LOGINและแล้วความกลัวในหัวใจก็บังเกิดเป็นความจริง
เมื่อหนึ่งเดือนให้หลัง ฮูหยินผู้เฒ่าเรียกเฮ่อเหลียนไปคุยเรื่องแต่งภรรยาอีกคนให้บุตรชาย
หรือก็คือแต่งอนุให้สามีของนางนั่นเอง...
หญิงสาวรับฟังด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง ความรู้สึกชาวาบไปทั่วร่างเกิดขึ้นเฉียบพลัน
นางไม่อาจทำอันใดได้ทั้งนั้น ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยวาจา น้ำตายังไม่กล้าไหลออกมา การพยักหน้ายอมรับยังไม่มี
ความรู้สึกกดดันท่วมท้นจนอึดอัดไปหมดแล้วในยามนี้ มันรู้สึกคล้ายกับถูกหินก้อนใหญ่กดทับจนหายใจไม่ออก
รู้สึกจุกเสียดในโพรงอกไปหมด
เฮ่อเหลียนทำได้เพียงพยายามพาร่างอ่อนแรงของตนเดินกลับเรือนอย่างยากลำบาก
เมื่อกลับมาถึงห้องหับก็ปิดประตูเงียบเชียบ แม้แต่สาวใช้ยังไม่อาจเข้าใกล้
หญิงสาวใช้เวลานั่งครุ่นคิดอยู่กับตนเองหลายชั่วยาม ในหัวใจมีแต่คำถามซ้ำๆ ว่านางยินดีหรือไม่?
แน่นอนว่าคำตอบย่อมคือคำว่า ไม่!
แล้วนางรับได้หรือไม่? ที่สามีจะมีสตรีอื่นในอ้อมกอดของเขาที่เป็นของนางมาโดยตลอด
แน่นอนว่าคำตอบย่อมเป็นคำเดิม คือคำว่า ไม่!
เฮ่อเหลียนไม่มีความรู้สึกยินดีเลยแม้แต่น้อย นางรับไม่ได้ และไม่อาจยอมรับ นางไม่ต้องการให้หลี่ชางมีคนอื่น
อ้อมแขนของเขา และน้ำเสียงกระเส่าข้างหู กิจกรรมระหว่างสามีภรรยาของนางกับเขา เป็นสิ่งที่นางหวงแหน
และยิ่งคำรักจากปากเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
แม้ว่าการที่สามีจะมีสามภรรยาสี่อนุเป็นเรื่องธรรมดา หากแต่นางก็ไม่อาจทำใจ
เป็นความจริงที่ว่าสตรีที่มีความรักมักจะเห็นแก่ตัว และนางเองก็รักหลี่ชางมาก
นางใคร่ครอบครองเขาแต่เพียงผู้เดียว
นางรักเขาเหลือเกิน...
เฮ่อเหลียนนั่งรอหลี่ชางอยู่ภายในเรือนอย่างใจเย็น นางรอเขาจนพลบค่ำ
หวังเพียงเขากลับมา แล้วเดินเข้าไปในเรือนหลักเพื่อคุยกับฮูหยินผู้เฒ่าอย่างกล้าหาญ
แล้วกลับมาหานางพร้อมคำปฏิเสธว่าจะไม่แต่งอนุ
แต่ทว่า...เหมือนเฮ่อเหลียนจะหวังมากจนเกินไป
คืนนั้นนางนั่งรอหลี่ชางทั้งคืน
เขาไม่มาหานาง
คำปฏิเสธอันใดนางล้วนไม่ได้ยิน
เพียงหนึ่งวันต่อมา รวดเร็วปานสายฟ้าฟาดผ่าหน้า
พิธีแต่งอนุที่แสนจะเรียบง่ายเกิดขึ้นในคฤหาสน์สกุลหลี่ เรือนน้อยหลังหนึ่งถูกจัดโคมไฟสีแดงมงคลโดยรอบ ภายในถูกจัดตกแต่งอย่างประณีต เตรียมพร้อมสำหรับกิจกรรมยามค่ำคืน
สตรีนางน้อยผู้หนึ่งอายุราวสิบเจ็ดปี เรือนร่างอรชรอ้อนแอ้น ใบหน้างดงามหมดจด ถูกพาตัวเข้ามาโดยแม่สื่อผู้หนึ่ง
จากนั้นเฮ่อเหลียนก็ถูกเรียกตัวไปยังเรือนกลางเพื่อร่วมยินดีกับสามีและสตรีคนใหม่ของเขา
ทันทีที่เดินเข้าไป สายตาคู่งามพลันสบประสานกับสายตาคู่คมของคนคุ้นเคย
หลี่ชางมองเฮ่อเหลียนนิ่งงัน ปราศจากวาจาใด
ไม่มีแม้แต่รอยยิ้มบางเบาปรากฏตรงมุมปากเขา
หญิงสาวพยายามมองใบหน้าของชายหนุ่มอย่างยากลำบาก นางพยายามมองเขาให้เต็มตาด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง
ใบหน้าของเขาเฉยเมย ไร้ความรู้สึกอันใดให้เห็น แววตาของเขานิ่งสงบจนน่าตกใจ สีหน้าของเขาราบเรียบไร้คลื่นอารมณ์ ไม่มีทั้งความยินดีและยินร้ายใดๆ
เฮ่อเหลียนพยายามมองสามีอย่างเข้าใจ พยายามจ้องมองเข้าไปในดวงตาเขาว่ากำลังคิดสิ่งใด
เขายินดีหรือไม่?
เสียใจหรือเปล่า?
รู้สึกผิดต่อนางกี่มากน้อย?
ทุกคำถามล้วนไร้ซึ่งคำตอบ หลี่ชางไม่เผยความนัยใดๆ ให้เฮ่อเหลียนได้ประจักษ์เลยแม้แต่น้อย
กระนั้นในความคิดของเฮ่อเหลียนกลับรู้สึกอุ่นวาบอย่างประหลาด เป็นไปได้ว่าหลี่ชางไม่เต็มใจในการแต่งงานครั้งนี้
ดูจากสีหน้าของเขาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มยามต้อนรับแขกเหรื่อก็พอจะคาดเดาได้ ว่าเขาไม่เต็มใจรับภรรยาคนใหม่เลยแม้แต่น้อย
เฮ่อเหลียนให้รู้สึกโล่งอกยิ่งนัก อย่างน้อยสามีก็เพียงกระทำตามหน้าที่กตัญญูต่อบุพการีเท่านั้น
หัวใจรักของเขายังคงเป็นของนาง...
พิธีการแต่งงานให้อนุของบ้านดำเนินไปจวบจนกระทั่งถึงฤกษ์งามยามเข้าหอ
เฮ่อเหลียนถูกฮูหยินผู้เฒ่ารั้งตัวเอาไว้เพื่อดูแลแขกเหรื่อที่ยังไม่กลับ ส่วนหลี่ชางก็หายตัวไปทางเรือนหลังงามที่ถูกตกแต่งจนแดงไปหมด ในเรือนหลังนั้นมีสตรีแน่งน้อยนั่งรอเขาอยู่
ก่อนที่หลี่ชางจะออกจากงานเลี้ยงไป เฮ่อเหลียนเห็นเขาถูกบังคับดื่มเหล้าไปหลายจอก นางเห็นเขาเดินโซเซก้าวเท้าไม่มั่นคง เป็นไปได้ว่าเขาคงเมาเหล้าเสียแล้ว
คงเป็นการดื่มเหล้าเพื่อย้อมใจกระมัง หากไม่ทำเช่นนั้น หลี่ชางคงไม่อาจร่วมหอตามพิธีเป็นแน่
เฮ่อเหลียนคิดเข้าข้างสามีอย่างใจกว้าง
นางพยายามคิดการณ์อย่างนั้นด้วยความอดทน
****
เวลาแห่งความสุขผ่านพ้นมาเรื่อยๆ จวบจนเด็กน้อยทั้งสองอายุได้หนึ่งขวบปีหลี่ชางจึงตัดสินใจเอ่ยปากกับเฮ่อเหลียนว่าต้องการพานางกับลูกๆ ไปยังสถานที่แห่งหนึ่งแน่นอนว่าหญิงสาวไม่เคยเอ่ยปากทัดทานหากแต่นายท่านผู้เฒ่ากับฮูหยินผู้เฒ่ากลับไม่อาจห่างจากหลานๆ ได้แต่อย่างใดสองสามีภรรยาจึงต้องช่วยกันพูดคุยกับสองผู้เฒ่าอยู่เป็นนานกว่าจะได้รับอนุญาตให้พาเด็กๆ ออกท่องเที่ยวได้เมื่อหลี่ชางพาเฮ่อเหลียนและลูกๆ ขึ้นนั่งบนรถม้าที่สั่งทำขึ้นใหม่เป็นพิเศษ ทั้งใหญ่กว่าเดิมและนุ่มกว่าเดิม ก็ได้ยินอีกฝ่ายเปิดปากถามทันทีว่า“ท่านพี่จะพากับลูกๆ ไปที่ใดหรือ?”หลี่ชางอุ้มลูกทั้งสองเอาไว้ที่แขนซ้ายแขนขวาโดยปล่อยให้เฮ่อเหลียนนั่งสบายๆ แล้วเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยว่า“ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวชมหุบเขาเร้นลับแห่งหนึ่ง”“หืม...” หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “หุบเขาเร้นลับหรือ”“ใช่! หุบเขาเร้นลับ”ชายหนุ่มตอบคำแค่นั้น แล้วก็ไม่เอ่ยอันใดออกมาอีก ปล่อยให้คนงามเอียงหน้าน้อยๆ สงสัยอยู่คนเดียว ในขณะที่บุตรสาวบุตรชายก็ปีนป่ายบ่ากว้างของบิดาราวกับปูไต่ไปจนตลอดทางผ่านไปหลายวันทีเดียว สำหรับระยะเวลาในการเดินทางมายังหุบเขาเร้นล
ชั่วขณะที่หลี่ชางให้รู้สึกหวาดกลัว ลำตัวชะงักนิ่งไปหมอตำแยก็ร้องบอกเสียงดังอีกครั้งว่า“ยังมีอีกคน ฮูหยิน ยังมีอีกคนหนึ่งเจ้าค่ะ”สิ้นประโยคนั้น เฮ่อเหลียนที่ยังหลับตาแน่นก็ยังไม่สามารถลืมตาได้แต่อย่างใด หากแต่ในร่างกายกลับปวดร้าวสุดแสนขึ้นมาอีกครา นางร้องร่ำโหยหวนขึ้นมาอีกครั้ง“อา...”“เบ่งเจ้าค่ะ เบ่งอีก”“อา...”หลี่ชางได้แต่อึ้งแล้วอึ้งอีก คิดการณ์อันใดไม่ออกทั้งสิ้น เขาก้มหน้ามองบุตรสาวตัวน้อยในวงแขน แล้วมองภรรยาที่กำลังกรีดร้อง สลับกับมองร่างกายท่อนล่างของนางที่ยกเข่าตั้งชัน พลางนิ่งฟังทุกสรรพเสียงอย่างเครียดเกร็งเคร่งขรึม ประหนึ่งวิญญาณได้ออกจากร่างไปแล้วกระนั้น“อ๊า...”สิ้นเสียงกรีดร้องครั้งสุดท้าย ทารกน้อยอีกคนก็หลุดออกมาจากหว่างขาของเฮ่อเหลียน จากนั้นนางก็สลบไป หลี่ชางให้นึกตระหนกเจ็บหัวใจอีกระลอกเมื่อเห็นหมอตำแยเร่งมือจัดการกับทารกที่ถือกำเนิดอีกคน ปากก็รายงานไปด้วยว่า “ครานี้บุตรชายเจ้าค่ะ ยินดีด้วย ยินดีด้วย”กล่าวจบก็นำทารกน้อยในห่อผ้ามายื่นให้บิดาที่นั่งทึ่มทื่อประหนึ่งเสาหิน จากนั้นก็จับประคองไหล่หนาให้ลุกขึ้นแล้วดึงให้ถอยหลังเล็กน้อย ในจังหวะที่ท่านหมออีกคนตรงเข้า
เสียงแตกสั่นพร่าเอ่ยออกมาทันที ชายหนุ่มรีบดึงสายตาของภรรยาให้หันมามองเขา นางควรมองเห็นเขาที่รออยู่ตรงนี้“อดทนไว้...”หลี่ชางถือวิสาสะยอบกายลงที่ข้างเตียงของเฮ่อเหลียน ไม่สนสายตาตกใจและตำหนิของหมอตำแยทั้งสามคน“อาชาง...”เสียงแผ่วหวานของสตรีบนเตียงฉ่ำเลือดน้ำคร่ำ เอ่ยเรียกขานนามสามีด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ยามที่บุตรในครรภ์หยุดอาการปวดเกร็งให้นางได้พักหายใจเล็กน้อย ถึงแม้จะไม่อาจหายใจได้ดังเช่นปกติก็ตามบนดวงหน้างามที่ซีดขาวมีหยาดเหงื่อไหลรินเต็มวงหน้าและดวงตาพร่ามัวที่รื้นไปด้วยน้ำตาไหลบ่าอาบสองข้างแก้มลากยาวไปถึงหมอนหนุนจนเปียกชื้น ทำเอาหลี่ชางยิ่งใจแกว่งเว้าแหว่งไม่เหลือดีชายหนุ่มเอื้อมมืออันสั่นเทาขึ้นลูบเบาๆ ที่แก้มฉ่ำชื้น สัมผัสนางอย่างอ่อนโยนทะนุถนอม ใช้ท้องนิ้วเกลี่ยน้ำตาให้ออกไป สายตาคมดำจับจ้องที่วงหน้านางไม่วางเว้น“อดทนไว้ เหลียนเอ๋อร์ เจ้าต้องไม่เป็นอะไร ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป” เสียงสั่นพร่าเอ่ยออกมาอย่างไม่อาจห้ามใจ เขากำลังกลัวเหลือเกินว่านางจะตายเพราะคลอดบุตรเหมือนเมื่อครั้งนั้นหมอตำแยในห้องต่างมองเหลอหลา แล้วคนหนึ่งก็เอ่ยปากขึ้นว่า “เรียนคุณชาย ท่านควรออกไปจากห้องก่อ
วันเวลาคืบคลานไปช้าๆ ในความรู้สึกของเฮ่อเหลียนที่แสนจะอึดอัดทรมานกับหน้าท้องที่ใหญ่กลมโต หากแต่กลับรวดเร็วยิ่งนักในความรู้สึกของหลี่ชางหลายวันมานี้เขาดูแลจัดการสั่งงานลูกน้องที่ไว้ใจได้ให้ควบคุมกิจการทั้งหลายชั่วคราว ทั้งยังมอบสิทธิ์ในอำนาจการตัดสินใจด้วยคำสั่งเด็ดขาดเบ็ดเสร็จ ไม่ว่าจะเป็นอาจิ้นที่ถูกให้ไปประจำการที่โรงน้ำชา เหลาสุรา และร้านอาหาร อาเฝิงดูแลโรงเตี๊ยม ร้านขายผ้า หรือแม้กระทั่งข่งอี้ยังถูกเรียกตัวไปดูแลร้านอัญมณีคล้ายยันต์กันขโมยกระนั้น หลงจู๊ทั้งหลายต่างต้องเปลี่ยนเจ้านายกะทันหันกันถ้วนหน้าเหตุที่หลี่ชางต้องทำถึงขนาดนี้ก็เพราะเฮ่อเหลียนใกล้คลอดเต็มทีทุกคนได้แต่สงสัยว่าแค่ภรรยาคลอดบุตร คุณชายหลี่จักตื่นเต้นอันใดกันนักกันหนา แม้แต่นายท่านผู้เฒ่ากับฮูหยินผู้เฒ่าก็ยังอดมิได้ที่จะมองหน้าหลี่ชางอย่างฉงน หากแต่ก็มิได้เอ่ยปากทัดทานอันใดให้มากความในที่สุด เฮ่อเหลียนก็เจ็บท้องคลอด นางทนทุกข์ทรมานนานถึงสามวันสามคืน ร้องไห้โอดโอยอยู่ทั้งวันทั้งคืนหลี่ชางที่เฝ้ารออยู่นอกห้อง แบบไม่ยอมหลับยอมนอน ก็ได้แต่ยืนเกร็งตัว ลืมหายใจในบางเวลา ภาพของภรรยาที่คลอดบุตรชายแล้วตายจากหมุนวนมาใ
ภายในเรือนนอนของเฮ่อเหลียนที่เดิมทีไม่มีผู้ใดมาเยี่ยมเยือน บัดนี้กลับมีแขกเหรื่อมารุมล้อมเต็มไปหมดของขวัญของกำนัลทั้งหลายก็ด้วย ล้วนถูกส่งมาให้นางในทุกๆ วัน และต้องเหน็ดเหนื่อยคอยต้อนรับทุกวันเช่นกันที่เป็นเช่นนี้ เพราะเส้นสายวาณิชของสกุลหลี่ที่สั่งสมมามากกว่าสามสิบปี จึงทำให้มีมิตรสหายทั้งในและต่างถิ่นตบเท้าเดินมาเยี่ยมเยือนไม่ขาดสายนี่ยังไม่นับรวมคนสกุลเฮ่อที่หมั่นแวะเวียนสับเปลี่ยนมาพบหน้าไม่เว้นช่วง วันนี้พี่มา อีกวันน้องมา จากนั้นก็ท่านน้าและท่านอา หมุนเวียนไปกระทั่งนายท่านผู้เฒ่าเริ่มทนไม่ไหว ต้องประกาศกร้าวออกไป ว่าห้ามผู้ใดรบกวนลูกสะใภ้ นางกำลังตั้งครรภ์ สมควรพักผ่อนให้มาก บำรุงให้ดี ทุกทิวาและราตรีต่อจากนี้ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ห้ามมาทำให้นางเหน็ดเหนื่อยเด็ดขาด!หลี่ชางก็ด้วย ฮูหยินก็ด้วย งดพิธีคารวะน้ำชาไปก่อน เหลียนเอ๋อร์ไม่ต้องทำอันใดทั้งนั้น กินและนอนได้อย่างเดียว!น้ำเสียงเฉียบขาดนั้น ทำเอาทุกคนในคฤหาสน์ ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากทัดทานทั้งสิ้นและที่สำคัญ นายท่านผู้เฒ่ายังคล้ายกับว่ามีกำลังวังชาเพิ่มขึ้นมามากโข ท่านยอมกินยาหม้อขม ยอมฝังเข็มทุกวัน ทั้งยังคอยช่วยฮูหยินผู้เฒ่าต้
ม่านตาดำของหลี่ชางพลันหรี่เล็กแคบลง ในขณะที่เรียวคิ้วงามของเฮ่อเหลียนต้องขมวดพันกันจนเป็นปม สองสามีภรรยาล้วนเข้าใจได้ในทันทีนี่คงเป็นงานเลี้ยงน้ำชาเพื่อดูตัว หมายคัดเลือกสตรีดีพร้อมเข้าสกุลหลี่กระมังและเมื่อคิดได้เช่นนั้น ทั้งสองคนก็หันหน้าไปทางประธานในพิธี เห็นเป็นนายท่านผู้เฒ่าหลี่นั่งอยู่นิ่งๆ ด้วยท่าทางเคร่งขรึมจริงจัง สายตากวาดมองไปทั่วงาน จับจ้องสตรีแต่ละนางอย่างถ้วนถี่ โดยมีฮูหยินผู้เฒ่านั่งก้มหน้าน้อยๆ ไม่พูดไม่จา สีหน้าไม่แสดงอารมณ์อันใดออกมา“ชางเอ๋อร์...”นายท่านผู้เฒ่าหลี่เอ่ยทักทายบุตรชายเสียงเรียบ“มาเถิด เข้ามาหาพ่อ เหลียนเอ๋อร์ด้วย”คล้ายกับว่าท่านตัดสินใจเด็ดขาดแล้วในครั้งนี้ กับการคัดเลือกอนุให้หลี่ชางด้วยตนเองและสตรีที่มาร่วมงาน ล้วนแล้วแต่เต็มใจมา ถึงแม้ว่างานเลี้ยงจะบอกว่าเพียงเชิญร่วมดื่มชาเพื่อพบปะสังสรรค์ฉันมิตรไมตรีทั่วไปหากแต่ความนัยที่ซ่อนเร้นนั้น ทุกผู้คนย่อมคาดเดาได้เนื่องจากข่าวคราวของคฤหาสน์หลี่ เกี่ยวกับทายาทที่ขาดแคลน ใครๆ ก็รับทราบดีคหบดีผู้เป็นวาณิชหนุ่มเจ้าของวงหน้าหล่อเหลาและร่ำรวยถึงเพียงนี้ เหล่าสตรีชาวบ้าน กระทั่งคุณหนูหลายตระกูล ย่อมยินดี
![จะไม่ทนกับบทบาทนางร้าย [รีไรท์ตอนจบ]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)






