“เจ้าทำสิ่งใดลงไป? เหลียนเอ๋อร์!”
เส้นเสียงทุ้มต่ำของนายท่านผู้เฒ่าเอ่ยถามอย่างตำหนิมาทางเฮ่อเหลียน
ตามด้วยฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเสริมด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ
“เหลียนเอ๋อร์ เจ้าไยทำตัวไม่มีเหตุผลเช่นนี้ สตรีเราเมื่อไม่สามารถมีทายาทให้สามี หากไม่ถูกขับออกก็ต้องยินดีที่จะมีสตรีอื่นมาแบ่งเบา ไฉนเจ้าไม่เข้าใจ เรื่องเช่นนี้มิใช่ว่าไม่เคยเกิดที่บ้านใด เจ้าจะเห็นแก่ตัวมิได้”
ฮูหยินเอกหมาดๆ แห่งคฤหาสน์หลี่ทำได้เพียงเงียบงัน ไม่ต่อวาจาใด
นายท่านผู้เฒ่าจึงเอ่ยอีกครา “เจ้ารู้หรือไม่? ว่าฟางเอ๋อร์ หาใช่สตรีไร้หัวนอนปลายเท้า ข้าต้องลำบากออกปากเนิ่นนานกว่าที่บิดามารดาของนางจักยินยอมให้แต่งเป็นเพียงอนุของอาชาง”
ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเสริมอีกครั้งอย่างรู้สึกผิดต่อสตรีผู้นั้นเป็นอย่างมาก “ใช่แล้วเหลียนเอ๋อร์ เมื่อเช้านี้เจ้าทำฟางเอ๋อร์ตกใจจนร่ำไห้ไม่หยุด ปากก็ร่ำๆ ว่าจะกลับบ้านไป ไม่สืบทายาทแล้ว”
เฮ่อเหลียนยืนนิ่งอึ้งฟังประโยคเหล่านั้นด้วยหัวใจแข็งกระด้างเย็นเยียบ
สตรีนางนั้นเป็นคุณหนูสูงส่ง ยอมลดตัวแต่งเป็นแค่อนุต่ำต้อยให้หลี่ชาง สามารถมีทายาทให้บ้านหลี่ได้ชื่นใจ ทุกคนดูเกรงอกเกรงใจต่อนางเหลือเกิน
เมื่อเห็นภรรยาของบุตรชายเงียบงันโดยไม่เปล่งวาจา ไม่แม้แต่จะขอโทษกันเยี่ยงนั้น โทสะของเจ้าบ้านพลันบังเกิด
นายท่านผู้เฒ่าจึงหันหน้าไปทางซือจิง คิดเล่นงานบ่าวของนางแทน “อาเหิง ลากบ่าวผู้นี้ไปโบย!”
สิ้นเสียงนั้น ซือจิงก็ถูกบ่าวชายตัวโตสองคนลากตัวไป
เฮ่อเหลียนพลันได้สติเบิกตากว้าง “ท่านพ่อ!” นางรีบหมุนตัววิ่งไปหาซือจิง แต่กลับถูกสาวใช้สองคนมาขวางเอาไว้
อึดใจเสียงไม้กระทบเนื้อก็ดังลั่นติดกันหลายครั้งหลายทีอย่างไม่มีความปรานีอันใด หากแต่ซือจิงก็พยายามอดทน ไม่ส่งเสียงร้องร่ำสักคำ มีเพียงเฮ่อเหลียนที่หลั่งน้ำตาอยู่เงียบๆ
นางร้องไห้แบบไร้เสียงเนิ่นนาน
นายท่านผู้เฒ่ากล่าวด้วยอารมณ์เดือดดาล “เป็นเพราะบ่าวชั้นต่ำไม่รู้ความ ส่งเสริมเจ้านายในทางที่ผิด ซือจิงของเจ้าทำร้ายคนของฟางเอ๋อร์จนสลบไม่ได้สติ สมควรถูกโบยจนตายด้วยซ้ำ”
ทันทีที่ได้ยิน ดวงเนตรคู่งามพลันเบิกกว้างอย่างตกใจ
พี่ซือจิงของนางหาใช่บ่าวชั้นต่ำ แต่เป็นคนที่เลี้ยงดูนางมาตั้งแต่เกิด เฮ่อเหลียนพลันตระหนกและบังเกิดความรู้สึกต่อต้านขึ้นชั่วขณะ
“ท่านพี่ ใจเย็นเถิดเจ้าค่ะ เหลียนเอ๋อร์สำนึกผิดแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่ารีบจับประคองสามีแล้วกล่าวเสียงสั่น หมายให้เรื่องราวยุติโดยพลัน “เหลียนเอ๋อร์ เจ้ารีบขอโทษท่านพ่อเสียเถิด”
หากแต่สตรีผู้ถูกเรียกขาน ไม่อาจเอ่ยคำใดได้อีกแล้ว
ยิ่งได้เห็นคนสนิทที่รักและเคารพกำลังถูกถลกผ้าเปิดก้นยามโดนโบยเช่นนั้น
ยิ่งปราศจากวาจาแม้ครึ่งคำ
ในหัวใจมีเพียงคำเดิมซ้ำๆ ว่านางไม่อาจทน
พอกันที!
“ท่านพ่อโปรดสั่งคนให้หยุดเดี๋ยวนี้ นางหาใช่บ่าวรับใช้ชั้นต่ำไร้ค่าไม่!”
สิ้นเสียงนั้นของเฮ่อเหลียน ทุกคนพลันผงะชะงักงัน กระทั่งอาเหิงผู้ถือไม้ยังนิ่งค้างกลางอากาศ
“เจ้า...เจ้ากล่าวสิ่งใด” ฮูหยินผู้เฒ่าใกล้หลั่งน้ำตาเต็มที
เฮ่อเหลียนประกาศกร้าวไม่เกรงใจผู้ใดอีกต่อไป
“ข้าบอกให้หยุดโบยซือจิงของข้า และนางก็มิใช่บ่าวรับใช้ของที่นี่อีกต่อไป ข้าจะไปจากที่นี่ ไม่เป็นภรรยาของใครทั้งนั้น”
“หา!”
หลังจากประกาศกร้าวว่าจะจากไป หนังสือหย่าจึงถูกร่างออกมา
หญิงสาวจรดปลายพู่กันด้วยมืออันสั่นเทา รอเพียงฝ่ายสามีลงตราประทับเท่านั้น
เฮ่อเหลียนยอมรับว่าตนเองไม่มีความอดทนมากนัก และนางก็มิใช่สตรีที่ดีพร้อม นางเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองมิใช่สตรีจิตใจดี นางเห็นแก่ตัวดังคำของแม่สามีว่ากล่าวทุกประการ
เมื่อเก็บของเสร็จ ร่างสูงของหลี่ชางก็ปรากฏอยู่หน้าเรือน
ใบหน้าหล่อเหลาของเขาขาวซีดเครียดตึงไม่น้อย เขาเอ่ยปากเนิบช้าด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม
“เหลียนเอ๋อร์ ไม่ไปได้หรือไม่?”
เป็นน้ำเสียงที่น่าฟังเสมอมาสำหรับเฮ่อเหลียน
หากแต่ผู้ถูกทัดทานเพียงเงียบงัน ไม่สามารถเปล่งคำใด ใบหน้าซีดเซียวของนางเต็มไปด้วยความข่มขื่นสุดจะหยั่ง
ฟ้าดินเท่านั้นที่รู้ว่านางเจ็บช้ำในหัวใจปานใด
หากจะทำร้ายนางอย่างไรย่อมทำได้ แต่ต้องไม่ใช่กับพี่ซือจิงที่เลี้ยงดูประคบประหงมนางประหนึ่งมารดา
หญิงสาวเพียงหลับตา ไม่มองหน้าชายหนุ่มผู้เป็นสามี นางกลั้นน้ำตามิให้ไหลรินออกมาอย่างยากลำบาก แม้แต่รอยยิ้มบางเบาก็ไม่สามารถมอบให้เขาได้อีกแล้วในยามนี้
เฮ่อเหลียนเลือกที่จะเดินจากหลี่ชางมาอย่างเยือกเย็น แม้จะถูกฝ่ามืออบอุ่นที่แสนคุ้นเคยจับตรึงเอาไว้ นางก็ไม่หันหน้ากลับไป น้ำตายังคงกลั้นเอาไว้ให้ลึกสุดใจ
“ไยเจ้าถึงใจร้อนเช่นนี้ มีอะไรก็ค่อยๆ คุยกันได้หรือไม่?”
หลี่ชางเอ่ยปากตัดพ้อ มือหนายังคงจับแขนภรรยาเอาไว้ เขาพยายามดึงนางเข้าสู่อ้อมกอด ทว่ากลับถูกเจ้าของกายงามบิดตัวหลบเลี่ยง
“เหลียนเอ๋อร์ ข้ารักเพียงเจ้า”
เฮ่อเหลียนไม่เห็นหน้าเขา ว่ากำลังเผยความจริงใจออกมาสักกี่ส่วนยามเอ่ยคำนั้น ทว่าหากเปรียบเทียบกันระหว่างนางที่ใจร้อน กับเขาที่ใจร้าย ใครน่าละอายมากกว่ากัน!
หญิงสาวแข็งใจเดินต่อไป ไม่สนใจสรรหาคำตอบใด
ไม่แม้แต่จะหันไปมองชายอันเป็นที่รักอีกเลย...
หญิงสาวนิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา นางนั่งมองชายหนุ่มข้างกายอยู่นิ่งๆ เห็นเขาส่งยิ้มอบอุ่นมาให้ เป็นรอยยิ้มละมุนตาที่นางโหยหาทุกค่ำคืนเฮ่อเหลียนหลับตาลงอย่างช้าๆ นึกปวดแปลบอยู่ในใจหลี่ชางบอกว่าฟางเอ๋อร์ตั้งครรภ์แล้ว จึงได้มารับนางกลับไป เขาหมายความว่าอย่างไร?หลี่ชางคล้ายเข้าใจคำถามนั้นของเฮ่อเหลียน ถึงแม้ว่านางมิได้เอ่ย แต่คำตอบกลับออกมาจากปากเขาช้าๆ เพื่ออธิบาย“การที่ฟางเอ๋อร์ตั้งครรภ์แล้วหนึ่งเดือนหลังจากที่เข้าหอกับข้าเพียงสองเดือน นั่นก็แสดงว่าร่างกายของข้าปกติดี”ประโยคนี้ทำผู้ฟังได้แต่อึ้งงัน หมายความว่าเป็นนางที่ร่างกายบกพร่องเพียงผู้เดียวใช่หรือไม่?“เจ้าอย่าด่วนคิดมากไป” อีกครั้งที่หลี่ชางเอ่ยอย่างเข้าใจเฮ่อเหลียน “ข้ากำลังจะบอกเจ้าว่า เมื่อมีสตรีมารับหน้าที่ตั้งครรภ์แทนเจ้าแล้ว ต่อไปเจ้าก็ไม่ต้องกังวลเรื่องทายาทอีก จากนี้เราอยู่กันแบบสามคนสามีภรรยาด้วยดีเถิด ข้ายังคงรักเจ้าเช่นเดิม”อ้อ...กระนั้นหรือ?หญิงสาวตอบคำเขาอยู่ในใจ หาได้เอ่ยออกมาไม่ นางมิรู้ว่าควรคุยกับเขาอย่างไรดีความรู้สึกเจ็บลึกยังคงมีไม่สร่างซาคำว่าสามคนสามีภรรยาล้วนเสียดแทงใจแต่ทว่านางกำลังรู้สึกบางอย่างที่เขา
เฮ่อเหลียนพาซือจิงที่ร่างกายบอบช้ำจากการถูกโบยมารักษาตัวที่บ้านเดิมของตน สินเจ้าสาวก็มิได้นำมาคนบ้านเฮ่อต่างมองนางด้วยสายตาไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดนางถึงเป็นสตรีจิตใจคับแคบ แค่สามีรับอนุเข้าบ้านเพียงหนึ่งคนต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ และคำต่อว่าอีกมากมาย ทั้งเรื่องที่คนในบ้านล้วนอับอายเพราะนางเป็นสตรีที่หย่าสามีกลับมาเช่นนี้ คนทั้งบ้านเฮ่อ ทั้งบิดาและมารดาเลี้ยงทั้งหลาย ล้วนกล้ำกลืนฝืนทนกับการกลับมาเยือนอย่างไร้เกียรติเช่นนี้ของเฮ่อเหลียนทุกคนของสกุลเฮ่อ ต้องถูกชาวบ้านเหยียดศักดิ์ศรีอย่างไม่เหลือดีเพราะสตรีหย่าสามีเป็นเรื่องน่าอับอายเฮ่อเหลียนมิใช่ไม่รู้สึก นางเป็นคนธรรมดาย่อมอับอายยิ่งกว่าพวกเขาอย่างที่สุดคำว่าใจร้อน ใจแคบ ล้วนดังเข้าหูให้นางได้ยินทุกวัน และนางก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ นางไม่คิดปฏิเสธแต่จะให้นางทำอย่างไร นางในยามนี้เจ็บปวดเหลือเกินไยไม่มีใครเข้าใจ...สามเดือนหลังจากนั้น นับได้ว่านานเกินพอที่ซือจิงจะหายดี หากแต่สภาพจิตใจของเฮ่อเหลียนกลับไร้ทางเยียวยาซือจิงเห็นนายสาวยังไม่หายเศร้าโศกจึงเอ่ยปากชวนกันไปเที่ยวนอกบ้าน สถานที่ปลายทางคือชานเมืองที่มีป่าผืนน้อยร้างผู้คน ข่าวว่า
“เจ้าทำสิ่งใดลงไป? เหลียนเอ๋อร์!”เส้นเสียงทุ้มต่ำของนายท่านผู้เฒ่าเอ่ยถามอย่างตำหนิมาทางเฮ่อเหลียนตามด้วยฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเสริมด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ“เหลียนเอ๋อร์ เจ้าไยทำตัวไม่มีเหตุผลเช่นนี้ สตรีเราเมื่อไม่สามารถมีทายาทให้สามี หากไม่ถูกขับออกก็ต้องยินดีที่จะมีสตรีอื่นมาแบ่งเบา ไฉนเจ้าไม่เข้าใจ เรื่องเช่นนี้มิใช่ว่าไม่เคยเกิดที่บ้านใด เจ้าจะเห็นแก่ตัวมิได้”ฮูหยินเอกหมาดๆ แห่งคฤหาสน์หลี่ทำได้เพียงเงียบงัน ไม่ต่อวาจาใดนายท่านผู้เฒ่าจึงเอ่ยอีกครา “เจ้ารู้หรือไม่? ว่าฟางเอ๋อร์ หาใช่สตรีไร้หัวนอนปลายเท้า ข้าต้องลำบากออกปากเนิ่นนานกว่าที่บิดามารดาของนางจักยินยอมให้แต่งเป็นเพียงอนุของอาชาง”ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเสริมอีกครั้งอย่างรู้สึกผิดต่อสตรีผู้นั้นเป็นอย่างมาก “ใช่แล้วเหลียนเอ๋อร์ เมื่อเช้านี้เจ้าทำฟางเอ๋อร์ตกใจจนร่ำไห้ไม่หยุด ปากก็ร่ำๆ ว่าจะกลับบ้านไป ไม่สืบทายาทแล้ว”เฮ่อเหลียนยืนนิ่งอึ้งฟังประโยคเหล่านั้นด้วยหัวใจแข็งกระด้างเย็นเยียบสตรีนางนั้นเป็นคุณหนูสูงส่ง ยอมลดตัวแต่งเป็นแค่อนุต่ำต้อยให้หลี่ชาง สามารถมีทายาทให้บ้านหลี่ได้ชื่นใจ ทุกคนดูเกรงอกเกรงใจต่อนางเหลือเกินเมื่อเห็นภรรยาของบ
พวกเขาคงมีความรู้สึกบางอย่างต่อกันมาพอควรแล้ว ทั้งยังคงสานสัมพันธ์กันลับหลังนางมาแล้วระยะหนึ่งมิเช่นนั้นพวกเขาจะแต่งงานกันภายในวันเดียวหลังจากที่ฮูหยินผู้เฒ่าเรียกหานางได้อย่างไรเมื่อคิดได้กระจ่างแจ้งเช่นนั้น เฮ่อเหลียนจึงยกมือปาดน้ำตาด้วยตนเอง แล้วเงยหน้ามองชายผู้เป็นสามีอย่างเต็มตา เห็นเขาก้มหน้ามองนางอย่างละอายแก่ใจอยู่บ้างแต่แล้วอย่างไรเล่า ในเมื่อเขาเลือกที่จะทำลงไปแล้ว...หญิงสาวกลั้นใจถามออกไปอย่างยากลำบาก “ท่านกับนางมิใช่ว่าเคยเจอกันครั้งแรกใช่หรือไม่? อาชาง”น้ำเสียงเย็นเยียบทำผู้ถูกถามต้องหลบตา ซึ่งนั่นคือคำตอบโดยไม่ต้องเอ่ย ผ่านไปนานทีเดียวกว่าเส้นเสียงแหบพร่าจะตอบกลับมา“ข้าเฟ้นหาสตรีที่พอจะมีทายาทให้ข้าได้ และคนที่บ้านของฟางเอ๋อร์ก็มีลูกง่ายกันทุกคน”“อ้อ...” เฮ่อเหลียนตอบรับเสียงแหบแห้งสะเทือนอารมณ์ในน้ำเสียงนั้นนางเย้ยหยันเขาและตนเองไปพร้อมกัน “เช่นนั้นหรือ?”หญิงสาวพยักหน้าน้อยๆ อย่างเข้าใจ แต่ทว่าดวงตาของนางกลับสะท้อนความขมขื่นเต็มไปหมด ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างเย็นชานางไม่อาจไม่เข้าใจ…หญิงสาวไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะคิดเข้าข้างตัวเองหรือสามีอีกต่อไป ว่าเขายังค
“ข้าหลี่ชาง ขอสัญญาว่าจะรักเพียงเฮ่อเหลียนและจะมีเพียงเหลียนเอ๋อร์คนเดียวตลอดไป...”ประโยคนี้ที่หวานล้ำลึกซึ้งเมื่อกาลก่อน เหตุใดวันนี้ถึงคล้ายใบมีดคมร้อนฉ่าที่กรีดเฉือนใจนางจนขาดวิ่นไม่เหลือดีเฮ่อเหลียนไม่เข้าใจว่าความทรมานรวดร้าวในโพรงอกยามนี้จักพรรณนาเป็นคำพูดว่าอย่างไรเฮ่อเหลียนไม่เข้าใจว่าจะเดินหน้าต่อไปได้อย่างไร เมื่อหัวใจของนางถูกฉีกทึ้งจนเป็นแผลกว้างยากจะประสานได้ถึงเพียงนี้เสียงเตียงโยกโยนเกิดขึ้นอีกครั้งในเช้านี้ เสมือนเมื่อคืนที่ผ่านมา หากแต่หญิงสาวมิได้เพียงแค่ยินเสียงแต่ภาพของสามีนางกำลังขึ้นคร่อมอยู่บนร่างของสตรีนางนั้น พร้อมจังหวะกลางลำตัวไม่มีสะดุดลงสักครา ผสานกับเสียงครวญครางอย่างสุขสมขาดเป็นห้วงๆ เช่นนี้ ทำเอาสติอันน้อยนิดกับความยั้งคิดเส้นสุดท้ายของเฮ่อเหลียนขาดสะบั้นลงโดยพลัน “อาชาง...”หญิงสาวเจ็บปวดเสียจนน้ำเสียงสั่นเครือยามเอ่ยปากเรียกขานนามของสามีแต่ดูเหมือนว่าเรี่ยวแรงของหญิงสาวจะน้อยจนเกินไป เสียงเรียกของนางจึงไม่อาจดังไปกว่าเสียงหอบครางที่กำลังเกิดขึ้นบนเตียงนอนร่างระหงในชุดคลุมสีขาวเตรียมนอนแต่ไม่ยอมนอน จึงเยื้องกรายเข้าใกล้พวกเขาอีกเล็กน้อยอย
แต่กระนั้นการเดินจากไปนางก็ไม่อาจทำได้เช่นกันในก้นบึ้งของหัวใจยังคงเอ่ยย้ำซ้ำๆ ว่าหลี่ชางยังคงไม่ได้สติจากฤทธิ์ของเหล้า เช้าแล้วเขาคงสร่างเมา เมื่อเขาหายเมาแล้วคงรีบลุกขึ้นมาแล้วออกไปหานางและนางก็กำลังยืนอยู่ตรงนี้ รอเขาลุกมาหานางคำขอโทษจากปากเขา นางพร้อมรับฟัง เหตุผลร้อยแปดสารพัดว่าจำเป็นอย่างมากกับการนอกใจ นางยินดีแบกรับเอาไว้แม้จะเจ็บปวดเจียนคลั่งชั่วจังหวะที่เฮ่อเหลียนกำลังปรับอารมณ์ให้กลายเป็นสตรีมีเหตุผลอย่างที่สมควรกระทำ ซึ่งมองดูแล้วก็ไร้เหตุผลสิ้นดีที่คิดจะทำตามสติอันน้อยนิดเมื่อมีความรักบังตาอยู่เหนือเหตุผลทั้งหมดทั้งมวล บนเตียงนอนพลันมีเสียงขยับตัวของฝ่ายหญิง เฮ่อเหลียนจึงหยุดทุกความคิดแล้วจ้องนิ่งที่ปฏิกิริยาของฝ่ายชายนางกลั้นหายใจจนเจ็บโพรงอก เมื่อเห็นหลี่ชางเริ่มสลึม สลือปรือตาตื่นขึ้นมา มุมปากของเขายกยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะบ่นพึมพำด้วยเสียงทุ้มพร่าว่า “เจ้าจะไปไหน?” ฝ่ามือของเขาล้วงเข้าไปในผ้าห่มแล้วไล้ไปมาเบาๆ บนเนินเนื้อนางในอ้อมแขนฝ่ายสตรีช้อนตามองเขาอย่างเอียงอาย ใบหน้าแดงก่ำ เรียวปากแดงช้ำเพราะถูกกดจูบทั้งคืนเอ่ยเสียงแผ่วหวาน “ท่านพี่ ฟางเอ๋อร์จะลุกไปเตรียมน้ำให้