LOGINแต่กระนั้นการเดินจากไปนางก็ไม่อาจทำได้เช่นกัน
ในก้นบึ้งของหัวใจยังคงเอ่ยย้ำซ้ำๆ ว่าหลี่ชางยังคงไม่ได้สติจากฤทธิ์ของเหล้า เช้าแล้วเขาคงสร่างเมา เมื่อเขาหายเมาแล้วคงรีบลุกขึ้นมาแล้วออกไปหานาง
และนางก็กำลังยืนอยู่ตรงนี้ รอเขาลุกมาหานาง
คำขอโทษจากปากเขา นางพร้อมรับฟัง เหตุผลร้อยแปดสารพัดว่าจำเป็นอย่างมากกับการนอกใจ นางยินดีแบกรับเอาไว้แม้จะเจ็บปวดเจียนคลั่ง
ชั่วจังหวะที่เฮ่อเหลียนกำลังปรับอารมณ์ให้กลายเป็นสตรีมีเหตุผลอย่างที่สมควรกระทำ ซึ่งมองดูแล้วก็ไร้เหตุผลสิ้นดีที่คิดจะทำตามสติอันน้อยนิดเมื่อมีความรักบังตาอยู่เหนือเหตุผลทั้งหมดทั้งมวล บนเตียงนอนพลันมีเสียงขยับตัวของฝ่ายหญิง เฮ่อเหลียนจึงหยุดทุกความคิดแล้วจ้องนิ่งที่ปฏิกิริยาของฝ่ายชาย
นางกลั้นหายใจจนเจ็บโพรงอก เมื่อเห็นหลี่ชางเริ่มสลึม สลือปรือตาตื่นขึ้นมา มุมปากของเขายกยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะบ่นพึมพำด้วยเสียงทุ้มพร่าว่า “เจ้าจะไปไหน?” ฝ่ามือของเขาล้วงเข้าไปในผ้าห่มแล้วไล้ไปมาเบาๆ บนเนินเนื้อนางในอ้อมแขน
ฝ่ายสตรีช้อนตามองเขาอย่างเอียงอาย ใบหน้าแดงก่ำ เรียวปากแดงช้ำเพราะถูกกดจูบทั้งคืนเอ่ยเสียงแผ่วหวาน “ท่านพี่ ฟางเอ๋อร์จะลุกไปเตรียมน้ำให้ท่านเจ้าค่ะ”
หลี่ชางหัวเราะแผ่วเบา สายตาคู่คมของเขาทอประกายเข้มลึกขึ้นมา เอ่ยเสียงกระเส่าว่า “ไม่เห็นต้องรีบเลย”
“อื้อ...ท่านพี่” สตรีนามว่าฟางเอ๋อร์บิดตัวไปมา ใบหน้าเล็กแดงซ่าน ขบริมฝีปากเล็กน้อย เมื่อฝ่ามือหนาใต้ผ้าห่มขยับหยอกเย้าไม่มีเกรงใจ
“อายอันใดเล่า?”
“อ๊า...ท่านพี่ อย่าลูบตรงนั้น ท่านแกล้งข้า”
“ข้าก็ลูบทั้งคืนแล้วมิใช่หรือไร?”
“อื้อ...”
เส้นเสียงคล้ายสนุกสนานของหลี่ชางดังกระทบโสตประสาทของเฮ่อเหลียนจนเกิดเสียงดังอื้ออึง ในหัวใจที่หนักอึ้งพลันแตกร้าวเป็นเสี่ยงๆ
หญิงสาวแน่ใจในสายตาของตนเอง ว่าชายบนเตียงนอนกลับมามีสติแจ่มชัดทุกประการ เขามิได้เมาเหล้าแล้วแต่อย่างใด
ร่างระหงยังคงยืนห่างออกมาจากเตียงนอนของเจ้าบ่าวเจ้าสาวในระยะสายตามองเห็นชัดเจน และด้วยพวกเขาสนใจเพียงกันและกันจึงไม่เห็นสตรีผู้มาใหม่ผู้ยืนนิ่งประหนึ่งศิลาดำ
ยามนี้เฮ่อเหลียนตัวเกร็งแข็งทื่ออึ้งงัน ทำได้เพียงยืนนิ่ง ไม่อาจเดินหน้าหรือถอยหลังกลับ ปลายเท้าของนางคล้ายกับถูกโซ่ตรวนยึดตรึงเอาไว้อย่างแน่นหนา
นางโง่มากที่เข้ามา นางรู้...
นางสิ้นคิดทั้งยังไร้สติมากนักที่อุตริเข้ามา แล้วเลือกหยิบอาวุธร้ายแรงทำร้ายตัวเอง นางประจักษ์ดีอยู่แก่ใจ
แต่ในเมื่อเข้ามาแล้วจักให้ทำเยี่ยงไร จะร่ำไห้ก็ยังไม่กล้า ได้แต่ยืนมองภาพเบื้องหน้าอย่างโง่งม
ชั่วอึดใจต่อมา จากเสียงหยอกเย้าก็กลายเป็นเสียงครวญครางแว่วหวาน
หลี่ชางเปิดผ้าห่มออกไปให้พ้นตัว เปิดเผยเนินเนื้อขาวอวบต่อหน้า แล้วพลิกกายใหญ่หนาขึ้นคร่อมร่างบางอีกครา
เขาก้มหน้าจูบนางใต้ร่างอย่างดูดดื่ม ฝ่ามือบีบเคล้นหน้าอกหยุ่นนุ่มไปมา เอวสอบเริ่มขยับหยัดขึ้นเล็กน้อย หมายส่งบั้นท้ายของเขากดลงให้ลึกกลางกายของร่างนุ่ม
อนุคนงามรีบฉีกเรียวขาออก เผยกลีบบุปผาบานฉ่ำอย่างปรีดา นางบิดเอวส่ายสะโพกกลมกลึงเบาๆ แล้วแอ่นท้องน้อยขึ้นรับเพื่อเปิดทางให้เขาอย่างเต็มที่
ส่วนสงวนของสองชายหญิงเข้ากันอย่างลงตัว
แนบชิดกันและกันจนไร้ช่องว่างใด
ตัวตนร้อนผ่าวค่อยๆ สอดใส่ตัวตนอ่อนนุ่มอย่างลึกล้ำจนจมมิด จากนั้นการควบจังหวะอันรัญจวนใจก็เกิดขึ้นเนิบนาบในลำดับต่อมา
“อา...ท่านพี่ชาง...เจ้าขา”
เสียงครางเช่นนั้นของฟางเอ๋อร์ช่างเสียดแทงแก้วหูของเฮ่อเหลียนยิ่งนัก
“อือ...อืม...ท่านพี่”
อนุคนงามครางได้แว่วหวานเสียดแทงใจนางเหลือเกิน
เตียงนอนเริ่มโยกคลอนเบาๆ ตามจังหวะกิจกรรมของสองร่างเปลือยเปล่าที่กำลังเคลื่อนที่ซ้อนทับกันไปมา
ฝ่ายหนึ่งต้องการปลดปล่อยพุ่งร่างแทรกเข้าไป อีกฝ่ายต้องการเติมเต็มให้เขาพุ่งร่างแทรกเข้าหา
สะโพกงามถูกขยับไปมาด้วยเอวสอบ จังหวะเนิบช้าค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยจังหวะกระแทกกระทั้น
จนในที่สุดก็เกิดเสียงน่าอายกระชากใจคนฟังอย่างโหดร้าย ไม่มีแม้เศษเสี้ยวแห่งความเมตตาแม้แต่น้อย
ภาพเบื้องหน้าที่โจ่งแจ้งยิ่งกว่าเสียงวาบหวามที่ได้ยินทั้งคืนกำลังจ้วงแทงหัวใจของสตรีผู้ยืนนิ่งหน้าประตูห้องอย่างไร้ซึ่งความปรานีใดๆ
เดิมทีนางคิดจะมาเพื่อเปิดใจให้ตนเอง ในการยอมรับความทรมานอย่างแสนสาหัส เพื่อที่จะก้าวเดินต่อได้ในวันข้างหน้า เมื่อชีวิตคู่ของนางกับหลี่ชางมิได้มีเพียงสองคนอีกต่อไป
ความอดทนต่อความเจ็บปวดที่ยาวนาน ย่อมต้องได้รับความเจ็บปวดอันแสนทรมานที่สุดก่อน
แต่ทว่า...ทั้งภาพและเสียงที่ได้ยล ล้วนตอบคำถามนางได้แล้วจนสิ้น ว่านางคิดผิดไป
นางไม่อาจรับได้...
ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด
นางไม่อาจทนเห็นว่าหลี่ชางมีภรรยาอีกคนนอกจากนาง
เวลาแห่งความสุขผ่านพ้นมาเรื่อยๆ จวบจนเด็กน้อยทั้งสองอายุได้หนึ่งขวบปีหลี่ชางจึงตัดสินใจเอ่ยปากกับเฮ่อเหลียนว่าต้องการพานางกับลูกๆ ไปยังสถานที่แห่งหนึ่งแน่นอนว่าหญิงสาวไม่เคยเอ่ยปากทัดทานหากแต่นายท่านผู้เฒ่ากับฮูหยินผู้เฒ่ากลับไม่อาจห่างจากหลานๆ ได้แต่อย่างใดสองสามีภรรยาจึงต้องช่วยกันพูดคุยกับสองผู้เฒ่าอยู่เป็นนานกว่าจะได้รับอนุญาตให้พาเด็กๆ ออกท่องเที่ยวได้เมื่อหลี่ชางพาเฮ่อเหลียนและลูกๆ ขึ้นนั่งบนรถม้าที่สั่งทำขึ้นใหม่เป็นพิเศษ ทั้งใหญ่กว่าเดิมและนุ่มกว่าเดิม ก็ได้ยินอีกฝ่ายเปิดปากถามทันทีว่า“ท่านพี่จะพากับลูกๆ ไปที่ใดหรือ?”หลี่ชางอุ้มลูกทั้งสองเอาไว้ที่แขนซ้ายแขนขวาโดยปล่อยให้เฮ่อเหลียนนั่งสบายๆ แล้วเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยว่า“ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวชมหุบเขาเร้นลับแห่งหนึ่ง”“หืม...” หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “หุบเขาเร้นลับหรือ”“ใช่! หุบเขาเร้นลับ”ชายหนุ่มตอบคำแค่นั้น แล้วก็ไม่เอ่ยอันใดออกมาอีก ปล่อยให้คนงามเอียงหน้าน้อยๆ สงสัยอยู่คนเดียว ในขณะที่บุตรสาวบุตรชายก็ปีนป่ายบ่ากว้างของบิดาราวกับปูไต่ไปจนตลอดทางผ่านไปหลายวันทีเดียว สำหรับระยะเวลาในการเดินทางมายังหุบเขาเร้นล
ชั่วขณะที่หลี่ชางให้รู้สึกหวาดกลัว ลำตัวชะงักนิ่งไปหมอตำแยก็ร้องบอกเสียงดังอีกครั้งว่า“ยังมีอีกคน ฮูหยิน ยังมีอีกคนหนึ่งเจ้าค่ะ”สิ้นประโยคนั้น เฮ่อเหลียนที่ยังหลับตาแน่นก็ยังไม่สามารถลืมตาได้แต่อย่างใด หากแต่ในร่างกายกลับปวดร้าวสุดแสนขึ้นมาอีกครา นางร้องร่ำโหยหวนขึ้นมาอีกครั้ง“อา...”“เบ่งเจ้าค่ะ เบ่งอีก”“อา...”หลี่ชางได้แต่อึ้งแล้วอึ้งอีก คิดการณ์อันใดไม่ออกทั้งสิ้น เขาก้มหน้ามองบุตรสาวตัวน้อยในวงแขน แล้วมองภรรยาที่กำลังกรีดร้อง สลับกับมองร่างกายท่อนล่างของนางที่ยกเข่าตั้งชัน พลางนิ่งฟังทุกสรรพเสียงอย่างเครียดเกร็งเคร่งขรึม ประหนึ่งวิญญาณได้ออกจากร่างไปแล้วกระนั้น“อ๊า...”สิ้นเสียงกรีดร้องครั้งสุดท้าย ทารกน้อยอีกคนก็หลุดออกมาจากหว่างขาของเฮ่อเหลียน จากนั้นนางก็สลบไป หลี่ชางให้นึกตระหนกเจ็บหัวใจอีกระลอกเมื่อเห็นหมอตำแยเร่งมือจัดการกับทารกที่ถือกำเนิดอีกคน ปากก็รายงานไปด้วยว่า “ครานี้บุตรชายเจ้าค่ะ ยินดีด้วย ยินดีด้วย”กล่าวจบก็นำทารกน้อยในห่อผ้ามายื่นให้บิดาที่นั่งทึ่มทื่อประหนึ่งเสาหิน จากนั้นก็จับประคองไหล่หนาให้ลุกขึ้นแล้วดึงให้ถอยหลังเล็กน้อย ในจังหวะที่ท่านหมออีกคนตรงเข้า
เสียงแตกสั่นพร่าเอ่ยออกมาทันที ชายหนุ่มรีบดึงสายตาของภรรยาให้หันมามองเขา นางควรมองเห็นเขาที่รออยู่ตรงนี้“อดทนไว้...”หลี่ชางถือวิสาสะยอบกายลงที่ข้างเตียงของเฮ่อเหลียน ไม่สนสายตาตกใจและตำหนิของหมอตำแยทั้งสามคน“อาชาง...”เสียงแผ่วหวานของสตรีบนเตียงฉ่ำเลือดน้ำคร่ำ เอ่ยเรียกขานนามสามีด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ยามที่บุตรในครรภ์หยุดอาการปวดเกร็งให้นางได้พักหายใจเล็กน้อย ถึงแม้จะไม่อาจหายใจได้ดังเช่นปกติก็ตามบนดวงหน้างามที่ซีดขาวมีหยาดเหงื่อไหลรินเต็มวงหน้าและดวงตาพร่ามัวที่รื้นไปด้วยน้ำตาไหลบ่าอาบสองข้างแก้มลากยาวไปถึงหมอนหนุนจนเปียกชื้น ทำเอาหลี่ชางยิ่งใจแกว่งเว้าแหว่งไม่เหลือดีชายหนุ่มเอื้อมมืออันสั่นเทาขึ้นลูบเบาๆ ที่แก้มฉ่ำชื้น สัมผัสนางอย่างอ่อนโยนทะนุถนอม ใช้ท้องนิ้วเกลี่ยน้ำตาให้ออกไป สายตาคมดำจับจ้องที่วงหน้านางไม่วางเว้น“อดทนไว้ เหลียนเอ๋อร์ เจ้าต้องไม่เป็นอะไร ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป” เสียงสั่นพร่าเอ่ยออกมาอย่างไม่อาจห้ามใจ เขากำลังกลัวเหลือเกินว่านางจะตายเพราะคลอดบุตรเหมือนเมื่อครั้งนั้นหมอตำแยในห้องต่างมองเหลอหลา แล้วคนหนึ่งก็เอ่ยปากขึ้นว่า “เรียนคุณชาย ท่านควรออกไปจากห้องก่อ
วันเวลาคืบคลานไปช้าๆ ในความรู้สึกของเฮ่อเหลียนที่แสนจะอึดอัดทรมานกับหน้าท้องที่ใหญ่กลมโต หากแต่กลับรวดเร็วยิ่งนักในความรู้สึกของหลี่ชางหลายวันมานี้เขาดูแลจัดการสั่งงานลูกน้องที่ไว้ใจได้ให้ควบคุมกิจการทั้งหลายชั่วคราว ทั้งยังมอบสิทธิ์ในอำนาจการตัดสินใจด้วยคำสั่งเด็ดขาดเบ็ดเสร็จ ไม่ว่าจะเป็นอาจิ้นที่ถูกให้ไปประจำการที่โรงน้ำชา เหลาสุรา และร้านอาหาร อาเฝิงดูแลโรงเตี๊ยม ร้านขายผ้า หรือแม้กระทั่งข่งอี้ยังถูกเรียกตัวไปดูแลร้านอัญมณีคล้ายยันต์กันขโมยกระนั้น หลงจู๊ทั้งหลายต่างต้องเปลี่ยนเจ้านายกะทันหันกันถ้วนหน้าเหตุที่หลี่ชางต้องทำถึงขนาดนี้ก็เพราะเฮ่อเหลียนใกล้คลอดเต็มทีทุกคนได้แต่สงสัยว่าแค่ภรรยาคลอดบุตร คุณชายหลี่จักตื่นเต้นอันใดกันนักกันหนา แม้แต่นายท่านผู้เฒ่ากับฮูหยินผู้เฒ่าก็ยังอดมิได้ที่จะมองหน้าหลี่ชางอย่างฉงน หากแต่ก็มิได้เอ่ยปากทัดทานอันใดให้มากความในที่สุด เฮ่อเหลียนก็เจ็บท้องคลอด นางทนทุกข์ทรมานนานถึงสามวันสามคืน ร้องไห้โอดโอยอยู่ทั้งวันทั้งคืนหลี่ชางที่เฝ้ารออยู่นอกห้อง แบบไม่ยอมหลับยอมนอน ก็ได้แต่ยืนเกร็งตัว ลืมหายใจในบางเวลา ภาพของภรรยาที่คลอดบุตรชายแล้วตายจากหมุนวนมาใ
ภายในเรือนนอนของเฮ่อเหลียนที่เดิมทีไม่มีผู้ใดมาเยี่ยมเยือน บัดนี้กลับมีแขกเหรื่อมารุมล้อมเต็มไปหมดของขวัญของกำนัลทั้งหลายก็ด้วย ล้วนถูกส่งมาให้นางในทุกๆ วัน และต้องเหน็ดเหนื่อยคอยต้อนรับทุกวันเช่นกันที่เป็นเช่นนี้ เพราะเส้นสายวาณิชของสกุลหลี่ที่สั่งสมมามากกว่าสามสิบปี จึงทำให้มีมิตรสหายทั้งในและต่างถิ่นตบเท้าเดินมาเยี่ยมเยือนไม่ขาดสายนี่ยังไม่นับรวมคนสกุลเฮ่อที่หมั่นแวะเวียนสับเปลี่ยนมาพบหน้าไม่เว้นช่วง วันนี้พี่มา อีกวันน้องมา จากนั้นก็ท่านน้าและท่านอา หมุนเวียนไปกระทั่งนายท่านผู้เฒ่าเริ่มทนไม่ไหว ต้องประกาศกร้าวออกไป ว่าห้ามผู้ใดรบกวนลูกสะใภ้ นางกำลังตั้งครรภ์ สมควรพักผ่อนให้มาก บำรุงให้ดี ทุกทิวาและราตรีต่อจากนี้ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ห้ามมาทำให้นางเหน็ดเหนื่อยเด็ดขาด!หลี่ชางก็ด้วย ฮูหยินก็ด้วย งดพิธีคารวะน้ำชาไปก่อน เหลียนเอ๋อร์ไม่ต้องทำอันใดทั้งนั้น กินและนอนได้อย่างเดียว!น้ำเสียงเฉียบขาดนั้น ทำเอาทุกคนในคฤหาสน์ ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากทัดทานทั้งสิ้นและที่สำคัญ นายท่านผู้เฒ่ายังคล้ายกับว่ามีกำลังวังชาเพิ่มขึ้นมามากโข ท่านยอมกินยาหม้อขม ยอมฝังเข็มทุกวัน ทั้งยังคอยช่วยฮูหยินผู้เฒ่าต้
ม่านตาดำของหลี่ชางพลันหรี่เล็กแคบลง ในขณะที่เรียวคิ้วงามของเฮ่อเหลียนต้องขมวดพันกันจนเป็นปม สองสามีภรรยาล้วนเข้าใจได้ในทันทีนี่คงเป็นงานเลี้ยงน้ำชาเพื่อดูตัว หมายคัดเลือกสตรีดีพร้อมเข้าสกุลหลี่กระมังและเมื่อคิดได้เช่นนั้น ทั้งสองคนก็หันหน้าไปทางประธานในพิธี เห็นเป็นนายท่านผู้เฒ่าหลี่นั่งอยู่นิ่งๆ ด้วยท่าทางเคร่งขรึมจริงจัง สายตากวาดมองไปทั่วงาน จับจ้องสตรีแต่ละนางอย่างถ้วนถี่ โดยมีฮูหยินผู้เฒ่านั่งก้มหน้าน้อยๆ ไม่พูดไม่จา สีหน้าไม่แสดงอารมณ์อันใดออกมา“ชางเอ๋อร์...”นายท่านผู้เฒ่าหลี่เอ่ยทักทายบุตรชายเสียงเรียบ“มาเถิด เข้ามาหาพ่อ เหลียนเอ๋อร์ด้วย”คล้ายกับว่าท่านตัดสินใจเด็ดขาดแล้วในครั้งนี้ กับการคัดเลือกอนุให้หลี่ชางด้วยตนเองและสตรีที่มาร่วมงาน ล้วนแล้วแต่เต็มใจมา ถึงแม้ว่างานเลี้ยงจะบอกว่าเพียงเชิญร่วมดื่มชาเพื่อพบปะสังสรรค์ฉันมิตรไมตรีทั่วไปหากแต่ความนัยที่ซ่อนเร้นนั้น ทุกผู้คนย่อมคาดเดาได้เนื่องจากข่าวคราวของคฤหาสน์หลี่ เกี่ยวกับทายาทที่ขาดแคลน ใครๆ ก็รับทราบดีคหบดีผู้เป็นวาณิชหนุ่มเจ้าของวงหน้าหล่อเหลาและร่ำรวยถึงเพียงนี้ เหล่าสตรีชาวบ้าน กระทั่งคุณหนูหลายตระกูล ย่อมยินดี
![จะไม่ทนกับบทบาทนางร้าย [รีไรท์ตอนจบ]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)






