การออกมาใช้ชีวิตข้างนอกโดยไม่มีตระกูลพทักษ์ธรานนท์ซัพพอร์ตสำหรับดาริกามันไม่ง่ายเลยจริง ๆ
เธอต้องอยู่ห้องเช่าเก่า ๆ แคบ ๆ มันน่าอนาถกว่าห้องพักสำหรับคนใช้ที่บ้านพิทักษ์ธรานนท์อีก กลางวันต้องแบกสังขารไปเรียน ส่วนกลางคืนต้องไปทำงานที่บาร์
เดินเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มให้ลูกค้าจนขาเป็นเกลียวเหนื่อยสายตัวแทบขาด กว่าจะเลิกงานก็ตีสองทุกคืน
ผ่านไปแค่ห้าวันเธอก็ได้รู้ซึ้งแล้ว แต่สิ่งที่ทรมานสุดคือต้องทนต่อความคิดถึงที่มีต่อผู้ชายใจร้ายทั้งที่เขาร้ายแสนร้ายกับเธอเพียงใดหัวใจไม่รักดีก็ยังเลิกรัก เลิกคิดถึงเขาไม่ได้
ทว่าคนอย่างเธอยอมทรมานเพราะความคิดถึงดีกว่ากลับไปให้เขาเหยียบย่ำหัวใจ และคนอย่างเธอไม่เคยยอมแพ้อะไรง่าย ๆ อยู่แล้วต่อให้หนักหนากว่านี้ก็จะไม่หวนกลับไปขอความช่วยเหลือจากะิทักษ์ธรานนท์เด็ดขาด
จะทำให้ผู้ชายใจร้ายเห็นว่าไม่มีพิทักษ์ํรานนท์เธอก็สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง
"สภาพแกไม่ไหวเลยยัยดา" เสียงพูดของมิ้นท์ทำให้ดาริกาที่นั่งสัปหงกอยู่ในห้องเรียนรู้สึกตัว พยายามเปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งขึ้นมองหน้าเพื่อนสาว
"ใช่..ฉันง่วงมากเลย" เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเนื่อย ๆ ใบหน้าแสดงออกถึงความง่วงงุนและเหนื่อยล้าเสียเต็มประดา
"ไม่ไหวก็ลองหางานอื่นทำดูไหม" แยมออกความคิดเห็น
"ถ้าเป็นงานพาร์ทไทม์เวลากลางวันเราก็ได้ทำแค่เวลาไม่มีเรียนหรือเลิกเรียน มันไม่กี่ชั่วโมงเองคงได้ไม่กี่บาท ส่วนงานที่บาร์ถึงจะเหนื่อยและอดหลับอดนอนแต่ก็ได้เงินดีเราว่ามันดีกว่า"
ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากหางานอื่นทำ แต่เพราะมันไม่ตอบโจทย์เรื่องการเงิน งานที่บาร์เหนื่อยหน่อยแต่เงินดีเพราะนอกจากจะได้เงินเดือนเดือนละหมื่นสองแล้วยังได้ทิปจากลูกค้าอีก คืนตั้งสี่ห้าร้อย
"ถ้าแกคิดว่าทำไหวก็ทำ แต่ถ้าไม่ไหวก็อย่าฝืนร่างกาย" แยมเอ่ยดาริกายิ้มรับ จากนั้นก็หันไปตั้งใจฟังอาจารย์สอน
-บ้านพิทักษ์ธรานนท์-
"ช่วงนี้แป้งรู้สึกว่าอารมณ์ของพี่ศรัณย์ไม่ค่อยดีเลยนะคะ มีเรื่องอะไรรึเปล่าคะเล่าให้แป้งฟังได้นะ"
เสียงถามไถ่ของว่าที่คู่หมั้นทำให้ศรัณย์ที่นั่งหน้าตึง คิ้วขมวดแทบจะชนกันได้สติ เขารีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติพร้อมระบายยิ้มให้ว่าที่คู่หมั้นสาวบาง ๆ
"พี่แค่มีเรื่องให้คิดนิดหน่อยครับ ไม่มีอะไรหรอก"
"เรื่องงานเหรอคะ"
"ใช่ครับ" เขาตอบไปแบบนั้นทั้งที่ความจริงไม่ใช่ ที่เขาหงิดหงิดงุ่นง่าน และอารมณ์ไม่ดีตลอดหลายวันมานี้เป็นเพราะเรื่องของผู้หญิงอวดดีค่อยรบกวนจิตใจอยู่ตลอดเวลาต่างหากไม่ใช่เรื่องงาน
แม้พยายามสลัดเรื่องของเธอออกจากสมองเท่าไร พยายามทำตัวให้ยุ่งมากแค่ไหนแต่สุดท้ายก็วนกลับมาคิดเรื่องเธออยู่ดี
เขาไม่ได้เป็นห่วงเธอ แค่คิดว่าทำไมเขาต้องปล่อยให้เธอออกไปใช้ชีวิตข้างนอกอย่างสบายใจในขณะที่เขาต้องจมอยู่กับความโกรธความขุ่นข้องหมองใจที่แม่ของเธอเป็นต้นเหตุ
พลันลุกขึ้นยืนจนว่าที่คู่หมั้นสาวตกใจ มองเขาด้วยสายตางุนงง "พี่ศรัณย์เป็นอะไรคะ"
"เปล่าครับ พอดีพี่นึกขึ้นได้ว่ายังมีงานที่ต้องเคลียร์ให้เสร็จ"
"อ๋อคะ"
"พี่ไปบริษัทก่อนนะครับ"
"ค่ะ"
ศรัณย์โกหกว่าที่คู่หมั้นว่ามีงานที่บริษัท แต่ความจริงจะไปหาตัวต้นเหตุที่ทำให้เขาอารมณ์ไม่ดีต่างหาก
เขาขับรถไปยังมหาวิทยาลัย ขับมาจอดข้าง ๆ ตึกที่เธอเรียนอยู่เพื่อดักรอ ถามว่ารู้ได้ยังไงว่าเธอเรียนตึกไหนเวลาไหนก็เพราะเขามีตารางเรียนของเธอยังไงล่ะ
เมื่อครั้งยังดีกันเขาเคยขอตารางเรียนของเธอดูอยากรู้ว่าแต่ละวันเธอเข้าและเลิกเรียนเวลาไหนบ้าง หรือวันไหนไม่มีเรียนจะได้รู้ว่าเธอแอบเถลไถลที่ไหนหรือเปล่า
นั่งรอราวหนึ่งชั่วโมงก็เห็นเธอเดินออกมาจากตึกเรียนพร้อมด้วยกลุ่มเพื่อน ๆ สองสามคน ก่อนเธอจะโบกมือลาเหล่าเพื่อน ๆ ด้วยใบหน้าเคลือบรอยยิ้มสดใส
รอยยิ้มที่เขาไม่ได้เห็นมานานมากแล้ว...
สองคิ้วเข้มพลันขมวดแทบจะชนกันในเวลาต่อมาเมื่อมีรถเก๋งสีดำคันหนึ่งเคลื่อนตัวมาจอดลงริมถนนตรงหน้าเธอ ก่อนจะมีผู้ชายเปิดประตูลงจากรถเดินอ้อมมาหาเธอ
รูปร่างดีและหน้าตาหล่อใช้ได้ ท่าทางการพูดคุยดูสนิทสนมกันมากทีเดียวเธอพูดไปก็ยิ้มหวานไปเห็นแล้วขัดหูขัดตาชะมัด
สองมือหนากำพวงมาลัยรถจนเส้นเลือดบนหลังมือยาวไปขึ้นแขนปูดนูน ครั้นร่างบางเดินไปขึ้นรถที่หนุ่มคนนั้นเปิดรออยู่พร้อมทั้งโน้มตัวผายมือเชื้อเชิญเธอดุจดั่งเจ้าหญิง ซึ่งใครเห็นก็อดคิดไม่ได้ว่าเป็นแฟนกัน
หรือทั้งสองจะเป็นแฟนกันเมื่อความคิดนี้แวบเข้ามาในสมองเขาก็ใช้ลิ้นดุ้นกระพุ้งแก้ม แววตาทอประกายวาวโรจน์ หน้าแดงก่ำลามไปถึงใบหู
เธอเป็นสมบัติของเขาใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์มายุ่ง
เขาแอบขับรถตามทั้งสองไปห่าง ๆ พยายามข่มอารมณ์เอาไว้สุดฤทธิ์ยังไงตอนนี้ต้องรู้ที่อยู่เธอให้ได้ก่อน เรื่องอีกไว้จัดการที่หลังก็ยังไม่สายยังไงเธอก็หนีเขาไม่พ้นอยู่แล้ว
"โธ่เว้ย!"
แต่เหมือนโชคจะไม่เข้าข้างเอาเสียเลยเพราะเขาดันติดไฟแดงขณะที่รถของทั้งสองผ่านไฟแดงไปอย่างเฉียดฉิว กว่าจะไฟเขียวก็หลายวินาทีทำให้ตามทั้งสองไม่ทัน
เขาโกรธจนแทบคุมอารมณ์ไม่อยู่รัวกำปั้นทุบพวงมาลัยรถซ้ำ ๆ อย่างแรงโดยไม่สนว่ามันจะพังหรือไม่
หญิงสาวทำเขาโกรธขนาดนี้หากตามเจอตัวเขาจะไม่ปล่อยเอาไว้แน่
หลังจากสงบสติอารมณ์ได้ก็หยิบโทรศัพท์มาต่อสายหาเพื่อนชายคนสนิท
(ว่าไงไอ้รัณ)
"คืนนี้มึงเข้าบาร์ไหม"
(เข้า มีอะไร)
"เดี๋ยวกูเข้าไปหาที่บาร์"
(เออ ๆ)
วางสายจากเพื่อนชายเขาก็เปลี่ยนเส้นทางจากจะกลับบ้านก็ไปบาร์เพื่อนชายแทน ไปดื่มแอลกอฮอล์เย็น ๆ สักหน่อยเผื่อจะดับความคุกรุ่นในใจได้บ้าง
ทางด้านดาริกาเธอไม่รู้เลยสักนิดว่าถูกแอบตามจากผู้ชายใจร้าย แต่ก็สามารถคลาดแคล้วได้เพราะไฟแดงช่วย
"ขอบคุณนะคะพี่โจ" เธอกล่าวขอบคุณรุ่นพี่หนุ่มด้วยใบหน้าเคลือบรอยยิ้มบาง ๆ หลังจากรถมาจอดลงหน้าหอพัก
วันนี้รุ่นพี่หนุ่มขับรถผ่านหน้าตึกคณะแล้วเห็นเธอยืนอยู่พอดีจึงจอดลงมาคุย เธอจึงถือโอกาสนี้เลี้ยงข้าวขอบคุณเขาที่ไปส่งบ้านวันนั้นเลย พอทานข้าวเสร็จเขาก็อาสามาส่งที่หอพักอีก
"ไม่เป็นไรครับ ทางผ่านกลับหอพักพี่พอดี" โจส่งยิ้มหวานให้รุ่นน้องสาวอย่างเอ็นดู
"อ๋อค่ะ" นี่เป็นความบังเอิญจริง ๆ ที่หอพักเธอกับหอพักรุ่นพี่หนุ่มอยู่แถวเดียวกัน ทว่าแม้จะรู้ว่าเป็นทางผ่านของรุ่นพี่เธอก็รู้สึกเกรงใจอยู่ดี "แต่ยังไงก็ขอบคุณนะคะ"
"ครับ"
หลังจากร่ำลารุ่นพี่หนุ่มเสร็จเธอก็เดินเข้าหอพัก จัดการอาบน้ำแต่งตัวแล้วเดินทางไปทำงานที่บาร์เหมือนเช่นทุกวัน
มาถึงสะพานตรงพิกัดที่มือถือหญิงสาวแสดงก็เห็นผู้คนมากมายกำลังยืนมุงเต็มขอบสะพานคล้ายกำลังมองอะไรอยู่ นอกจากนั้นยังมีรถกู้ภัยและรถฉุกเฉินจอดริมถนนด้วยมีอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอพิกัดของหญิงสาวก็อยู่ตรงนี้คงไม่ใช่ว่าเกิดเรื่องร้ายกับเธอใช่ไหมรู้สึกหวิวในใจอย่างบอกไม่ถูก รีบเปิดประตูลงจากรถวิ่งข้ามถนนไปยังฝั่งที่ผู้คนยืนอยู่ พยายามฝ่าวงล้อมเข้าไปแล้วถามไถ่คนที่อยู่ตรงนั้น "เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ""มีคนกระโดดสะพานค่ะ"ได้ฟังคำตอบหัวใจพลันกระตุกวูบแต่ยังมั่นใจว่าไม่ใช่หญิงสาวแน่นอน เธอไม่มีทางทำแบบนั้น "รู้ไหมครับว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แล้วอายุประมาณกี่ปี""คนที่เห็นเหตุการณ์บอกว่าเป็นผู้หญิงค่ะ ใส่ชุดนักศึกษาอายุราว 19-20ปี"ข้อมูลต่อมาทำเขาใจหวิวสติสตังเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ในใจภาวนาขอให้ไม่ใช่เธอพร้อมกับบังคับขาที่เริ่มสั่นเดินแหวกผู้คนไปยังขอบสะพานดวงตาพลันเบิกกว้างความกลัวเข้าเกาะกุมหัวใจอย่างหนักเมื่อเห็นกระเป๋าสะพายที่เจ้าหน้าที่กู้ภัยถืออยู่มันเหมือนของหญิงสาวมากเขาลอบกลืนน้ำลายลงลำคออึกใหญ่พยายามห้ามความกลัวที่กำลังรบกวนจิตใจ แล้วเดินเข้าไปถาม "กระเป๋าใบนี้เป็นของใครครับ" "กร
-โรงพยาบาล-เพล้งง!!แก้วน้ำที่ศรัณย์กำลังจะยกขึ้นดื่มพลันร่วงหล่นจากมือตกกระทบพื้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แก้วแตกเป็นเสี่ยง ๆ น้ำกระเซ็นใส่รองเท้าและชายกางเกงจนเปียกชื้น "แม่งเอ้ย!" เขาสบถออกมาอย่างหัวเสียพร้อมกับโน้มไปหยิบกระดาษทิชชู่บนโต๊ะกลางมาเช็ดรองเท้าเสร็จแล้วลุกจากโซฟาเดินไปยังเตียงที่มีว่าที่คู่หมั้นสาวนอนไม่ได้สติอยู่ ยื่นมือไปหมายจะกดกริ่งบนหัวเตียงเรียกพยาบาล แต่ก็ต้องชะงักเพราะเสียงเปิดประตูหันไปมองเห็นพยาบาลสาววิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาด้วยสีหน้าแตกตื่น เขามองอย่างสงสัย "มีอะไรรึเปล่าครับ""น้องสาวของคุณหายตัวไปจากโรงพยาบาลค่ะ""ว่าไงนะ!" สิ้นคำบอกกล่าวจากปากพยาบาลใบหน้าเรียบนิ่งดุดันขึ้นทันที ในใจเริ่มรุ่มร้อนแบบไม่มีสาเหตุ "เธอนอนเจ็บอยู่จะหายไปได้ยังไง""ไม่ทราบค่ะ" สีหน้าท่าทางเกรี้ยวกราดของชายหนุ่มทำพยาบาลสาวอกสั่นขวัญหายจนต้องกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ก่อนยื่นจดหมายสองฉบับไปให้เขา "ตอนฉันเข้าไปในห้องก็พบเพียงจดหมายสองฉบับนี้ที่เธอน่าจะทิ้งไว้"ศรัณย์รีบคว้าจดหมายจากมือพยาบาลมาถือ แล้วเดินกึ่งวิ่งไปยังห้องที่หญิงสาวเคยพักรักษาตัว มาถึงก็เห็นหมอกับพยาบาลอีกสองคนยืนอยู่"ทำไม
ปึกๆ!!ดาริกาใช้กำปั้นทุบลงบนอกด้านซ้ายซ้ำ ๆ หวังว่ามันจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดที่กัดกินหัวใจอยู่มันเจ็บเกินกว่าจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ แค่ถูกผู้ชายที่รักหันหลังให้อย่างไร้เยื่อใยในตอนที่เธอต้องการเขาที่สุดหัวใจดวงน้อยก็พังย่อยยับมากพอแล้ว แต่ยังถูกซ้ำเติมด้วยความจริงอันแสนเจ็บปวดว่าแม่ที่เป็นทุกอย่างในชีวิตของเธอไม่ใช่แม่ผู้ให้กำเนิดจริง ๆ ยิ่งเจ็บปวดเป็นทวีคูณหัวใจของเธอแตกสลายเกินกว่าจะประกอบขึ้นมาใหม่ได้อีก และมันไม่สามารถแบกรับอะไรได้อีกแล้วเธอพยายามกลั้นน้ำตาไว้ หยัดกายลุกขึ้นนั่งแล้วเอี้ยวตัวไปหยิบกระเป๋าสะพายที่วางบนโต๊ะหัวเตียงมาเปิดเอากระดาษโน้ตกับปากกาทำการเขียนข้อความลงบนกระดาษพร้อมน้ำตาที่ร่วงริน'ถึงแม่เกสรที่รัก..ขอบคุณที่แม่อดทนเลี้ยงหนูมาจนเติบโตทั้งที่หนูไม่ใช่ลูกแท้ ๆ พระคุณของแม่มากมายจนหาที่เปรียบไม่ได้ แต่หนูมันอกตัญญูไม่สามารถอยู่ตอบแทนบุญคุณของแม่ได้ หนูขอโทษนะคะชาตินี้แม่ไม่ใช่แม่แท้ ๆ ของหนู แต่เผื่อชาติหน้ามีจริงหนูขอเกิดเป็นลูกแท้ ๆ ของแม่ และแม่ช่วยรักหนูหน่อยนะคะ หนูรักแม่นะรักที่สุดแม้แม่จะไม่เคยรักหนูเลยก็ตาม ดาริกา...'เขียนเสร็จจึงพับก
ดาริกาเม้มปากแน่นไม่ได้ตอบอะไรพยายามสะกดกลั้นหยาดน้ำตาที่กำลังเออคลอดวงตาไหวระริก ในใจอยากจะบอกหมอออกไปเหลือเกินว่าเธอไม่ดีใจสักนิดที่สามารถรักษาก้อนเลือดที่เกิดจากความโกรธเกลียดของอีกคนไว้ได้ มันคงจะดีกว่าถ้าเลือดเนื้อก้อนนี้ออกจากร่างกายเธอไปเพราะรู้เต็มอกว่าคงไม่มีใครยินดีปรีดา ขนาดเธอเองยังยอมรับไม่ได้เลยแล้วนับประสาอะไรกับคนอื่น ๆ "คุณโอเครึเปล่า" หมอวัยกลางคนถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงเมื่อเธอเอาแต่นิ่งเงียบไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง"โอเคค่ะ" เธอจำใจต้องตอบว่าโอเคทั้งที่รู้สึกไม่โอเคสักนิด "แล้วนี่สามีคุณอยู่ไหน" คำถามต่อมาจากหมอเหมือนมีดกรีดซ้ำลงบนแผลที่มันแหวะหวะรู้สึกเจ็บจนไม่สามารถกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไปน้ำสีใสค่อย ๆ เออออกจากดวงตารินไหลลงบนแก้มเป็นสายเธอรีบหลับตาลงพยายามกลั้นน้ำตา กลืนก้อนสะอื้นลงคอแล้วเปล่งเสียงสั่นเครือตอบ "ฉันไม่มีสามีค่ะ"พอเธอตอบแบบนั้นหมอก็เงียบไป เธอจึงลืมตาขึ้นมองพร้อมกับเอ่ยต่อ "เรื่องฉันท้องคุณหมออย่าบอกใครนะคะ แม้แต่แม่ของฉัน"เธอขอร้องไม่ให้หมอบอกใครเพราะรู้ดีว่าผลจะออกมาเป็นยังไงหากแม่กับผู้ชายใจร้ายรู้ ดีไม่ดีอาจจะบังคับให้เธอทำแท้งด้วยซ้ำจึงเลือกจะปกป
ดาริกาลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว บนหลังมือมีสายน้ำเกลือกับสายอะไรก็ไม่รู้ห้อยระโยงระยาง เธอเบ้หน้าออกมาพร้อมใช้มือกอบกุมหน้าท้องที่ยังรู้สึกปวดหน่วง ดวงตาที่แดงก่ำและบวมปูดจากการร้องไห้กวาดมองไปรอบห้องที่มีแค่ความว่างเปล่าไร้เงาของแม่และคนอื่น ๆ น้ำตาพลันรินไหลรู้สึกเจ็บปวดในอกยิ่งนักเธอประสบอุบัติเหตุขนาดนี้ แต่กลับไร้เงาของผู้เป็นแม่ ที่ท่านไม่มาเพราะยังไม่รู้ หรือรู้แต่ไม่สนใจใยดีกันแน่ ลำพังแค่คนอื่นไม่มาเธอยังพอเข้าใจได้ ส่วนผู้ชายใจร้ายเธอไม่ได้หวังอีกแล้วเพราะทุกอย่างมันชัดเจนแจ่มแจ้งตั้งแต่วินาทีที่เขาเลือกหันหลังให้กันแกร๊ก!เสียงเปิดประตูดังขึ้นเธอรีบยกมือเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้า แววตาเศร้าหมองมองไปยังประตูลึก ๆ ในใจหวังว่าจะเป็นแม่ แต่เธอก็ต้องผิดหวังเพราะคนที่เข้ามาคือพยาบาล"ตื่นแล้วเหรอคะ" พยาบาลอายุราวสามสิบต้น ๆ ถามไถ่ด้วยใบหน้าเคลือบรอยยิ้มพลางเดินมาดูขวดน้ำเกลือ"ค่ะ ฉันหมดสติไปนานไหมคะ" เธอพยักหน้าแล้วถามไถ่เพราะอยากรู้ว่าตัวเองหมดสติไปนานแค่ไหน""สามชั่วโมงได้ค่ะ""แล้วมีใครมาหาฉันบ้างคะ""มีแม่ของคุณค่ะ แต่พอเห็นคุณยังไม่ฟื้นท่านก็ฝากให้ฉ
แม้เมื่อคืนจะร้องไห้อย่างหนักแต่เช้ามาดาริกาก็ยังทำตัวเป็นปกติได้ ลุกอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปมหาวิทยาลัยวันนี้เธอไม่คิดปลุกคนที่นอนหลับอยู่บนเตียงปล่อยให้เขานอนตามสบาย ส่วนเธอหลังจากแต่งตัวเสร็จก็เดินลงไปยังชั้นล่าง เธอชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นผู้เป็นแม่นั่งอยู่ที่ห้องโถงก่อนจะก้าวเดินต่อ"ไม่เห็นหัวกันแล้วใช่ไหม" เสียงประชดประชันของท่านดังขึ้นในตอนที่เธอกำลังเดินผ่านทำให้เธอต้องหยุด แล้วหันไปตอบ "หนูรีบไปเรียนค่ะ"เธอโกหกทั้งที่สาเหตุแท้จริงคือไม่อยากเผชิญหน้ากับท่านเพราะยิ่งเห็นหน้าก็ยิ่งตอกย้ำให้เสียใจ"เมื่อคืนทำไมไม่ลงมาร่วมงานวันเกิดหนูแป้ง ฉันให้เจี๊ยบขึ้นไปตามแล้วไม่ใช่เหรอ"เธอยิ้มเยาะออกมาสวนทางกับแววตาที่เศร้าสร้อย ในใจกำลังร้องไห้ ผู้เป็นแม่เรียกเธอไว้ก็เพราะเรื่องแป้งสินะ แล้วเธอล่ะไม่เคยอยู่ในสมอง ไม่เคยอยู่ในหัวใจของท่านเลยหรือถึงทำอะไรไม่เคยนึกถึงความรู้สึกกันเลยเธอเป็นลูกท่านจริง ๆ หรือเปล่าเป็นคำถามที่ติดอยู่ในใจตลอด"หนูปวดหัวลงมาไม่ไหว" ตอบโกหกไป"แกนี่มันใช้ไม่ได้สักเรื่อง""ใช่ค่ะหนูมันไม่ได้เรื่อง" เธอประชดกลับด้วยความเสียใจแทนที่ท่านจะเป็นห่วงกลับตำหนิกัน เอ่ยจบก็เ