากับสองผู้เฒ่าเท่านั้น แต่ต้องมีนายพรานและชาวบ้านอีกมากที่ขึ้นเขามาในแต่ละวัน วันนี้ก็คงไม่ต่างกัน ทว่าเซียวอู๋เกอนั้นก็ไร้โอกาสที่จะสอบถามเดินอยู่หนึ่งชั่วยามโดยอาศัยหูที่ดีเป็นพิเศษของฉางเฉี่ยนกับสายตาและจมูกที่ว่องไวของเขาจึงหลบหลีกนายพรานกับชาวบ้านได้โดยตลอด ต่อมาอีกครึ่งชั่วยามก็พบกับทั้งสองผู้เฒ่าแซ่เพ่ยกับสององครักษ์หลุนเปียวและเกาเหิงได้อย่างน่าประหลาดใจสำหรับเซียวอู๋เกอยิ่งนักเพราะถึงเขาจะผ่านการฝึกฝนมีทุกแขนงทุกศาสตร์ทั้งต่อสู้ กลศึกไปจนถึงการเขียนพู่กันและเดินหมากชงชาเขาล้วนถูกเข้มงวดมาตั้งแต่อายุไม่กี่หนาว แต่วิชาสะกดรอยตามบนภูเขานี้สำหรับเขานั้นไม่ง่ายและแปลกใหม่เหลือเกินและคาดว่าในเมืองหลวงสาวน้อยที่ทำได้อาจมีน้อยยิ่งกว่าน้อยเป็นแน่"นายท่าน นายหญิง เกิดอันใดขึ้น?"เป็นเกาเหิงที่ตรงเข้ามาทำค







