LOGIN“ข้าหลี่ชาง ขอสัญญาว่าจะรักเพียงเฮ่อเหลียนและจะมีเพียงเหลียนเอ๋อร์คนเดียวตลอดไป...”
ประโยคนี้ที่หวานล้ำลึกซึ้งเมื่อกาลก่อน เหตุใดวันนี้ถึงคล้ายใบมีดคมร้อนฉ่าที่กรีดเฉือนใจนางจนขาดวิ่นไม่เหลือดี
เฮ่อเหลียนไม่เข้าใจ
ว่าความทรมานรวดร้าวในโพรงอกยามนี้จักพรรณนาเป็นคำพูดว่าอย่างไร
เฮ่อเหลียนไม่เข้าใจ
ว่าจะเดินหน้าต่อไปได้อย่างไร เมื่อหัวใจของนางถูกฉีกทึ้งจนเป็นแผลกว้างยากจะประสานได้ถึงเพียงนี้
เสียงเตียงโยกโยนเกิดขึ้นอีกครั้งในเช้านี้ เสมือนเมื่อคืนที่ผ่านมา หากแต่หญิงสาวมิได้เพียงแค่ยินเสียง
แต่ภาพของสามีนางกำลังขึ้นคร่อมอยู่บนร่างของสตรีนางนั้น พร้อมจังหวะกลางลำตัวไม่มีสะดุดลงสักครา ผสานกับเสียงครวญครางอย่างสุขสมขาดเป็นห้วงๆ เช่นนี้ ทำเอาสติอันน้อยนิดกับความยั้งคิดเส้นสุดท้ายของเฮ่อเหลียนขาดสะบั้นลงโดยพลัน
“อาชาง...”
หญิงสาวเจ็บปวดเสียจนน้ำเสียงสั่นเครือยามเอ่ยปากเรียกขานนามของสามี
แต่ดูเหมือนว่าเรี่ยวแรงของหญิงสาวจะน้อยจนเกินไป เสียงเรียกของนางจึงไม่อาจดังไปกว่าเสียงหอบครางที่กำลังเกิดขึ้นบนเตียงนอน
ร่างระหงในชุดคลุมสีขาวเตรียมนอนแต่ไม่ยอมนอน จึงเยื้องกรายเข้าใกล้พวกเขาอีกเล็กน้อยอย่างใจกล้าบ้าบิ่น ไม่ยั้งคิดอันใดทั้งสิ้น ก่อนเอ่ยเรียกสามีอีกครา ด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม
“อาชาง”
และมันก็ได้ผล เสียงของเฮ่อเหลียนทำเอาจังหวะรัญจวนใจของเจ้าบ่าวและเจ้าสาวหยุดชะงักทันที
หลี่ชางเงยหน้าจากซอกคอระหงขึ้นมองภรรยาของตนทันใด ชายหนุ่มอึ้งงันแข็งค้างในบัดดล ดวงตาคู่คมเบิกกว้างอย่างตกใจ ส่วนหญิงสาวอีกคนพลันกรีดร้องดังลั่น ปานฟ้าจะถล่มลงมาเสียให้ได้
“อ๊าย! ท่านพี่”
ฟางเอ๋อร์ร้องร่ำอย่างอับอาย รีบบิดตัวซุกซบแผงอกของหลี่ชางพัลวัน
ชายหนุ่มรีบหยัดร่างขึ้นเพื่อถอนกายแข็งขึงออกจากกายนุ่มนิ่มใต้ร่าง แล้วรีบหยิบผ้าห่มมาคลุมร่างของหญิงสาวเอาไว้อย่างลนลาน ก่อนกล่าวด้วยเสียงแตกพร่ากับภรรยาอีกคนว่า
“เหลียนเอ๋อร์ เจ้าเข้ามาได้อย่างไร?”
เมื่อได้ยินดังนั้นผู้ฟังก็ไร้คำพูดใด ทั้งแววตาและท่าทีตระหนกแตกตื่นเช่นนี้ของสามี เฮ่อเหลียนหาได้ยินดีไม่
เพราะนี่คือสัญญาณนอกใจกันอย่างแท้จริง
หญิงสาวถึงกับยืนเงียบงันไม่แม้แต่จะหายใจออกมา นางปราศจากวาจาอยู่เนิ่นนาน ทำได้เพียงยืนมองชายหนุ่มผู้เป็นสามีด้วยดวงตาแดงก่ำ ไม่นานน้ำตาก็ไหลรินเป็นสาย ราวกับทำนบเขื่อนกั้นพังทลาย หากแต่ร่างบางยังคงยืนนิ่งอย่างสงบ แลดูสุขุมเยือกเย็นเช่นปกติ มีเพียงริมฝีปากนางที่สั่นระริก เพราะพยายามกลั้นหายใจ มิให้ตนเองปล่อยโฮออกมา
ทว่าน้ำอุ่นกลับยิ่งไหลกลิ้งจากดวงตาฉ่ำชื้นหยดแล้วหยดเล่าจนชุ่มแก้มเนียน
นางรู้ดีว่าไม่ควรเข้ามา แต่นางก็เข้ามา นางรู้ดีว่าไม่ควรทำเช่นนี้ แต่นางก็ยังทำ
เพียงแต่นางไม่รู้ว่ามันจะทรมานจนเกินไป
หลี่ชางค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียงนอน เพื่อเดินมาใกล้ร่างที่กำลังสะกดอาการสั่นเทิ้มของเฮ่อเหลียน กระทั่งเสื้อผ้าก็ยังลืมใส่ ฝ่ามืออุ่นของเขาค่อยๆ แตะแต้มพวงแก้มเนียนของนางเบาๆ เพื่อไล่น้ำตาออกจากวงหน้างาม
แต่ทว่าเขากลับไม่เอ่ยคำใด
ไม่แม้แต่จะแก้ตัว
มีเพียงแววตาดำลึกที่มองนางยามก้มนิ่ง
เฮ่อเหลียนมองชายผู้เป็นสามีด้วยความรวดร้าวสุดแสน หัวใจว่างเปล่า ไม่มีความรู้สึกอบอุ่นเลยแม้แต่น้อย
ความรู้สึกของนางเจ็บปวดทรมานเกินทานทน
มือหนาละออกจากใบหน้าของเฮ่อเหลียน เมื่อน้ำตาของนางมีมากจนเกินไป
ไม่ว่าหลี่ชางจะช่วยเช็ดเท่าไหร่ก็ไม่หมดเสียที
เขามองนางด้วยดวงตาคู่เดิม หากแต่ประกายในนั้นคล้ายเปลี่ยนไป มันเหมือนมีม่านหมอกบางเบาปิดกั้นความรักที่เคยมีในแววตา
บางทีอาจเป็นเพราะว่า นางร้องไห้มากจนตาพร่าเลือน
เฮ่อเหลียนพยายามคิดเช่นนั้น ทว่าประโยคที่เอื้อนเอ่ยออกมาจากปากของหลี่ชาง ทำความพยายามครั้งสุดท้ายของนางต้องสะบั้นหลุดลอย
“เจ้าออกไปก่อนเถิด เจ้ากำลังทำให้ฟางเอ๋อร์ตกใจ”
เขาเอ่ยด้วยสีหน้าหวั่นวิตก มองแล้วให้รู้สึกใจชื้นขึ้นมา สมควรเข้าข้างตนเองว่าเขาห่วงความรู้สึกนาง
หากแต่ที่กล่าวเช่นนี้ มิใช่ว่าห่วงความรู้สึกของคนใหม่ว่าจะอับอาย มากกว่าความรู้สึกแตกสลายของคนเก่าหรอกหรือไร?
เฮ่อเหลียนพลันเข้าใจ เห็นได้ชัดว่าการแต่งงานกับอนุผู้นี้ถูกเตรียมการเอาไว้แล้วโดยที่นางไม่รู้
และก็เป็นไปได้ว่าสตรีนามว่าฟางเอ๋อร์ก็ได้พบเจอกับ หลี่ชางมาแล้วก่อนแต่งงาน มิเช่นนั้นจักมีแม่สื่อออกหน้าได้อย่างไร
เวลาแห่งความสุขผ่านพ้นมาเรื่อยๆ จวบจนเด็กน้อยทั้งสองอายุได้หนึ่งขวบปีหลี่ชางจึงตัดสินใจเอ่ยปากกับเฮ่อเหลียนว่าต้องการพานางกับลูกๆ ไปยังสถานที่แห่งหนึ่งแน่นอนว่าหญิงสาวไม่เคยเอ่ยปากทัดทานหากแต่นายท่านผู้เฒ่ากับฮูหยินผู้เฒ่ากลับไม่อาจห่างจากหลานๆ ได้แต่อย่างใดสองสามีภรรยาจึงต้องช่วยกันพูดคุยกับสองผู้เฒ่าอยู่เป็นนานกว่าจะได้รับอนุญาตให้พาเด็กๆ ออกท่องเที่ยวได้เมื่อหลี่ชางพาเฮ่อเหลียนและลูกๆ ขึ้นนั่งบนรถม้าที่สั่งทำขึ้นใหม่เป็นพิเศษ ทั้งใหญ่กว่าเดิมและนุ่มกว่าเดิม ก็ได้ยินอีกฝ่ายเปิดปากถามทันทีว่า“ท่านพี่จะพากับลูกๆ ไปที่ใดหรือ?”หลี่ชางอุ้มลูกทั้งสองเอาไว้ที่แขนซ้ายแขนขวาโดยปล่อยให้เฮ่อเหลียนนั่งสบายๆ แล้วเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยว่า“ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวชมหุบเขาเร้นลับแห่งหนึ่ง”“หืม...” หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “หุบเขาเร้นลับหรือ”“ใช่! หุบเขาเร้นลับ”ชายหนุ่มตอบคำแค่นั้น แล้วก็ไม่เอ่ยอันใดออกมาอีก ปล่อยให้คนงามเอียงหน้าน้อยๆ สงสัยอยู่คนเดียว ในขณะที่บุตรสาวบุตรชายก็ปีนป่ายบ่ากว้างของบิดาราวกับปูไต่ไปจนตลอดทางผ่านไปหลายวันทีเดียว สำหรับระยะเวลาในการเดินทางมายังหุบเขาเร้นล
ชั่วขณะที่หลี่ชางให้รู้สึกหวาดกลัว ลำตัวชะงักนิ่งไปหมอตำแยก็ร้องบอกเสียงดังอีกครั้งว่า“ยังมีอีกคน ฮูหยิน ยังมีอีกคนหนึ่งเจ้าค่ะ”สิ้นประโยคนั้น เฮ่อเหลียนที่ยังหลับตาแน่นก็ยังไม่สามารถลืมตาได้แต่อย่างใด หากแต่ในร่างกายกลับปวดร้าวสุดแสนขึ้นมาอีกครา นางร้องร่ำโหยหวนขึ้นมาอีกครั้ง“อา...”“เบ่งเจ้าค่ะ เบ่งอีก”“อา...”หลี่ชางได้แต่อึ้งแล้วอึ้งอีก คิดการณ์อันใดไม่ออกทั้งสิ้น เขาก้มหน้ามองบุตรสาวตัวน้อยในวงแขน แล้วมองภรรยาที่กำลังกรีดร้อง สลับกับมองร่างกายท่อนล่างของนางที่ยกเข่าตั้งชัน พลางนิ่งฟังทุกสรรพเสียงอย่างเครียดเกร็งเคร่งขรึม ประหนึ่งวิญญาณได้ออกจากร่างไปแล้วกระนั้น“อ๊า...”สิ้นเสียงกรีดร้องครั้งสุดท้าย ทารกน้อยอีกคนก็หลุดออกมาจากหว่างขาของเฮ่อเหลียน จากนั้นนางก็สลบไป หลี่ชางให้นึกตระหนกเจ็บหัวใจอีกระลอกเมื่อเห็นหมอตำแยเร่งมือจัดการกับทารกที่ถือกำเนิดอีกคน ปากก็รายงานไปด้วยว่า “ครานี้บุตรชายเจ้าค่ะ ยินดีด้วย ยินดีด้วย”กล่าวจบก็นำทารกน้อยในห่อผ้ามายื่นให้บิดาที่นั่งทึ่มทื่อประหนึ่งเสาหิน จากนั้นก็จับประคองไหล่หนาให้ลุกขึ้นแล้วดึงให้ถอยหลังเล็กน้อย ในจังหวะที่ท่านหมออีกคนตรงเข้า
เสียงแตกสั่นพร่าเอ่ยออกมาทันที ชายหนุ่มรีบดึงสายตาของภรรยาให้หันมามองเขา นางควรมองเห็นเขาที่รออยู่ตรงนี้“อดทนไว้...”หลี่ชางถือวิสาสะยอบกายลงที่ข้างเตียงของเฮ่อเหลียน ไม่สนสายตาตกใจและตำหนิของหมอตำแยทั้งสามคน“อาชาง...”เสียงแผ่วหวานของสตรีบนเตียงฉ่ำเลือดน้ำคร่ำ เอ่ยเรียกขานนามสามีด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ยามที่บุตรในครรภ์หยุดอาการปวดเกร็งให้นางได้พักหายใจเล็กน้อย ถึงแม้จะไม่อาจหายใจได้ดังเช่นปกติก็ตามบนดวงหน้างามที่ซีดขาวมีหยาดเหงื่อไหลรินเต็มวงหน้าและดวงตาพร่ามัวที่รื้นไปด้วยน้ำตาไหลบ่าอาบสองข้างแก้มลากยาวไปถึงหมอนหนุนจนเปียกชื้น ทำเอาหลี่ชางยิ่งใจแกว่งเว้าแหว่งไม่เหลือดีชายหนุ่มเอื้อมมืออันสั่นเทาขึ้นลูบเบาๆ ที่แก้มฉ่ำชื้น สัมผัสนางอย่างอ่อนโยนทะนุถนอม ใช้ท้องนิ้วเกลี่ยน้ำตาให้ออกไป สายตาคมดำจับจ้องที่วงหน้านางไม่วางเว้น“อดทนไว้ เหลียนเอ๋อร์ เจ้าต้องไม่เป็นอะไร ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป” เสียงสั่นพร่าเอ่ยออกมาอย่างไม่อาจห้ามใจ เขากำลังกลัวเหลือเกินว่านางจะตายเพราะคลอดบุตรเหมือนเมื่อครั้งนั้นหมอตำแยในห้องต่างมองเหลอหลา แล้วคนหนึ่งก็เอ่ยปากขึ้นว่า “เรียนคุณชาย ท่านควรออกไปจากห้องก่อ
วันเวลาคืบคลานไปช้าๆ ในความรู้สึกของเฮ่อเหลียนที่แสนจะอึดอัดทรมานกับหน้าท้องที่ใหญ่กลมโต หากแต่กลับรวดเร็วยิ่งนักในความรู้สึกของหลี่ชางหลายวันมานี้เขาดูแลจัดการสั่งงานลูกน้องที่ไว้ใจได้ให้ควบคุมกิจการทั้งหลายชั่วคราว ทั้งยังมอบสิทธิ์ในอำนาจการตัดสินใจด้วยคำสั่งเด็ดขาดเบ็ดเสร็จ ไม่ว่าจะเป็นอาจิ้นที่ถูกให้ไปประจำการที่โรงน้ำชา เหลาสุรา และร้านอาหาร อาเฝิงดูแลโรงเตี๊ยม ร้านขายผ้า หรือแม้กระทั่งข่งอี้ยังถูกเรียกตัวไปดูแลร้านอัญมณีคล้ายยันต์กันขโมยกระนั้น หลงจู๊ทั้งหลายต่างต้องเปลี่ยนเจ้านายกะทันหันกันถ้วนหน้าเหตุที่หลี่ชางต้องทำถึงขนาดนี้ก็เพราะเฮ่อเหลียนใกล้คลอดเต็มทีทุกคนได้แต่สงสัยว่าแค่ภรรยาคลอดบุตร คุณชายหลี่จักตื่นเต้นอันใดกันนักกันหนา แม้แต่นายท่านผู้เฒ่ากับฮูหยินผู้เฒ่าก็ยังอดมิได้ที่จะมองหน้าหลี่ชางอย่างฉงน หากแต่ก็มิได้เอ่ยปากทัดทานอันใดให้มากความในที่สุด เฮ่อเหลียนก็เจ็บท้องคลอด นางทนทุกข์ทรมานนานถึงสามวันสามคืน ร้องไห้โอดโอยอยู่ทั้งวันทั้งคืนหลี่ชางที่เฝ้ารออยู่นอกห้อง แบบไม่ยอมหลับยอมนอน ก็ได้แต่ยืนเกร็งตัว ลืมหายใจในบางเวลา ภาพของภรรยาที่คลอดบุตรชายแล้วตายจากหมุนวนมาใ
ภายในเรือนนอนของเฮ่อเหลียนที่เดิมทีไม่มีผู้ใดมาเยี่ยมเยือน บัดนี้กลับมีแขกเหรื่อมารุมล้อมเต็มไปหมดของขวัญของกำนัลทั้งหลายก็ด้วย ล้วนถูกส่งมาให้นางในทุกๆ วัน และต้องเหน็ดเหนื่อยคอยต้อนรับทุกวันเช่นกันที่เป็นเช่นนี้ เพราะเส้นสายวาณิชของสกุลหลี่ที่สั่งสมมามากกว่าสามสิบปี จึงทำให้มีมิตรสหายทั้งในและต่างถิ่นตบเท้าเดินมาเยี่ยมเยือนไม่ขาดสายนี่ยังไม่นับรวมคนสกุลเฮ่อที่หมั่นแวะเวียนสับเปลี่ยนมาพบหน้าไม่เว้นช่วง วันนี้พี่มา อีกวันน้องมา จากนั้นก็ท่านน้าและท่านอา หมุนเวียนไปกระทั่งนายท่านผู้เฒ่าเริ่มทนไม่ไหว ต้องประกาศกร้าวออกไป ว่าห้ามผู้ใดรบกวนลูกสะใภ้ นางกำลังตั้งครรภ์ สมควรพักผ่อนให้มาก บำรุงให้ดี ทุกทิวาและราตรีต่อจากนี้ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ห้ามมาทำให้นางเหน็ดเหนื่อยเด็ดขาด!หลี่ชางก็ด้วย ฮูหยินก็ด้วย งดพิธีคารวะน้ำชาไปก่อน เหลียนเอ๋อร์ไม่ต้องทำอันใดทั้งนั้น กินและนอนได้อย่างเดียว!น้ำเสียงเฉียบขาดนั้น ทำเอาทุกคนในคฤหาสน์ ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากทัดทานทั้งสิ้นและที่สำคัญ นายท่านผู้เฒ่ายังคล้ายกับว่ามีกำลังวังชาเพิ่มขึ้นมามากโข ท่านยอมกินยาหม้อขม ยอมฝังเข็มทุกวัน ทั้งยังคอยช่วยฮูหยินผู้เฒ่าต้
ม่านตาดำของหลี่ชางพลันหรี่เล็กแคบลง ในขณะที่เรียวคิ้วงามของเฮ่อเหลียนต้องขมวดพันกันจนเป็นปม สองสามีภรรยาล้วนเข้าใจได้ในทันทีนี่คงเป็นงานเลี้ยงน้ำชาเพื่อดูตัว หมายคัดเลือกสตรีดีพร้อมเข้าสกุลหลี่กระมังและเมื่อคิดได้เช่นนั้น ทั้งสองคนก็หันหน้าไปทางประธานในพิธี เห็นเป็นนายท่านผู้เฒ่าหลี่นั่งอยู่นิ่งๆ ด้วยท่าทางเคร่งขรึมจริงจัง สายตากวาดมองไปทั่วงาน จับจ้องสตรีแต่ละนางอย่างถ้วนถี่ โดยมีฮูหยินผู้เฒ่านั่งก้มหน้าน้อยๆ ไม่พูดไม่จา สีหน้าไม่แสดงอารมณ์อันใดออกมา“ชางเอ๋อร์...”นายท่านผู้เฒ่าหลี่เอ่ยทักทายบุตรชายเสียงเรียบ“มาเถิด เข้ามาหาพ่อ เหลียนเอ๋อร์ด้วย”คล้ายกับว่าท่านตัดสินใจเด็ดขาดแล้วในครั้งนี้ กับการคัดเลือกอนุให้หลี่ชางด้วยตนเองและสตรีที่มาร่วมงาน ล้วนแล้วแต่เต็มใจมา ถึงแม้ว่างานเลี้ยงจะบอกว่าเพียงเชิญร่วมดื่มชาเพื่อพบปะสังสรรค์ฉันมิตรไมตรีทั่วไปหากแต่ความนัยที่ซ่อนเร้นนั้น ทุกผู้คนย่อมคาดเดาได้เนื่องจากข่าวคราวของคฤหาสน์หลี่ เกี่ยวกับทายาทที่ขาดแคลน ใครๆ ก็รับทราบดีคหบดีผู้เป็นวาณิชหนุ่มเจ้าของวงหน้าหล่อเหลาและร่ำรวยถึงเพียงนี้ เหล่าสตรีชาวบ้าน กระทั่งคุณหนูหลายตระกูล ย่อมยินดี







