ดูเหมือนแอมเบอร์จะเดินออกไปแล้ว และแน่นอนว่า ด้วยอารมณ์แบบนั้น เธอคงหัวเสียไม่น้อย — ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ผู้หญิงคนนั้นดูแลวงไซเรนมาตั้งแต่พวกเขายังเป็นแค่ชื่อที่ไม่มีใครรู้จัก จนกระทั่งกลายเป็นวงร็อกระดับโลก จะให้เธอไม่ระแวงสิ่งใดที่อาจสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของวง… ก็คงจะเป็นไปไม่ได้
หลังจากปิดตู้เสื้อผ้าเรียบร้อย หญิงสาวลากกระเป๋าไปเก็บไว้ข้างโต๊ะใกล้ห้องน้ำ แล้วกลับมาทิ้งตัวลงบนเตียงกว้าง ผ้าปูใหม่หอมสะอาดและผิวสัมผัสนุ่มลื่นจนเธอแทบไม่เชื่อว่ามีใครเคยใช้ห้องนี้มาก่อน — เธอมั่นใจว่านี่คงเป็นครั้งแรกที่มีคนได้เข้ามาพักจริง ๆ
ร่างกายของเธอจมลงสู่ความนุ่มลึกของที่นอน ดวงตาหลับลงช้า ๆ ปล่อยให้ความคิดไหลย้อนกลับไปหาช่วงเวลาที่เพิ่งผ่านไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน... การพบกันครั้งแรกระหว่างเธอกับเอเดนในชาตินี้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จากการตะโกนใส่หน้ากันอย่างดุเดือด กลับกลายเป็นการแสดงความอ่อนแอจนถึงขั้นร้องไห้ฟูมฟายเหมือนคนเสียสติ
ดูเหมือนน่าอาย แต่นั่นก็ทำให้เขาไม่รีบผลักเธอออกไปเหมือนที่ผ่านมา — และที่สำคัญ... ทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขากลับดำเนินไปตาม "บทเดิม" อย่างน่าประหลาด ราวกับฉากในภาพยนตร์ที่ฉายซ้ำ ซ้ำแล้วซ้ำอีก
มันทำให้เธอเริ่มมั่นใจว่า...เธออาจมีโอกาสเปลี่ยนแปลงบางอย่างได้
แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ทั้งหมด
เพราะยังมี “บางสิ่ง” ที่เธอจำไม่ได้
คนคนนั้น — คนที่พรากทุกอย่างไปจากเธอ คนที่ทำให้เธอตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง — กลับหายไปจากความทรงจำอย่างไร้ร่องรอย
ใบหน้า เสียง ท่าทาง แม้แต่เงา... เธอก็จำไม่ได้เลย
เธอไม่รู้แม้กระทั่งว่าใครกันแน่ที่ลักพาตัวเธอ หรือใครที่เป็นคนฆ่าคนอื่น ๆ รอบตัวเธอ
...ทำไมถึงลบเลือนได้ขนาดนี้?
เป็นเพราะชะตาฟ้ากำหนดไว้ไม่ให้เธอเปลี่ยนอดีตอย่างนั้นหรือ? หรือเพราะสิ่งที่เธอพยายามจะแก้ไข... ไม่เคยสามารถเปลี่ยนได้เลยตั้งแต่แรก?
หญิงสาวถอนหายใจแรง ๆ หวังให้ความอึดอัดในอกหลุดออกไปพร้อมลมหายใจขุ่นมัวนั้น
“โอเค ของขวัญ ใจเย็น” เธอบอกตัวเอง
ก่อนจะเบี่ยงความสนใจกลับมาที่คำถามง่าย ๆ ตรงหน้า — หลังจากนี้ควรทำยังไงต่อดี?
ในความทรงจำเดิม หลังจากย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน เธอกับเอเดนแทบไม่พูดกันเลยเป็นเดือน แต่ถ้าครั้งนี้เธอจะเริ่มใหม่... อย่างน้อยก็สมควรจะเอ่ยคำขอบคุณเขาสักหน่อย
เธอลุกจากเตียงอย่างลังเล แล้วค่อย ๆ แง้มประตูห้องออกช้า ๆ มองซ้ายมองขวาอย่างระวัง (ไม่ได้กลัวอะไรเลยจริง ๆ นะ สาบานได้)
แสงไฟในห้องนั่งเล่นเปิดไว้สลัว ๆ บรรยากาศเงียบสงบ เสียงเพลงเบา ๆ ลอยออกมาจากทีวีจอยักษ์ที่เปิดค้างอยู่ — เป็นเพลงของวงเคออส วงร็อกอีกวงที่เธอเคยได้ยินผ่านหู ตรงมุมหนึ่งของโซฟายาวในห้อง เธอมองเห็นเงาคุ้นตาเอนตัวพิงพนักอยู่ — เอเดน
เขาดูเหมือนจะหลับไปแล้ว ร่างกายแน่นิ่ง มือข้างหนึ่งยังคีบบุหรี่มวนเล็ก ๆ ไว้ราวกับไม่สนว่าไฟจะลามไปถึงพรมเมื่อไหร่
ใบหน้าเขาคมจัดราวกับถูกใครสักคนปั้นขึ้นมาอย่างประณีต ผิวเนียนจนสะท้อนแสง เส้นผมสีดำสนิทปรกหน้าบางส่วนแต่กลับยิ่งขับให้เขาดูเหนือจริงมากกว่าเป็นมนุษย์คนหนึ่ง คิ้วเข้ม ดวงตาที่หลับพริ้ม และริมฝีปากสีซีดที่เผยอเล็กน้อย — คนอะไรจะหล่อชิบหายขนาดนี้วะ
ในขณะที่หญิงสาวยืนนิ่งราวกับโดนสะกดสายตา เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นเบา ๆ จากริมฝีปากที่ดูเหมือนจะหลับสนิทเมื่อครู่
“มองอะไร – ไม่เคยเห็นคนหล่อหรือไง”
“ว้าย!”
ของขวัญสะดุ้งเฮือก ถอยกรูดจากโซฟาราวกับโดนจับได้คาหนังคาเขา ใจเต้นกระหน่ำจนแทบหลุดออกมานอกอก เธอมองเขาอย่างตกใจ — ก็เขายังไม่ลืมตาด้วยซ้ำ แต่กลับรู้ว่าเธอยืนอยู่ตรงนั้นได้ยังไง?
“นายตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...”
“ช่วยพูดภาษาเดียวกันกับฉันทีเถอะนะ”
เสียงทุ้มต่ำของเขาดังขึ้นอย่างเรียบเฉย แต่กลับแทรกแรงสะท้อนบางอย่างในอกเธอ เอเดนลุกจากโซฟาอย่างเชื่องช้า มือข้างหนึ่งเสยผมขึ้นจากใบหน้าราวกับไม่ได้ใส่ใจโลกอะไรทั้งนั้น ใบหน้าเขายังคล้ายเดิมทุกกระเบียดนิ้ว — แม้ผ่านมาสองชีวิตก็ยังคงเหมือนเดิมไม่มีผิด
“ฉันไม่ได้เก่งภาษาต่างประเทศมากนักหรอก”
“ฉัน... ฉันนึกว่านายหลับอยู่...”
ของขวัญอึกอัก
“แต่ฉันก็ไม่ได้หลับ” เขาตอบเรียบ ๆ พร้อมกับก้าวเข้ามาใกล้อีกนิด ดวงตาคมกริบสบเข้ากับเธออย่างจัง และเธอไม่อาจละสายตาได้ “จะว่าไป... ฉันคุ้นหน้าเธอมากเลยนะ เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า?”
คำถามนั้นเหมือนค้อนทุบเข้ากลางอก ของขวัญเม้มริมฝีปากแน่น คำตอบนับร้อยวาบขึ้นในหัว — ครั้งแรกที่เธอยืนอยู่หน้าเวทีคอนเสิร์ต, ครั้งที่เขาเคยเผลอยิ้มให้หลังเวที, หรือแม้แต่ครั้งที่เธอ...ตายเพราะเขา
แต่แน่นอน — เธอบอกเขาไม่ได้
“ไม่ — เราไม่เคยเจอกันหรอก”
เธอตอบในที่สุด พยายามวางสีหน้าให้เฉยชา
“แต่เธอไม่สงสัยเลยเหรอ ว่าฉันคือใคร?” เ
ขายังคงจับตามองเธอ ดวงตานั้นนิ่ง แต่แฝงประกายบางอย่างที่เธอเคยเห็นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
“ก็... นายอาจจะจำฉันผิดกับใครก็ได้”
เอเดนหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ก่อนจะดับบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ที่วางอยู่บนโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟา
“คนสวย ๆ แบบนี้ ฉันไม่น่าจะจำผิดนะ”
ของขวัญกลอกตา ก่อนจะพูดกลับทันควัน
“อย่ามาหลงตัวเองให้มากไปหน่อยเลยน่า ฉันไม่ได้อยากรู้ด้วยซ้ำว่านายเป็นใคร”
“แล้วที่เดินมาจ้องหน้าฉันเมื่อกี้นี่...เรียกว่าอะไรล่ะ?”
เขาถามยิ้ม ๆ พร้อมเท้าคางบนพนักพิงอย่างสบาย ๆ รอยยิ้มนั้นยังเหมือนเดิม — ยิ้มที่ทำให้หัวใจเธอเต้นผิดจังหวะเสมอมา และนั่นคือสิ่งที่ทำให้เธอเคยตกหลุมพรางของเขา...ในอีกชีวิตหนึ่ง
“ฉันแค่มาขอบคุณต่างหาก” ของขวัญตอบเบา ๆ ก่อนจะยิ้มจาง ๆ
“เรื่องอะไร?”
“เรื่องที่นายยอมให้ฉันอยู่ที่นี่ ขอบคุณนะ...จริง ๆ”
เอเดนชะงักไปเล็กน้อย คล้ายไม่คาดคิดว่าเธอจะพูดแบบนั้น เขายกมือเกาหลังคอเบา ๆ สีหน้าดูเก้ ๆ กัง ๆ อย่างไม่ค่อยชินกับคำขอบคุณ
“ไม่ต้องมาขอบคุณอะไรหรอก” เขาพึมพำ เสียงเบากว่าปกติ “ฉันก็แค่ช่วยคนที่เดือดร้อน”
เธอมองเขานิ่ง ท่าทีแบบนั้นมัน...เหมือนเดิมไม่มีผิด ทุกอย่างดูค่อย ๆ กลับเข้าสู่ร่องรอยที่เธอเคยเดินผ่านมาแล้วในชาติที่แล้ว
— และนั่นทำให้เธอเริ่มวางหมากใหม่ในใจ
“เพื่อนฉันเป็นแฟนคลับนายตัวยงเลยล่ะ” เธอพูดต่อ เสียงราบเรียบแต่แฝงนัย “ล่าสุดฉันเพิ่งไปคอนเสิร์ตของนายมาเพราะยัยนั่น ก็เลยไม่จำเป็นต้องถามว่านายเป็นใคร... เพราะรู้อยู่แล้ว”
“เธอรู้ไหม... ฉันเจอแฟนคลับมาเยอะมากในชีวิตนี้” เอเดนพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงกึ่งล้อเลียน “แบบแรกคือพวกที่คลั่งไคล้อย่างหนัก — พวกนั้นจะตามฉันไปทุกที่ แต่ก็จัดการง่าย แค่เซลฟี่ จับมือ หรือยิ้มให้หน่อยก็จบ”
เขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอนหลังพิงโซฟาอีกครั้ง
“แต่แบบที่น่ากลัวกว่าคือพวกที่ทำเป็นไม่สนใจ หรือแกล้งเกลียดฉันสุดใจ — แต่ในใจอยากเข้าใกล้ให้ได้มากที่สุด พวกนั้นน่ะ...ฉันไม่ถนัดรับมือเลยจริง ๆ”
ของขวัญกลืนน้ำลายเงียบ ๆ
“นายกำลังจะบอกว่าฉัน...เป็นแฟนคลับแบบนั้นเหรอ?”
“ฉันไม่ได้พูดนะ” เขายิ้มบาง — ยิ้มที่แทบฆ่าเธอให้ตายอีกรอบ
...ในชาติที่แล้ว เธอเคยหลงเสน่ห์รอยยิ้มแบบนี้
แต่ในชาตินี้ เธอจะไม่พลาดอีกแล้ว
“ว่าแต่—สรุปเธอชื่ออะไรเหรอ?”
เขาถามขึ้น ขณะเอนหลังกับพนักพิงอย่างสบาย ๆ สายตายังคงจับจ้องที่เธอราวกับอยากจำให้ขึ้นใจ ของขวัญชะงักไปเล็กน้อย ทั้งที่รู้ว่าจะต้องโดนถามคำถามนี้แน่ ๆ แต่กลับไม่ทันได้ตั้งรับ
“ของขวัญ...” เธอตอบในที่สุด
“คอง...ฟัน?” เอเดนทวนคำด้วยสีหน้างุนงง ริมฝีปากขยับช้า ๆ ตามเสียงสะกดที่เขาไม่แน่ใจว่าฟังถูกหรือเปล่า “คนอะไรชื่อแปลกชะมัดเลย”
เธอถอนหายใจ — ให้ตายเถอะ…
“ของ – ขวัญ”
เธอเน้นทีละพยางค์ ชัดเจนราวกับกำลังสอนเด็กอนุบาล
“คอง...วัน?” เขายังคงงงต่อ
พอกันที...
“เรียกฉันว่า ‘นาตาลี’ เถอะนะ” เธอตัดบท ขณะเบนสายตาหลบอย่างเหนื่อยใจ “ฉันจะไม่เอาภาษาบ้านเกิดฉันมาให้นายต้องพยายามออกเสียงอีกแล้วล่ะ”
เอเดนเอียงคอเล็กน้อย มองเธออย่างไม่เข้าใจนัก
“ทำไมล่ะ? ฉันว่ามันออกจะเพราะดี”
เออ... ก็คงเพราะสำหรับเขานั่นแหละ ของขวัญยิ้มแห้ง ๆ ก่อนตอบเบา ๆ
“ละไว้ในฐานที่เข้าใจก็แล้วกัน”
เขาหัวเราะน้อย ๆ ก่อนจะยื่นมือข้างหนึ่งมาตรงหน้า
“ฉัน เอเดน เคนเนธ เพื่อนในวงมักเรียกฉันว่า ‘เอ’ แต่จะเรียกยังไงก็แล้วแต่เธอถนัด — ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
ของขวัญมองมือเขาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงยื่นมือไปจับเบา ๆ
“ยินดีที่ได้รู้จัก...เอ”
มือของเขาไม่ได้นุ่มจนละลายหรือหยาบกร้านเหมือนคนแบกของทั้งวัน แต่กลับอบอุ่นพอจะทำให้ใจของเธอสั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก ราวกับบางสิ่งบางอย่างถูกปลดล็อกขึ้นในวินาทีนั้น
แสงไฟในห้องยังคงนุ่มนวลพอจะสร้างบรรยากาศได้โดยไม่ต้องพึ่งคำพูดใด ๆ และในจังหวะที่มือของเขาสัมผัสเธอ ราวกับมีแสงบางอย่างในใจของขวัญค่อย ๆ สว่างขึ้นอีกครั้ง
แม้เขาจะไม่ได้ยิ้มอย่างดีใจ หรือยินดีต้อนรับเธอเต็มที่นัก — แต่สิ่งสำคัญคือ เขาไม่ได้ผลักไสเธอเหมือนที่เคยเป็นในชาติที่แล้ว
และแค่นั้น... ก็เพียงพอแล้ว
สำหรับเธอ มันคือการเริ่มต้นใหม่ที่ไม่เลวเลยจริง ๆ
นาตาลีใช้แอปฯ เรียกรถให้มารับที่หน้าคอนโดฯ แล้วปักหมุดไปยังจุดหมายที่เธอจำได้แม่นยำราวกับมันฝังอยู่ในดีเอ็นเอ — ท่าเรือแคมบริดจ์ พอร์ทรหัส USY ที่นั่นมีโกดังหลังหนึ่งซึ่งจากภายนอกดูเก่าคร่ำคร่าเกือบจะร้าง ทั้งที่ความจริงแล้วมันถูกจัดแต่งอย่างจงใจให้ดูโทรม — “โทรมแบบมีคอนเซปต์” มากกว่าโทรมจริงการจะเข้ามาถึงจุดนี้ได้ไม่ง่ายเลย ด่านรักษาความปลอดภัยหลายชั้นทำเอาเธอแทบถอดใจกลางทาง แต่ในที่สุด... ก็ยืนอยู่ตรงหน้าโกดังหมายเลข 7 — โกดังเก็บของขนาดใหญ่ที่ต้นสังกัดซื้อไว้เพื่อใช้เป็นสถานที่ซ้อมลับเฉพาะของวง ไซเรนจำนวนรถยนต์ที่จอดเรียงรายอยู่ด้านหน้าโกดังชัดเจนพอจะฟันธงได้ว่า... ลิงทั้งห้า น่าจะอยู่กันครบถ้วนทุกตัวแน่นอนนาตาลีเลือกใช้ทางลับ — เส้นทางที่ไม่มีใครรู้ นอกจากเธอกับเอเดน ทางที่เคยใช้ด้วยกันเป็นประจำในอดีตชาติที่เธอจำได้ไม่ลืมหัวใจเธอหวิวขึ้นมาเล็กน้อยในระหว่างที่ก้าวเดินอย่างเงียบเชียบผ่านตรอกแคบ ๆ ข้างโกดังเขาจะสงสัยไหมว่าเธอรู้ได้ยังไง?หรืออาจจะถามเลยว่าเธอเป็นใครกันแน่?หรือไม่ก็แค่จ้องมาด้
นาตาลีตื่นขึ้นมาในเช้าวันหยุดด้วยใบหน้าบวมเป่ง ราวกับเพิ่งโดนฝ่ามือของความจริงตบซ้ำซากหลายครั้งไม่ให้ทันตั้งตัว ขอบตาคล้ำลึก เครื่องสำอางเก่าที่ไม่ได้เช็ดออกจนหมดทำให้ดวงตาดูเลอะเลือนคล้ายงานศิลป์ที่เปียกฝน และเส้นผมกระเซอะกระเซิงเหมือนคนเพิ่งรอดพ้นพายุมาไม่ต้องส่องกระจกก็รู้—สภาพเธอตอนนี้แย่เกินจะออกไปรับแดดเธอถอนหายใจแรง ๆ ยกมือขึ้นกุมขมับเมื่อความปวดหัวแล่นขึ้นมาราวกับคีมเหล็กบีบสมอง ทั้งเสียงของแม่ที่ยังวนเวียนในหัวไม่หยุด และภาพเมื่อคืนที่เอเดนโอบเธอไว้แน่นยังฝังแน่นอยู่ในความทรงจำ“ไม่ ไม่สิ — หยุด! ของขวัญ แกต้องตั้งสติ”เสียงในหัวเธอสั่งอย่างนั้นนาตาลีรีบล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้า และเดินออกมาจากห้องนอนราวกับหนีออกจากฝันร้าย แพนเค้กง่าย ๆ สักสองสามแผ่นอาจพอช่วยให้สมองของเธอกลับมาทำงานได้ในห้องครัวที่เงียบเกินไป เสียงตีแป้งกลับชัดเจนราวกับมีไมค์จ่ออยู่ ความคิดที่พยายามผลักไสก็เริ่มกระซิบขึ้นมาอีกครั้ง…ทำไมถึงได้มาอยู่ที่นี่กับเขา — กับคนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคนไกลแสนไกล และไม่คิดว่าจะได้เข้
เสียงริงโทนเก่า ๆ ดังขึ้นภายในกระเป๋า สะท้อนก้องไปในลิฟต์ที่เงียบสงัดราวกับห้องสารภาพบาป นาตาลีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาช้า ๆ — ลึก ๆ เธอหวังว่าอาจจะเป็นต้นหอม แต่ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอกลับไม่ใช่...“ค่ะ แม่…”[เดินทางไปถึงแล้วใช่ไหม เป็นยังไงบ้าง]“ก็ดีค่ะ... หมายถึงโดยรวม”[แม่ไม่ได้หมายถึงแบบนั้น แนต — แม่หมายถึงงาน เรียน แล้วก็ที่สำคัญที่สุด... เรื่องของ ‘ลีวาย’]ลมหายใจของเธอขาดช่วงแผ่วเบาในลิฟต์ที่เงียบสนิท ราวกับคำพูดของแม่กดทับอะไรบางอย่างในอก — ไม่ใช่ห่วง แต่เป็น... ความคาดหวังที่ไม่เคยมีที่สิ้นสุด“งานโอเคค่ะ... หัวหน้าก็ดี เพื่อนร่วมงานก็ดีมากเลย บริษัทก็บรรยากาศดี—เรื่องเรียน แม่ไม่ต้องห่วงเลย หนูคิดว่าสิ่งที่ได้จากงานนี้ช่วยให้หนูเรียนได้ดีขึ้นแน่นอนค่ะ”[แล้วลีวายล่ะ?]ความเงียบยาวเกิดขึ้น ราวกับเวลาถูกยืดออกด้วยแรงโน้มถ่วงจากชื่อที่เอ่ยถึง คำตอบนั้นอยู่ที่ริมฝีปากเธอแล้ว เพียงแต่... ไม่ว่าจะพูดออกไปยังไง มันก็ “ผิด” สำหรับแม่อยู่ดี
“มันจะช่วยอะไรได้จริงเหรอเนี่ย...”วัตสันพึมพำเสียงเบา มือยังยกแก้วน้ำขึ้นจรดริมฝีปากราวกับใช้มันเป็นเกราะกำบังจากโลกภายนอก เธอไม่แม้แต่จะปรายตามามองคู่สนทนา สายตาของเธอทอดยาวออกไปยังบรรยากาศโดยรอบห้องวีไอพี ที่เริ่มวุ่นวายขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับตลาดยามค่ำคืน“ดูคนพวกนั้นสิ...” เธอเสริม น้ำเสียงไม่ติดจะเหนื่อยใจ “เหมือนอดอยากความบันเทิงมาทั้งชีวิต”นาตาลีเหลือบตามองตามคำพูดของเพื่อนร่วมงานเบื้องหน้า — เจมส์กำลังกระดกเหล้าเพียว ๆ ราวกับดื่มน้ำผลไม้ สีหน้ารื่นเริงเกินเหตุ ท่ามกลางเสียงเพลง EDM จังหวะยวบ ๆ จากลำโพงที่ไม่มีใครขอ แต่ทุกคนก็ยอมรับมัน“แล้วลมอะไรพัดเธอมานี่ล่ะ” เสียงของนาตาลีดังพอได้ยินแค่กันสองคน หยอกเย้าแต่ก็ซ่อนความสงสัยจริงจังไว้เล็กน้อย “นึกว่าเธอจะรอให้คุณเจรอสโลว์มาด้วยซะอีก ถึงจะยอมขยับตัว”
เช้าวันถัดมาหลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อย นาตาลีออกจากห้องพร้อมกาแฟแก้วหนึ่งและแซนด์วิชในมือ — ของสองสิ่งที่พอจะยึดเหนี่ยวเธอไว้ในเช้าวันใหม่ได้เธอใช้วันทำงานอย่างตั้งใจจนน่าแปลกใจ แม้เมื่อค่ำคืนก่อนจะเต็มไปด้วยความฝันที่... เอ่อ... วาบหวามเกินจะบรรยาย และถึงแม้ตอนเช้าจะสะดุ้งตื่นตกเตียงไปแบบสิ้นสภาพ นั่นก็ไม่ได้ลดทอนความตั้งใจในการทำงานของเธอลงเลยแม้แต่น้อยเพราะในเส้นทางใหม่นี้ เธอไม่มีเวลาจะหลงทางอีกแล้วช่วงพักกลางวัน นาตาลีเลือกเดินขึ้นไปยังดาดฟ้าของตึก บรรยากาศที่เงียบสงบและลมเย็นที่พัดปะทะใบหน้าเบา ๆ ทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูกแสงแดดอ่อน ๆ กระทบเส้นผมของเธอขณะที่เธอนั่งลงบนม้านั่งไม้ กาแฟแก้วที่สองอยู่ในมือ และแซนด์วิชอีกชิ้นที่ยังไม่ได้แกะห่อวางอยู่ข้างตัวเธอมองไปยังขอบฟ้าที่ไกลลิบ ภาพสะท้อนของตึกสูงเบื้องหน้าเป็นเหมือนโลกอีกใบที่เธอยังไม่เข้าใจ &mdas
หลังมื้ออาหาร เอเดนลุกขึ้นก่อน ค่อย ๆ เก็บจานชามอย่างเงียบ ๆ เขาเดินไปยังอ่างล้างจานโดยไม่พูดอะไรเพิ่ม แผ่นหลังสูงใหญ่เคลื่อนไหวอย่างเป็นจังหวะ ท่ามกลางแสงไฟสลัวที่ส่องกระทบเส้นผมเขาให้ดูอ่อนโยนกว่าปกตินาตาลีมองภาพนั้นเงียบ ๆเขาไม่เคยชอบให้ใครเข้ามาวุ่นวายในพื้นที่ส่วนตัวของเขา ไม่ชอบให้ใครเดินผ่านหลัง หรือทำอะไรโดยไม่บอกล่วงหน้า — เธอรู้ดี เพราะเธอเคยอยู่ตรงนี้มาก่อน...แล้วทำไม ครั้งนี้ถึงต่างออกไป?เธอพยายามบอกตัวเองไม่ให้คิดมาก แต่กลับห้ามไม่ทัน คำถามโง่ ๆ อย่าง “เขาสงสารเราหรือเปล่า?” แล่นขึ้นมาในหัว และที่แย่กว่านั้นคือคำถามที่สอง — “หรือว่า... เขาเริ่มรู้สึกอะไรบางอย่างกับเราแล้ว?”เธอเผลอพูดขึ้นเบา ๆ ขณะมองแผ่นหลังของเขา"...นายดูดีนะ ตอนล้างจานน่ะ"เอเดนหยุดมือไปชั่ววินาที ก่อนจะหันกลับมาพร้อมยิ้มที่ยากจะตีความ"นี่เธอชมฉันเหรอ?" เขาพูดพลางเดินกลับมาช้า ๆ "เขินเลยนะครับเนี่ย"นาตาลีหลบตาเล็กน้อย หัวใจเธอเริ่มเต้นแรงโดยไร้เหตุผลเขามาหยุดอยู่ตรงหน้า กลิ่นโคโลญจ์จาง ๆ ผ