หลังจากร่วมส่งแขกกับฮูหยินผู้เฒ่าและนายท่านผู้เฒ่ากลับไปจนหมดแล้ว เฮ่อเหลียนก็กลับเข้าเรือนของตนเอง โดยมีสาวใช้คนสนิทคอยมองอย่างห่วงใย
“ข้าไม่เป็นไร” นางกัดฟันเอ่ยเสียงแผ่วกับซือจิง สาวใช้รุ่นใหญ่ที่เป็นสินเดิมมาจากบ้านตน
ซือจิงจึงดูแลอาบน้ำเปลี่ยนผ้าให้เฮ่อเหลียนแล้วส่งเข้านอนอย่างเอาใจใส่ ก่อนจะขอนั่งเป็นเพื่อนโดยไม่ยอมออกไปที่ใด
เมื่อนายสาวเห็นบ่าวทำเช่นนี้ก็ให้รู้สึกประหนึ่งว่าสิ่งที่กดทับหนาหนักในอกถูกกะเทาะจนปริแตก นัยน์ตาของนางร้อนผ่าว ก่อนที่น้ำตาจะไหลรินออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้
เฮ่อเหลียนร้องไห้ปานเขื่อนแตกทลาย
นางคิดถึงสามีที่เคยโอบกอดนางทุกคืน แต่วันนี้เขากำลังโอบกอดสตรีอื่นที่ไม่ใช่นาง
มิรู้ได้ว่าเขากำลังกระทำการแบบใดกับสตรีนางนั้น
จะเหมือนกันที่เคยทำกับนางหรือเปล่า
เขาเต็มใจร่วมรักกับสตรีอีกคนมากน้อยเพียงใด
ความคิดฟุ้งซ่านรวมกับจินตนาการมืดหม่นฉุดเฮ่อเหลียนให้จมดิ่งลงหลุมดำลงเรื่อยๆ
เนิ่นนานผ่านไปจนน้ำตาเริ่มเหือดแห้ง หญิงสาวจึงมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา
หากนางจักต้องนอนอย่างเดียวดายพลางจินตนาการว่าสามีของนางกำลังทำสิ่งใดกับภรรยาคนใหม่ของเขา แล้วให้รู้สึกอึดอัดทรมานเหลือเกินกับจินตนาการนี้ มิสู้ไปมองให้เห็นกับตา เพื่อที่ว่าจะได้ข้ามผ่านความรู้สึกเจ็บปวดที่สุดไปได้ วันต่อไปหากต้องอยู่ร่วมชายคาเดียวกันจะได้ไม่รู้สึกทรมานมากไปกว่านี้
ความคิดเช่นนั้นจะว่าตื้นเขินเช่นคนโง่เขลาก็ใช่ จะว่าหยั่งเชิงความเจ็บปวดอย่างลึกซึ้งเยี่ยงผู้กล้าก็ไม่เชิง
หากต้องการทำอาหารเลิศรสย่อมต้องไม่กลัวมีดบาด แต่หากต้องการเป็นสตรีที่ดีของสามี ย่อมต้องทนได้กับทุกการกระทำของเขา โดยเฉพาะยามที่เขาต้องมีอนุภรรยาเพื่อสืบทายาทให้วงศ์ตระกูล
หลังจากคิดออกมาก็บอกกับคนสนิทตามตรงทุกอย่าง
ซือจิงยังคงเป็นสาวใช้แสนดี นางอายุยี่สิบกว่าปี เป็นคนที่เลี้ยงดูเฮ่อเหลียนแทนมารดาที่สิ้นใจตั้งแต่แรกคลอด แม้ยามนั้นยังเป็นเด็กหญิง แต่ก็คอยประคบประหงมเฮ่อเหลียนมาโดยตลอดตั้งแต่เยาว์วัย ทั้งยังโขกศีรษะจนเลือดอาบหน้า เพื่อร่ำร้องบอกว่าไม่คิดแต่งงานกับใคร เพราะต้องการติดตามดูแลเฮ่อเหลียนตลอดไป
ซือจิงจึงเป็นพี่สาวแสนดีตามใจนายสาวทุกสิ่ง นางไม่เอ่ยปากห้ามปรามสักคำ เจ้านายของนางต้องการสิ่งใด นางล้วนเข้าใจและเต็มใจทำตาม
สองนายบ่าวพากันเดินลัดเลาะมาตามมุมอับ เป้าหมายปลายทางคือเรือนหลังน้อย อันเป็นสถานที่เข้าหอระหว่างหลี่ชางและอนุคนงามของเขา
ทันทีที่ปลายเท้าน้อยๆ ของเฮ่อเหลียนเหยียบย่างใกล้ริมหน้าต่างของห้องหอ ท่ามกลางความมืดมิดของราตรีกาลตรงมุมอับร้างผู้คน หญิงสาวพลันได้ยินเสียงครวญครางแว่วหวานและเสียงหอบต่ำสั่นพร่าดังระงม
ร่างงามพลันแข็งทื่อในบัดดล เฮ่อเหลียนรู้สึกตัวชาวาบปวดหนึบเสียดลึกไปถึงกระดูก
เสียงครางทุ้มต่ำนั้นเป็นเสียงที่นางคุ้นเคยเป็นอย่างดี เสียงนี้มิใช่ใคร เจ้าของเสียงคือหลี่ชางสามีของนาง
ส่วนเสียงครวญที่แสนหวานนั่นย่อมเป็นเสียงของอนุคนงามแห่งค่ำคืน
เสียงหอบครางของสองชายหญิงดังผสานกับเสียงเตียงลั่นดังเอี๊ยดอ๊าดเป็นจังหวะน่าอายชวนวาบหวามและร้อนเร่าแก่คนฟังยิ่งนัก ซือจิงที่ยืนอยู่ข้างกายเจ้านายหน้าแดงซ่านไปหมด ในขณะที่เฮ่อเหลียนคล้ายกับกำลังยืนท่ามกลางกองฟืนที่กำลังถูกไฟเผาไหม้จนแสบร้อนไปทั้งตัว
เพลิงสวาทของเจ้าบ่าวและเจ้าสาวแห่งค่ำคืนนี้กำลังลุกโชนโหมกระพือจนร้อนลวกไปถึงกลางใจของเฮ่อเหลียน
หญิงสาวปิดเปลือกตาลงอย่างยากลำบาก พยายามซ่อนหยดน้ำตาร้อนผ่าวที่หางตาเอาไว้อย่างสุดจะกลั้น ข่มความรู้สึกแตกสลายในอกเอาไว้ให้ลึก ทับความรู้สึกเศร้าเสียใจและสิ้นหวังที่กำลังหยั่งลึกไปทุกสัดส่วนอย่างทรมาน
แต่กระนั้นนางยังคงยืนฟังเสียงแห่งการร่วมรักระหว่างสามีของนางกับสตรีอื่นอย่างอดทน
บางที...หลี่ชางคงกำลังทำไปเพราะฤทธิ์ของสุรา เขาเมามายถึงเพียงนั้น อารมณ์กระสันย่อมพลุ่งพล่านเกินยับยั้งชั่งใจ
เฮ่อเหลียนยังคงพยายามคิดการณ์เข้าข้างสามี เพื่อทำให้ตนเองสบายใจ พยายามกดทับความรู้สึกไม่สบายใจเอาไว้อย่างสุดความสามารถ
สตรีที่ใช้สามีร่วมกับสตรีอื่นมิใช่ว่าไม่มีเสียหน่อย บ้านใดๆ ล้วนมีทั้งนั้น นางต้องใจกว้างเข้าไว้ ทำใจให้กว้างเข้าไว้
หญิงสาวยังคงหลอกหลอนตนเองด้วยประโยคเดิมๆ แม้หัวใจจะกำลังถูกบีบเค้นจนแทบแตกยับอยู่ทุกขณะจิต
เสียงครวญครางไม่เป็นภาษายังคงดังเล็ดลอดออกมาจากในห้องหอ
“อา...ท่านพี่...อา”
“อืม...”
เสียงหวานเริ่มกรีดร้องคล้ายกำลังถูกทรมาน โดยมีเสียงหอบแหบต่ำตอบรับอย่างสุดจะกลั้นในอารมณ์กำหนัดของเขา ยังมีเสียงขาเตียงกระทบพื้นดังเอี๊ยดอ๊าดไม่เบา
ทั้งยังเสียงขอบเตียงโยกคลอนกระทบกับผนังที่ดังขึ้นเรื่อยๆ บ่งบอกได้ดีว่าจังหวะเสพสมกำลังจะไต่ขึ้นสูงจนทะลุเพดานสวรรค์
“อา...ท่านพี่...ไม่ไหวแล้ว...อ๊า...”
เสียงร้องของสตรีนางนั้นเสียดแทงทะลุใจของคนฟังที่ริมหน้าต่างปานใบมีดคมกริบเชือดเฉือนกระนั้น ตามด้วยเสียงหอบกระชั้นสั่นพร่าของหลี่ชาง
“อ่า...”
และเสียงของเตียงนอนโยกโยนไหวเอนในจังหวะที่เร็วรัวฟังไม่ทัน จากนั้นก็ค่อยๆ ผ่อนลงจากเดิมที่ดังเอี๊ยดอ๊าดเป็นดังครืดคราดเบาๆ
เห็นได้ชัดว่าทั้งสองได้ปลดปล่อยอย่างสุขสมเป็นที่เรียบร้อย
จวบจนวันหนึ่ง ข่าวดีสำหรับบ้านหลี่หากแต่เป็นข่าวร้ายสำหรับสองสตรีหลังเรือนก็มาถึงหลี่ชางตบแต่งอนุภรรยาเข้ามาอีกหนึ่งคน!ครานี้อนุของเขางดงามมากนัก ใบหน้าเรียวเล็กน่ารักจิ้มลิ้ม มีรอยยิ้มพริ้มเพรา ดวงตาของนางกลมโตทั้งพิสุทธิ์กระจ่างใสดั่งวารีตกผลึกแวววาว ร่างระหงอ้อนแอ้นแช่มช้อยน่านวดเคล้าไปหมดทุกสัดส่วนมองแล้วให้รู้สึกลมหายใจยังสะดุด หัวใจพานจะละลายอ่อนยวบเสียให้ได้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหลี่ชางจักตื่นเต้นปานใดคืนส่งตัวเข้าหอ คืนนั้นหลี่ชางทำสตรีนางน้อยผู้นี้ร้องร่ำไม่เป็นภาษา ส่งเสียงครวญครางแหบพร่าใส่หน้ากันทั้งคืนเสียงเตียงนอนยังโยกคลอนดังลั่นสนั่นหวั่นไหว สั่นสะเทือนเสียจนกำแพงห้องแทบถล่มลงมาเหตุที่เฮ่อเหลียนล่วงรู้ได้อย่างไรน่ะหรือ?ก็เพราะฟางเอ๋อร์มารบเร้าให้นางพาไปแอบฟังเสียงอยู่ริมหน้าต่างตรงมุมอับร้างผู้คน เหตุผลก็เพราะเฮ่อเหลียนยังคงแอบฟังคราวหลี่ชางกับฟางเอ๋อร์ร่วมรักกันนั่นเองถือว่าเป็นการไถ่โทษ ฟางเอ๋อร์ยอมหายโกรธเฮ่อเหลียนและจะไม่พูดถึงมันอีกเฮ่อเหลียนได้แต่ยิ้มขื่น เจ็บระบมอยู่ในอกข้างซ้าย น้ำตาแทบสะกดกลั้นเอาไว้มิได้ยามนั่งเศร้าอยู่ริมหน้าต่าง ท่ามกลางราตรีอันมืดดำ
แม้ในใจจะเจ็บปวดรวดร้าวรุนแรงปานถูกเหล็กร้อนจ้วงแทงทุกวัน แต่เฮ่อเหลียนยังคงพยายามคิดในแง่ดีเสมอมา ว่าหลี่ชางยังคงรักนางไม่เสื่อมคลาย นางคิดว่าอย่างน้อยสามีก็ยังรักนาง ถึงแม้ว่าเขาจะรักสตรีอื่นเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนหญิงสาวคิดด้วยหัวใจที่ยังรักเขาไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งยังเจ็บปวดเพราะเขาไม่สร่างซา ก็ยังอดทนอย่างโง่งมเสมอมาเป็นความจริงที่ว่า บ้านอื่นอาจจะมีสตรีที่ต้องแบ่งปันสามีมากกว่านี้หลายเท่าตัวนัก พวกนางล้วนหน้าชื่นอกตรมไม่ต่างจากนางยิ่งเป็นฝ่ายภรรยาเอกยิ่งไม่ต้องพูดถึง พวกนางต่างต้องรับผิดชอบงานบ้านงานเรือนทุกสิ่ง ดูแลพ่อแม่สามีมิให้ขาดตกบกพร่อง และยังต้องพะวงกับการเก็บอารมณ์อย่างยากลำบาก มิให้แสดงความหึงหวงออกมาซึ่งตัวนางล้วนทำได้ดี นางทำได้ นางต้องทำ...หญิงสาวหยัดกายลุกขึ้นจากหมอนแล้วอิงร่างบางกับกำแพงข้างที่นอนอยู่เงียบๆ พลางครุ่นคิดไปถึงสตรีบ้านอื่นที่มีชะตาชีวิตเหมือนกัน เพื่อปลอบใจตนเองในคืนเดียวดาย คืนที่สามีนางกำลังไปนอนกอดกับสตรีอีกคน...เวลาแห่งความทรมานคืบคลานผ่านไปอย่างช้าๆ ช่างยาวนานเหลือเกินในความรู้สึกแต่กระนั้นเช้านี้กลับมีเสียงแทรกจากฮูหยินผู้เฒ่าว่าเวลาช่างผ
หญิงสาวนิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา นางนั่งมองชายหนุ่มข้างกายอยู่นิ่งๆ เห็นเขาส่งยิ้มอบอุ่นมาให้ เป็นรอยยิ้มละมุนตาที่นางโหยหาทุกค่ำคืนเฮ่อเหลียนหลับตาลงอย่างช้าๆ นึกปวดแปลบอยู่ในใจหลี่ชางบอกว่าฟางเอ๋อร์ตั้งครรภ์แล้ว จึงได้มารับนางกลับไป เขาหมายความว่าอย่างไร?หลี่ชางคล้ายเข้าใจคำถามนั้นของเฮ่อเหลียน ถึงแม้ว่านางมิได้เอ่ย แต่คำตอบกลับออกมาจากปากเขาช้าๆ เพื่ออธิบาย“การที่ฟางเอ๋อร์ตั้งครรภ์แล้วหนึ่งเดือนหลังจากที่เข้าหอกับข้าเพียงสองเดือน นั่นก็แสดงว่าร่างกายของข้าปกติดี”ประโยคนี้ทำผู้ฟังได้แต่อึ้งงัน หมายความว่าเป็นนางที่ร่างกายบกพร่องเพียงผู้เดียวใช่หรือไม่?“เจ้าอย่าด่วนคิดมากไป” อีกครั้งที่หลี่ชางเอ่ยอย่างเข้าใจเฮ่อเหลียน “ข้ากำลังจะบอกเจ้าว่า เมื่อมีสตรีมารับหน้าที่ตั้งครรภ์แทนเจ้าแล้ว ต่อไปเจ้าก็ไม่ต้องกังวลเรื่องทายาทอีก จากนี้เราอยู่กันแบบสามคนสามีภรรยาด้วยดีเถิด ข้ายังคงรักเจ้าเช่นเดิม”อ้อ...กระนั้นหรือ?หญิงสาวตอบคำเขาอยู่ในใจ หาได้เอ่ยออกมาไม่ นางมิรู้ว่าควรคุยกับเขาอย่างไรดีความรู้สึกเจ็บลึกยังคงมีไม่สร่างซาคำว่าสามคนสามีภรรยาล้วนเสียดแทงใจแต่ทว่านางกำลังรู้สึกบางอย่างที่เขา
เฮ่อเหลียนพาซือจิงที่ร่างกายบอบช้ำจากการถูกโบยมารักษาตัวที่บ้านเดิมของตน สินเจ้าสาวก็มิได้นำมาคนบ้านเฮ่อต่างมองนางด้วยสายตาไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดนางถึงเป็นสตรีจิตใจคับแคบ แค่สามีรับอนุเข้าบ้านเพียงหนึ่งคนต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ และคำต่อว่าอีกมากมาย ทั้งเรื่องที่คนในบ้านล้วนอับอายเพราะนางเป็นสตรีที่หย่าสามีกลับมาเช่นนี้ คนทั้งบ้านเฮ่อ ทั้งบิดาและมารดาเลี้ยงทั้งหลาย ล้วนกล้ำกลืนฝืนทนกับการกลับมาเยือนอย่างไร้เกียรติเช่นนี้ของเฮ่อเหลียนทุกคนของสกุลเฮ่อ ต้องถูกชาวบ้านเหยียดศักดิ์ศรีอย่างไม่เหลือดีเพราะสตรีหย่าสามีเป็นเรื่องน่าอับอายเฮ่อเหลียนมิใช่ไม่รู้สึก นางเป็นคนธรรมดาย่อมอับอายยิ่งกว่าพวกเขาอย่างที่สุดคำว่าใจร้อน ใจแคบ ล้วนดังเข้าหูให้นางได้ยินทุกวัน และนางก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ นางไม่คิดปฏิเสธแต่จะให้นางทำอย่างไร นางในยามนี้เจ็บปวดเหลือเกินไยไม่มีใครเข้าใจ...สามเดือนหลังจากนั้น นับได้ว่านานเกินพอที่ซือจิงจะหายดี หากแต่สภาพจิตใจของเฮ่อเหลียนกลับไร้ทางเยียวยาซือจิงเห็นนายสาวยังไม่หายเศร้าโศกจึงเอ่ยปากชวนกันไปเที่ยวนอกบ้าน สถานที่ปลายทางคือชานเมืองที่มีป่าผืนน้อยร้างผู้คน ข่าวว่า
“เจ้าทำสิ่งใดลงไป? เหลียนเอ๋อร์!”เส้นเสียงทุ้มต่ำของนายท่านผู้เฒ่าเอ่ยถามอย่างตำหนิมาทางเฮ่อเหลียนตามด้วยฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเสริมด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ“เหลียนเอ๋อร์ เจ้าไยทำตัวไม่มีเหตุผลเช่นนี้ สตรีเราเมื่อไม่สามารถมีทายาทให้สามี หากไม่ถูกขับออกก็ต้องยินดีที่จะมีสตรีอื่นมาแบ่งเบา ไฉนเจ้าไม่เข้าใจ เรื่องเช่นนี้มิใช่ว่าไม่เคยเกิดที่บ้านใด เจ้าจะเห็นแก่ตัวมิได้”ฮูหยินเอกหมาดๆ แห่งคฤหาสน์หลี่ทำได้เพียงเงียบงัน ไม่ต่อวาจาใดนายท่านผู้เฒ่าจึงเอ่ยอีกครา “เจ้ารู้หรือไม่? ว่าฟางเอ๋อร์ หาใช่สตรีไร้หัวนอนปลายเท้า ข้าต้องลำบากออกปากเนิ่นนานกว่าที่บิดามารดาของนางจักยินยอมให้แต่งเป็นเพียงอนุของอาชาง”ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเสริมอีกครั้งอย่างรู้สึกผิดต่อสตรีผู้นั้นเป็นอย่างมาก “ใช่แล้วเหลียนเอ๋อร์ เมื่อเช้านี้เจ้าทำฟางเอ๋อร์ตกใจจนร่ำไห้ไม่หยุด ปากก็ร่ำๆ ว่าจะกลับบ้านไป ไม่สืบทายาทแล้ว”เฮ่อเหลียนยืนนิ่งอึ้งฟังประโยคเหล่านั้นด้วยหัวใจแข็งกระด้างเย็นเยียบสตรีนางนั้นเป็นคุณหนูสูงส่ง ยอมลดตัวแต่งเป็นแค่อนุต่ำต้อยให้หลี่ชาง สามารถมีทายาทให้บ้านหลี่ได้ชื่นใจ ทุกคนดูเกรงอกเกรงใจต่อนางเหลือเกินเมื่อเห็นภรรยาของบ
พวกเขาคงมีความรู้สึกบางอย่างต่อกันมาพอควรแล้ว ทั้งยังคงสานสัมพันธ์กันลับหลังนางมาแล้วระยะหนึ่งมิเช่นนั้นพวกเขาจะแต่งงานกันภายในวันเดียวหลังจากที่ฮูหยินผู้เฒ่าเรียกหานางได้อย่างไรเมื่อคิดได้กระจ่างแจ้งเช่นนั้น เฮ่อเหลียนจึงยกมือปาดน้ำตาด้วยตนเอง แล้วเงยหน้ามองชายผู้เป็นสามีอย่างเต็มตา เห็นเขาก้มหน้ามองนางอย่างละอายแก่ใจอยู่บ้างแต่แล้วอย่างไรเล่า ในเมื่อเขาเลือกที่จะทำลงไปแล้ว...หญิงสาวกลั้นใจถามออกไปอย่างยากลำบาก “ท่านกับนางมิใช่ว่าเคยเจอกันครั้งแรกใช่หรือไม่? อาชาง”น้ำเสียงเย็นเยียบทำผู้ถูกถามต้องหลบตา ซึ่งนั่นคือคำตอบโดยไม่ต้องเอ่ย ผ่านไปนานทีเดียวกว่าเส้นเสียงแหบพร่าจะตอบกลับมา“ข้าเฟ้นหาสตรีที่พอจะมีทายาทให้ข้าได้ และคนที่บ้านของฟางเอ๋อร์ก็มีลูกง่ายกันทุกคน”“อ้อ...” เฮ่อเหลียนตอบรับเสียงแหบแห้งสะเทือนอารมณ์ในน้ำเสียงนั้นนางเย้ยหยันเขาและตนเองไปพร้อมกัน “เช่นนั้นหรือ?”หญิงสาวพยักหน้าน้อยๆ อย่างเข้าใจ แต่ทว่าดวงตาของนางกลับสะท้อนความขมขื่นเต็มไปหมด ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างเย็นชานางไม่อาจไม่เข้าใจ…หญิงสาวไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะคิดเข้าข้างตัวเองหรือสามีอีกต่อไป ว่าเขายังค