“Just a little issue,” เคนเนธตอบเสียงเรียบ ก่อนจะเสยผมขึ้นอย่างลวก ๆ แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงไร้เยื่อใย “Apparently, the staff says I booked this unit... and so did she. And they can’t refund the deposit either.”
(มีเรื่องนิดหน่อยน่ะ พนักงานบอกว่าฉันกับผู้หญิงคนนี้จองห้องซ้อนกัน แล้วก็ไม่สามารถคืนเงินจองให้ทั้งสองฝ่ายได้ด้วย)
หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างในเงยหน้าขึ้นมองอีกคน ก่อนจะชะงักเล็กน้อย เมื่อสายตาสบกับหญิงสาวที่ยืนเงียบอยู่ด้านหลัง เธอกอดอกช้า ๆ ดวงตาคมกริบฉายแววเหยียดหยามอย่างปิดไม่มิด
“A fan, huh? Figures…” เธอแค่นเสียงเบา ๆ ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงหยามเหยียด “How much did you pay to dig up where Aiden lives?”
(แฟนคลับงั้นเหรอ... ก็ไม่แปลกหรอก—แล้วเธอจ่ายไปเท่าไหร่ล่ะถึงได้สืบที่อยู่ของเอเดนมาได้?)
หญิงสาวอีกคนยังคงนิ่ง ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นตอบ ในอดีต — ก่อนที่เธอจะได้โอกาสย้อนเวลากลับมา เธอเคยเถียงกลับในฉากนี้อย่างดุเดือด ถึงขั้นทำให้แอมเบอร์เสียหน้า แต่ครั้งนี้ เธอเลือกจะเปลี่ยนเพราะถ้าเธอไม่เปลี่ยนอะไรเลย... อดีตจะไม่มีวันเปลี่ยนตาม
แอมเบอร์ก้าวเข้ามาใกล้ กลิ่นน้ำหอมเย็นเฉียบของเธอลอยแตะจมูก
“I don’t know how much you wasted just to get someone like him to look your way,” เธอแค่นเสียง “But this time, you’ve taken it way too far.”
(ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอทุ่มเงินไปเท่าไหร่เพื่อให้เขาหันมามองคนอย่างเธอ แต่ครั้งนี้—เธอมันเกินไปแล้ว)
แม้จะถูกกระแทกด้วยคำพูดตรง ๆ แต่หญิงสาวก็ยังคงนิ่ง ไม่ปริปากเถียงแม้แต่น้อย
“I should file a complaint—trespassing, harassment...” แอมเบอรืถอนหายใจเบาๆ “Maybe then you’d think twice before chasing after some celebrity like–”
เธอไม่เข้าใจเลย... ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าความเจ็บนั้นไม่ได้เกิดจากแค่คำพูด
เพราะมันคือความรู้สึก — ความรู้สึกที่ว่าทั้งโลกกำลังมองเธอเป็นอาชญากร ทั้งที่เธอแค่...อยากเปลี่ยนอดีต
และเธอจะไม่มีวันลืม
“ฮือออออออออออออออออ!!!”
เสียงร้องไห้หลุดออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัว หญิงสาวทรุดตัวลงกองกับพื้นอย่างสิ้นท่า ก้มหน้าร้องไห้อย่างสะอึกสะอื้น เสียงดังจนดังก้องไปทั่วโถง แม้น้ำตาจริงจะไม่ไหลสักหยด แต่มันคือการแสดง—การแสดงที่ต้องถึงที่สุด
“ฉันตั้งใจมาอยู่ที่นี่จริง ๆ...” เธอพึมพำเป็นภาษาไทย น้ำเสียงแผ่วราวกับคนที่เพิ่งสูญเสียทั้งชีวิต “ฉันดีใจมากเลยที่ได้เจอนายอีกครั้ง ฮือ... ฉันแค่อยากจะแก้ไขอดีต... แค่อยากอยู่กับนาย ขอแค่ได้รักนายอีกสักครั้งก็พอแล้ว...”
เอเดนที่ยืนอยู่ตรงนั้นขมวดคิ้วแน่น สายตาของเขาเต็มไปด้วยความสับสน ทั้งโกรธ ทั้งงุนงง และ... ลังเล
รอบตัวเงียบสนิท ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะหายใจแรง ทุกอย่างเงียบราวกับเวลาหยุดเดิน
แน่นอน... จนกระทั่งแอมเบอร์พูดขึ้นมา
“No way! I don’t believe her!”
(ไม่มีทาง! ฉันไม่เชื่อยัยนี่หรอก!)
...โอ๊ย อย่ามาขัดซีนค่ะคุณพี่!
“There’s no way this girl dragged her suitcase all the way here without knowing anything—she’s lying!”
(ไม่มีทางที่ผู้หญิงคนนี้จะหอบกระเป๋ามาโดยไม่รู้อะไรเลย—ยัยนี่โกหก!)
แอมเบอร์เอ่ยเสียงกร้าวขณะก้าวเข้ามาเผชิญหน้าอีกฝ่ายแบบไม่ไว้หน้า ดวงตาเต็มไปด้วยแววกล่าวหาไม่ปิดบัง
“There’s just no way—”
(ไม่มีทางหรอก—)
“I understand your language.” หญิงสาวตอบกลับด้วยน้ำเสียงแน่นิ่งก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดจบ “But this really is my first time moving here... I’m scared, okay? Ever since I arrived, nothing looks like what the brochure promised. And you’re all strangers to me... How am I supposed to feel safe?”
(ฉันเข้าใจภาษาของเธอ แต่ฉันเพิ่งย้ายมาที่นี่ครั้งแรกจริง ๆ นะ... ฉันกลัวนะ รู้ไหม? ตั้งแต่มาถึง มันไม่มีอะไรเป็นไปตามที่โบรชัวร์เขียนไว้เลย แล้วพวกคุณก็เป็นคนแปลกหน้าสำหรับฉันหมดเลย... แล้วฉันจะรู้สึกปลอดภัยได้ยังไง?)
น้ำเสียงสั่นนิด ๆ แต่นิ่งพอจะสื่อถึงความอ่อนแรงที่พยายามอดกลั้นอยู่ข้างใน เธอเงยหน้าขึ้นสบตาเอเดนอย่างเงียบงัน ขณะที่แอมเบอร์กัดฟันแน่น สีหน้าขุ่นเคืองปรากฏชัดเจนอย่างไม่ปิดบัง
***บทสนทนาหลังจากนี้จะเขียนเป็นภาษาไทยทั้งหมด***
เอเดนเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ
“เธอจ่ายค่ามัดจำไปแล้วใช่ไหม? แล้วก็เซ็นสัญญาไปด้วย?”
“ชะ... ใช่ค่ะ” พนักงานหญิงตอบเบา ๆ ด้วยท่าทีเกร็งชัดเจน “และตอนนี้ก็ไม่มีห้องอื่นว่างเลยจริง ๆ — ต้องขออภัยด้วยค่ะ”
ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างครุ่นคิด แล้วจึงหันมาสบตากับหญิงสาวตรงหน้าอีกครั้ง ดวงตาสีฟ้าลึกคู่นั้นฉายแววบางอย่างที่อ่านไม่ออก ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงชัดเจนจนทั้งล็อบบี้เงียบกริบ
“งั้น...เราก็อยู่ด้วยกันไปเลยสิ”
“อะไรนะ!?” แอมเบอร์กรีดเสียงลั่น เสียงสูงจนแทบแสบหู “นายพูดเล่นใช่ไหม!?”
“ก็อย่าให้มันเป็นเรื่องเล่นสิ” เอเดนยักไหล่เบา ๆ คล้ายกับว่าเรื่องที่เพิ่งพูดออกไปไม่มีอะไรสลักสำคัญ “เธอก็เป็นเจ้าของร่วมแล้วนี่... ส่วนค่าเช่าครึ่งหนึ่ง ฉันออกเองก็ได้”
พนักงานหญิงเบิกตาโพลง ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเริ่มรัวคำขอบคุณไม่หยุดเหมือนคนเพิ่งรอดพ้นจากวิกฤติชีวิต ส่วนหญิงสาวเจ้าของกระเป๋านั้นยืนนิ่ง ใจเต้นกระหน่ำราวกับเสียงกลองศึก—เหมือนแผนการบ้าบอเพิ่งสำเร็จโดยไม่คาดคิด
...แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้ฉีกยิ้ม
“นี่!” แอมเบอร์หันขวับกลับมา ใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาวาวโรจน์ “ฉันรู้นะว่าเธอเป็นแค่พวกแฟนคลับโรคจิต! มันเกินไปแล้ว! ถ้าเธอยังไม่หยุดตามตื้อ ฉันจะ —”
“พอได้แล้ว แอมเบอร์” เอเดนขัดเสียงเรียบ ขุ่นปนเบื่อหน่าย “ถ้าเธอยังพูดมากอีกคำเดียว ฉันจะหักเงินเดือนเธอ”
“นายมัน...!”
เธอเงียบไปทันทีที่ประโยคนั้นถูกปล่อยออกมา และเพียงไม่กี่วินาทีถัดมา เธอก็สะบัดตัวกลับเข้าไปในห้อง ปิดประตูเสียงดังจนผนังสะเทือน
เอเดนถอนหายใจยาว ก่อนจะหันมาหาเธออีกครั้ง
“มาเถอะน่า” เขาพูดเสียงเนือย มือคว้ากระเป๋าเดินทางจากมือของเธอไปราวกับเป็นเรื่องเล็กน้อย แล้วหันไปสั่งพนักงานด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ช่วยเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ห้ามมีใครขึ้นมาบนชั้นนี้เด็ดขาด นอกจากวงของฉันกับ...ยัยนี่”
เขาหันกลับมาเลิกคิ้วใส่หญิงสาวที่ยืนอึ้งอย่างหงุดหงิด
“เอ้า! จะยืนบื้ออีกนานไหม? จะอยู่หรือไม่อยู่?”
“ยะ...อยู่สิ!” เธอตอบทันที แล้วรีบก้าวตามเขาเข้าไปในห้องอย่างไม่ลังเล
...ส่วนเรื่อง “ต้นหอม” น่ะเหรอ?
เอาไว้ก่อนแล้วกัน ยังไงเรื่องตรงหน้าก็ใหญ่พอจะทำให้เธอปวดหัวไปทั้งอาทิตย์แล้ว
“นายจะทำยังไง ถ้าเรื่องนี้ถึงหูปาปารัซซี่ขึ้นมาน่ะ!!”
เสียงของแอมเบอร์พุ่งขึ้นทันทีหลังจากประตูห้องปิดลง — ไม่ว่าจะเพราะผนังห้องบาง หรือเพราะเธอจงใจตะโกนให้ดังทะลุประตู เสียงนั้นก็แหวกอากาศเข้ามาเต็มสองหูของหญิงสาวภายในห้องได้อย่างชัดเจนทุกถ้อยคำ ราวกับกำลังฟาดฟันอยู่ตรงหน้า
ของขวัญลากกระเป๋าเข้ามาในห้องอย่างเงียบ ๆ เดินไปยังตู้เสื้อผ้าบิ้วอิน และเริ่มหยิบเสื้อผ้าออกมาจัดเรียงโดยไม่เร่งร้อน ท่ามกลางเสียงโวยวายที่ยังคงลอดเข้ามาอย่างต่อเนื่องจากห้องข้าง ๆ
แม้เพิ่งจะแสดงละครร้องไห้ฟูมฟายเหมือนนางเอกละครน้ำเน่ามาเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว แต่ตอนนี้กลับอารมณ์ดีอย่างประหลาด ราวกับคนที่ถูกรีเซ็ตอารมณ์ใหม่แบบไม่รู้ตัว
...ก็ต้องสงบใจให้ได้ล่ะนะ ในเมื่อทุกอย่างมันเพิ่งจะเริ่ม
“ฉันรับมืออะไรแบบนี้ของพวกนายไม่ไหวแล้วนะ!” เสียงของแอมเบอร์ยังไม่หยุดลง “นายเป็นนักร้องนำ เป็นหัวหน้าวง! จะรับผิดชอบอะไรให้มากกว่านี้หน่อยไม่ได้รึไง!”
“ก็แค่ทำให้มันไม่เป็นข่าว” เสียงของเอเดนตอบกลับอย่างเยือกเย็น ฟังดูไม่มีเยื่อใย ไม่มีอารมณ์ร่วม — เหมือนกับว่าเรื่องทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขาเลย
“แค่—ทำ—ให้—ไม่—เป็น—ข่าว!?” แอมเบอร์เน้นทุกคำอย่างเดือดดาล “ทำไมนายพูดเหมือนว่ามันง่ายนักน่ะ เอเดน! นายลืมไปแล้วเหรอว่าครั้งก่อนมันเกิดอะไรขึ้น!”
“เลิกพูดถึงเรื่องนั้นได้แล้วน่า”
“อย่ามาทำหน้าทำเสียงแบบนั้นกับฉัน เอเดน! ถ้าเกิดอะไรขึ้นอีก ก็ไปแก้ตัวกับท่านประธานเอาเองก็แล้วกัน — ฉันพอแล้ว!”
เสียงประตูกระแทกปิดดัง “ปัง!” ดังขึ้นทันที ราวกับฟ้าผ่าผ่านผนังห้อง
หญิงสาวสะดุ้งน้อย ๆ ก่อนจะเงียบลง ถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วหันกลับมาจัดเสื้อผ้าของตัวเองต่ออย่างตั้งใจ ปล่อยให้ความเงียบค่อย ๆ กลืนกินเสียงรอบข้างไป
แต่ในหัวของเธอ—กลับไม่ได้เงียบเลยสักนิดเดียว
เธอรู้ดีว่าเสียงประตูที่ปิดลงเมื่อครู่นั้น... ไม่ใช่จุดจบของปัญหา
มันคือแค่การเริ่มต้น — ของอะไรบางอย่างที่ใหญ่กว่าที่เธอเตรียมใจไว้มากนัก
…และครั้งนี้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เธอจะไม่มีวันยอมแพ้เหมือนในอดีตอีกต่อไป
นาตาลีใช้แอปฯ เรียกรถให้มารับที่หน้าคอนโดฯ แล้วปักหมุดไปยังจุดหมายที่เธอจำได้แม่นยำราวกับมันฝังอยู่ในดีเอ็นเอ — ท่าเรือแคมบริดจ์ พอร์ทรหัส USY ที่นั่นมีโกดังหลังหนึ่งซึ่งจากภายนอกดูเก่าคร่ำคร่าเกือบจะร้าง ทั้งที่ความจริงแล้วมันถูกจัดแต่งอย่างจงใจให้ดูโทรม — “โทรมแบบมีคอนเซปต์” มากกว่าโทรมจริงการจะเข้ามาถึงจุดนี้ได้ไม่ง่ายเลย ด่านรักษาความปลอดภัยหลายชั้นทำเอาเธอแทบถอดใจกลางทาง แต่ในที่สุด... ก็ยืนอยู่ตรงหน้าโกดังหมายเลข 7 — โกดังเก็บของขนาดใหญ่ที่ต้นสังกัดซื้อไว้เพื่อใช้เป็นสถานที่ซ้อมลับเฉพาะของวง ไซเรนจำนวนรถยนต์ที่จอดเรียงรายอยู่ด้านหน้าโกดังชัดเจนพอจะฟันธงได้ว่า... ลิงทั้งห้า น่าจะอยู่กันครบถ้วนทุกตัวแน่นอนนาตาลีเลือกใช้ทางลับ — เส้นทางที่ไม่มีใครรู้ นอกจากเธอกับเอเดน ทางที่เคยใช้ด้วยกันเป็นประจำในอดีตชาติที่เธอจำได้ไม่ลืมหัวใจเธอหวิวขึ้นมาเล็กน้อยในระหว่างที่ก้าวเดินอย่างเงียบเชียบผ่านตรอกแคบ ๆ ข้างโกดังเขาจะสงสัยไหมว่าเธอรู้ได้ยังไง?หรืออาจจะถามเลยว่าเธอเป็นใครกันแน่?หรือไม่ก็แค่จ้องมาด้
นาตาลีตื่นขึ้นมาในเช้าวันหยุดด้วยใบหน้าบวมเป่ง ราวกับเพิ่งโดนฝ่ามือของความจริงตบซ้ำซากหลายครั้งไม่ให้ทันตั้งตัว ขอบตาคล้ำลึก เครื่องสำอางเก่าที่ไม่ได้เช็ดออกจนหมดทำให้ดวงตาดูเลอะเลือนคล้ายงานศิลป์ที่เปียกฝน และเส้นผมกระเซอะกระเซิงเหมือนคนเพิ่งรอดพ้นพายุมาไม่ต้องส่องกระจกก็รู้—สภาพเธอตอนนี้แย่เกินจะออกไปรับแดดเธอถอนหายใจแรง ๆ ยกมือขึ้นกุมขมับเมื่อความปวดหัวแล่นขึ้นมาราวกับคีมเหล็กบีบสมอง ทั้งเสียงของแม่ที่ยังวนเวียนในหัวไม่หยุด และภาพเมื่อคืนที่เอเดนโอบเธอไว้แน่นยังฝังแน่นอยู่ในความทรงจำ“ไม่ ไม่สิ — หยุด! ของขวัญ แกต้องตั้งสติ”เสียงในหัวเธอสั่งอย่างนั้นนาตาลีรีบล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้า และเดินออกมาจากห้องนอนราวกับหนีออกจากฝันร้าย แพนเค้กง่าย ๆ สักสองสามแผ่นอาจพอช่วยให้สมองของเธอกลับมาทำงานได้ในห้องครัวที่เงียบเกินไป เสียงตีแป้งกลับชัดเจนราวกับมีไมค์จ่ออยู่ ความคิดที่พยายามผลักไสก็เริ่มกระซิบขึ้นมาอีกครั้ง…ทำไมถึงได้มาอยู่ที่นี่กับเขา — กับคนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคนไกลแสนไกล และไม่คิดว่าจะได้เข้
เสียงริงโทนเก่า ๆ ดังขึ้นภายในกระเป๋า สะท้อนก้องไปในลิฟต์ที่เงียบสงัดราวกับห้องสารภาพบาป นาตาลีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาช้า ๆ — ลึก ๆ เธอหวังว่าอาจจะเป็นต้นหอม แต่ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอกลับไม่ใช่...“ค่ะ แม่…”[เดินทางไปถึงแล้วใช่ไหม เป็นยังไงบ้าง]“ก็ดีค่ะ... หมายถึงโดยรวม”[แม่ไม่ได้หมายถึงแบบนั้น แนต — แม่หมายถึงงาน เรียน แล้วก็ที่สำคัญที่สุด... เรื่องของ ‘ลีวาย’]ลมหายใจของเธอขาดช่วงแผ่วเบาในลิฟต์ที่เงียบสนิท ราวกับคำพูดของแม่กดทับอะไรบางอย่างในอก — ไม่ใช่ห่วง แต่เป็น... ความคาดหวังที่ไม่เคยมีที่สิ้นสุด“งานโอเคค่ะ... หัวหน้าก็ดี เพื่อนร่วมงานก็ดีมากเลย บริษัทก็บรรยากาศดี—เรื่องเรียน แม่ไม่ต้องห่วงเลย หนูคิดว่าสิ่งที่ได้จากงานนี้ช่วยให้หนูเรียนได้ดีขึ้นแน่นอนค่ะ”[แล้วลีวายล่ะ?]ความเงียบยาวเกิดขึ้น ราวกับเวลาถูกยืดออกด้วยแรงโน้มถ่วงจากชื่อที่เอ่ยถึง คำตอบนั้นอยู่ที่ริมฝีปากเธอแล้ว เพียงแต่... ไม่ว่าจะพูดออกไปยังไง มันก็ “ผิด” สำหรับแม่อยู่ดี
“มันจะช่วยอะไรได้จริงเหรอเนี่ย...”วัตสันพึมพำเสียงเบา มือยังยกแก้วน้ำขึ้นจรดริมฝีปากราวกับใช้มันเป็นเกราะกำบังจากโลกภายนอก เธอไม่แม้แต่จะปรายตามามองคู่สนทนา สายตาของเธอทอดยาวออกไปยังบรรยากาศโดยรอบห้องวีไอพี ที่เริ่มวุ่นวายขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับตลาดยามค่ำคืน“ดูคนพวกนั้นสิ...” เธอเสริม น้ำเสียงไม่ติดจะเหนื่อยใจ “เหมือนอดอยากความบันเทิงมาทั้งชีวิต”นาตาลีเหลือบตามองตามคำพูดของเพื่อนร่วมงานเบื้องหน้า — เจมส์กำลังกระดกเหล้าเพียว ๆ ราวกับดื่มน้ำผลไม้ สีหน้ารื่นเริงเกินเหตุ ท่ามกลางเสียงเพลง EDM จังหวะยวบ ๆ จากลำโพงที่ไม่มีใครขอ แต่ทุกคนก็ยอมรับมัน“แล้วลมอะไรพัดเธอมานี่ล่ะ” เสียงของนาตาลีดังพอได้ยินแค่กันสองคน หยอกเย้าแต่ก็ซ่อนความสงสัยจริงจังไว้เล็กน้อย “นึกว่าเธอจะรอให้คุณเจรอสโลว์มาด้วยซะอีก ถึงจะยอมขยับตัว”
เช้าวันถัดมาหลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อย นาตาลีออกจากห้องพร้อมกาแฟแก้วหนึ่งและแซนด์วิชในมือ — ของสองสิ่งที่พอจะยึดเหนี่ยวเธอไว้ในเช้าวันใหม่ได้เธอใช้วันทำงานอย่างตั้งใจจนน่าแปลกใจ แม้เมื่อค่ำคืนก่อนจะเต็มไปด้วยความฝันที่... เอ่อ... วาบหวามเกินจะบรรยาย และถึงแม้ตอนเช้าจะสะดุ้งตื่นตกเตียงไปแบบสิ้นสภาพ นั่นก็ไม่ได้ลดทอนความตั้งใจในการทำงานของเธอลงเลยแม้แต่น้อยเพราะในเส้นทางใหม่นี้ เธอไม่มีเวลาจะหลงทางอีกแล้วช่วงพักกลางวัน นาตาลีเลือกเดินขึ้นไปยังดาดฟ้าของตึก บรรยากาศที่เงียบสงบและลมเย็นที่พัดปะทะใบหน้าเบา ๆ ทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูกแสงแดดอ่อน ๆ กระทบเส้นผมของเธอขณะที่เธอนั่งลงบนม้านั่งไม้ กาแฟแก้วที่สองอยู่ในมือ และแซนด์วิชอีกชิ้นที่ยังไม่ได้แกะห่อวางอยู่ข้างตัวเธอมองไปยังขอบฟ้าที่ไกลลิบ ภาพสะท้อนของตึกสูงเบื้องหน้าเป็นเหมือนโลกอีกใบที่เธอยังไม่เข้าใจ &mdas
หลังมื้ออาหาร เอเดนลุกขึ้นก่อน ค่อย ๆ เก็บจานชามอย่างเงียบ ๆ เขาเดินไปยังอ่างล้างจานโดยไม่พูดอะไรเพิ่ม แผ่นหลังสูงใหญ่เคลื่อนไหวอย่างเป็นจังหวะ ท่ามกลางแสงไฟสลัวที่ส่องกระทบเส้นผมเขาให้ดูอ่อนโยนกว่าปกตินาตาลีมองภาพนั้นเงียบ ๆเขาไม่เคยชอบให้ใครเข้ามาวุ่นวายในพื้นที่ส่วนตัวของเขา ไม่ชอบให้ใครเดินผ่านหลัง หรือทำอะไรโดยไม่บอกล่วงหน้า — เธอรู้ดี เพราะเธอเคยอยู่ตรงนี้มาก่อน...แล้วทำไม ครั้งนี้ถึงต่างออกไป?เธอพยายามบอกตัวเองไม่ให้คิดมาก แต่กลับห้ามไม่ทัน คำถามโง่ ๆ อย่าง “เขาสงสารเราหรือเปล่า?” แล่นขึ้นมาในหัว และที่แย่กว่านั้นคือคำถามที่สอง — “หรือว่า... เขาเริ่มรู้สึกอะไรบางอย่างกับเราแล้ว?”เธอเผลอพูดขึ้นเบา ๆ ขณะมองแผ่นหลังของเขา"...นายดูดีนะ ตอนล้างจานน่ะ"เอเดนหยุดมือไปชั่ววินาที ก่อนจะหันกลับมาพร้อมยิ้มที่ยากจะตีความ"นี่เธอชมฉันเหรอ?" เขาพูดพลางเดินกลับมาช้า ๆ "เขินเลยนะครับเนี่ย"นาตาลีหลบตาเล็กน้อย หัวใจเธอเริ่มเต้นแรงโดยไร้เหตุผลเขามาหยุดอยู่ตรงหน้า กลิ่นโคโลญจ์จาง ๆ ผ