"น้องดา..."
ทันทีที่โผล่หน้าเข้าบาร์เจ๊ลิลลี่ผู้จัดการบาร์ก็พุ่งเข้ามาหาเธอด้วยความเร็ว
"เจ๊ลิลลี่มีอะไรรึเปล่าค่ะ" มองหน้าถามด้วยความแปลกใจเพราะปกติเจ๊ลิลลี่จะไม่ค่อยมาวุ่นวายกับพนักงานเท่าไร
"วันนี้บัวลาป่วย แต่มีแขกวีไอพีที่บัวดูแลประจำมา เจ๊มอบงานนี้ให้เธอดูแลแทนแล้วกัน"
"เอ่อ..."
ประโยคบอกกล่าวจากเจ๊ลิลลี่ทำเธอหนักใจไม่น้อยเพราะงานของบัวคือเด็กนั่งดริ้งค์ ต้องแต่งตัวเซ็กซี่แถมยังต้องนั่งเอาอกเอาใจลูกค้าแบบใกล้ชิดอีกเธอทำไม่ได้จริง ๆ
"ฉะ.." ทำท่าจะปฎิเสธแต่เจ๊ลิลลี่พูดแทรกเสียก่อน หนำซ้ำยังทำหน้าอ้อนวอน
"ถือว่าช่วยเจ๊หน่อยนะ ถ้าน้องดาไม่ช่วยเจ๊แย่แน่ เจ๊มองไม่เห็นใครแล้วนอกจากเธอ แขกคนนี้ใจป้ำมากนะถ้าเธอดูแลดีอาจจะได้ทิปเป็นกอบเป็นกำเลย"
แม้เจ๊ลิลลี่จะทำหน้าอ้อนวอนเธอก็ไม่คิดใจอ่อน หากแต่คำว่าทิปเป็นกอบเป็นกำมากกว่าที่ดึงดูดความสนใจเธอ "ที่ว่าเป็นกอบเป็นกำนี่เท่าไรคะ"
"เห็นที่บัวเคยได้นะไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่น บางครั้งสี่ห้าหมื่นก็มี"
"จริงเหรอคะ" ดวงตากลมถึงกับลุกวาวหากได้ทิปเยอะขนาดนั้นก็ดีสิเธอกำลังต้องการเงินไปจ่ายค่าเทอมพอดีเพราะที่มีอยู่ยังไม่พอเลย ไหนจะค่ากินค่าเช่าห้องและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อีก
"ฉันทำก็ได้ค่ะ" ตัดสินใจตกลงเพราะมันก็ไม่มีอะไรเสียหายหากเธอเซฟตัวเองดี ๆ ทนทำแค่ไม่นานก็ได้เงินก้อนถือว่าคุ้มอยู่
"งั้นตามเจ๊มา..ต้องแต่งหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้าสักหน่อย" เจ๊ลิลลี่ยิ้มพอใจ ก่อนจะเดินนำไปยังห้องแต่งตัวสำหรับพนักงาน
ดาริกาถูกจับแปลงโฉมและเปลี่ยนเสื้อผ้าภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมงก็เสร็จ จากนั้นเจ๊ลิลลี่ก็พาเธอไปแนะนำกับลูกค้าที่นั่งอยู่โต๊ะวีไอพีหกบนชั้นสองซึ่งอยู่ติดกับห้องทำงานเจ้าของบาร์
ดาริกาไม่รู้เลยว่ามีใครบางคนกำลังนั่งดื่มอยู่ด้านใน
ศรัณย์นั่งกระดกวิสกี้ลงคอราวกับน้ำเปล่าหวังว่ามันจะช่วยทำให้จิตใจของเขาสงบ แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย
ยิ่งดื่มสมองของเขาก็ยิ่งคิดฟุ้งซ่านว่าตอนนี้หญิงสาวอยู่กับไอ้หน้าส้นตีนนั่นแล้วกำลังทำอะไรต่อมิอะไรกันหรือไม่
"บัดซบ!!"
เขาสบถคำหยาบออกมาดังลั่นพร้อมวางแก้ววิสกี้ในมือกระแทกโต๊ะอย่างแรงจนเสียงดังสนั่น น้ำสีอำพันในแก้วกระชอน เกิดรอยร้าวไปทั่วก้นของแก้ว
"ไอ้เหี้ย! มึงเป็นอะไรว่ะ" คนที่นั่งดื่มเป็นเพื่อนอย่างดนุภพเจ้าของบาร์ถึงกับสะดุ้งตกใจ ร้องถามเพื่อนชายทันควัน
เพราะทันทีที่มาถึงเพื่อนชายก็สั่งเครื่องดื่มมา แล้วนั่งดื่มอย่างเอาเป็นเอาตายไม่พูดจากับเขาสักคำถามก็ไม่ตอบจนเขาขี้เกียจถามเลยเลือกนั่งดื่มเป็นเพื่อนไปเงียบ ๆ
ศรันย์ตวัดสายตามองหน้าเพื่อนราวกับจะกินหัวกัน ก่อนจะเสมองไปทางอื่นไม่คิดจะตอบคำถามเช่นเดิม
"โอเค..วันนี้มึงคงลืมเอาปากมาสินะ กูไม่ถามแม่งล่ะถ้าอยากบอกก็บอก"
ดนุภพถอนหายใจพลางมองหน้าเพื่อนชายอย่างเหนื่อยใจในเมื่อเพื่อนชายไม่ยอมตอบเขาก็ไม่ถามแม่งล่ะ ก่อนจะเลื่อนสายตาลงมองแก้วคริสตัลราคาแพงที่เกิดรอยร้าวจากแรงกระแทกกับโต๊ะเมื่อกี้นี้ แล้วเอ่ยอีกครั้งด้วยน้ำเสียงวิงวอน
"แต่มึงอย่ามาทำลายข้าวของในผับกูได้ไหมมม"
ภายนอกศรัณย์ดูเหมือนเป็นคนสุขุมนุ่มลึก อ่อนโยน ใจเย็น แต่ใครจะรู้ว่าเขานั้นแหละคือตัวพ่อของความอารมณ์ร้อน อย่าให้ได้โมโหหรืออารมณ์ขึ้นเชียวอะไรขวางหน้าก็ไม่สน เวลาโกรธแล้วทำอะไรไม่ได้ที่ระบายอารมณ์คือสิ่งของเครื่องใช้
อย่างเช่นที่เขากำลังระบายอารมณ์กับแก้วเหล้าคริสตัลราคาแพงของดนุภพ
"กูมีปัญญาจ่ายค่าเสียหาย"
ทว่าคำตอบจากเพื่อนทำเอาเขาถึงกับกุมขมับถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ก็รู้แหละว่ารวยมากแค่แก้วใบละพันสองพันขนหน้าแข้งคงไม่ร่วง แต่มันใช่เรื่องหรือเปล่า
"เอาที่มึงสบายเลย เต็มที่เพื่อน" สุดท้ายเขาก็ได้แต่ปล่อยเลยตามเลยขี้เกียจจะพูดอะไรแล้ว ถึงพูดไปเพื่อนตัวดีก็ใช่ว่าจะทำตามเสียที่ไหน รู้ ๆ นิสัยกันอยู่ดูตอนนี้สิขนาดเขาพูดยังไม่สนใจนั่งกระดกวิสกี้ไม่พัก
ศรัณย์ตวัดสายตาดุมองหน้าเพื่อนชายเล็กน้อย ก่อนจะวางแก้วลง ล้วงไปหยิบมือถือในกระเป๋ากาง แต่กลับพบแค่ความว่างเปล่าเหมือนเขาจะลืมมือถือไว้ในรถ
"กูไปเอาโทรศัพท์ที่รถก่อน" จึงบอกกล่าวกับเพื่อนชายแล้วลุกออกจากห้อง ทว่าในตอนที่กำลังก้าวออกจากประตูก็ต้องชะงักกึกครั้นสายตาดันไปกระทบเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่โซนวีไอพี
เธอคล้ายกับดาริกามากเพียงแต่การแต่งตัวดูไม่ใช่เธอเลยเพราะชุดโป๊มากดาริกาไม่น่าจะกล้าใส่ขนาดนี้ พยายามเพ่งสายตามองให้ชัด ก่อนความโมโหจะพุ่งปรี๊ดขึ้นสมอง
"ดาริกา!"
เขาขบกรามจนขึ้นเป็นสัน ใบหน้าเกรี้ยวกราดแดงก่ำลามถึงใบหู แววตาวาวโรจน์ด้วยไฟแห่งความโกรธ
ผู้หญิงที่เห็นคือดาริกาจริง ๆ ทำไมเธอถึงกล้าแต่งตัวโป๊ขนาดนี้ หนำซ้ำยังนั่งหัวเราะต่อกระซิกกับผู้ชายอย่างหน้าระรื่น
ตอนกลางวันก็ไปกับอีกคน พอตกกลางคืนก็อยู่กับอีกคน
"มึงยืนทำอะไรตรงนั้น ไหนว่าไปเอามือถือ" เสียงดนุภพถามไถ่ด้วยความสงสัย ศรัณย์ได้ยินแต่ไม่สนใจเอาแต่ยืนจ้องไปที่หญิงสาวจนดนุภพต้องลุกเดินไปหา
"มึงมองอะไรอยู่" เดินไปยืนด้านหลังแล้วมองตามสายตาเพื่อนชาย ความสงสัยกระจ่างทันที "มองสาวนี่เอง สนใจเหรอ"
"..."
ไร้เสียงตอบรับจากเพื่อนชายเขาจึงเอ่ยต่อ "น้องคนนั้นชื่อดาริกา พนักงานใหม่เพิ่งมาทำงานได้สามวัน"
คนที่กำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟหันควับกลับมามองหน้าเพื่อนชายราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ "กูรู้แล้วว่าน้องเขาชื่อดาริกา แต่มึงจะรับมาทำเหี้ยอะไร"
"อ้าว!" ผู้หวังดีอย่างดนุภพถึงกับหน้าเหวอทั้งที่อยากช่วยแท้ ๆ แต่กลับโดนด่าเสียงั้น ที่น่าแปลกใจยิ่งกว่าคือเพื่อนชายรู้จักเด็กคนนั้น ซึ่งดูจากสีหน้าท่าทาง และปฏิกิริยาที่แสดงออกมาคืออาการของคนหึงหวงชัด ๆ
"ใครเหรอว่ะ เด็กมึงเหรอ" เอ่ยถามทีเล่นทีจริงเพื่อคลายความสงสัย
"คว..*" แต่คำว่าอสนหยาบคายกลับลอยใส่หน้าเขาเต็ม ๆ ส่วนคนพูดทันทีที่เอ่ยจบก็ลุกพรวดเดินดุ่ม ๆ ไปยังโซฟาที่หญิงสาวคนนั้นนั่งอยู่
รู้ได้ทันทีว่าความฉิบหายมาเยือนแล้ว เดินไปด้วยอารมณ์คุกรุ่นขนาดนั้นจากนิสัยของเพื่อนชายแล้วไม่ต้องบอกก็รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจึงรีบเดินตามไปดูสถานการณ์ห่าง ๆ
มาถึงสะพานตรงพิกัดที่มือถือหญิงสาวแสดงก็เห็นผู้คนมากมายกำลังยืนมุงเต็มขอบสะพานคล้ายกำลังมองอะไรอยู่ นอกจากนั้นยังมีรถกู้ภัยและรถฉุกเฉินจอดริมถนนด้วยมีอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอพิกัดของหญิงสาวก็อยู่ตรงนี้คงไม่ใช่ว่าเกิดเรื่องร้ายกับเธอใช่ไหมรู้สึกหวิวในใจอย่างบอกไม่ถูก รีบเปิดประตูลงจากรถวิ่งข้ามถนนไปยังฝั่งที่ผู้คนยืนอยู่ พยายามฝ่าวงล้อมเข้าไปแล้วถามไถ่คนที่อยู่ตรงนั้น "เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ""มีคนกระโดดสะพานค่ะ"ได้ฟังคำตอบหัวใจพลันกระตุกวูบแต่ยังมั่นใจว่าไม่ใช่หญิงสาวแน่นอน เธอไม่มีทางทำแบบนั้น "รู้ไหมครับว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แล้วอายุประมาณกี่ปี""คนที่เห็นเหตุการณ์บอกว่าเป็นผู้หญิงค่ะ ใส่ชุดนักศึกษาอายุราว 19-20ปี"ข้อมูลต่อมาทำเขาใจหวิวสติสตังเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ในใจภาวนาขอให้ไม่ใช่เธอพร้อมกับบังคับขาที่เริ่มสั่นเดินแหวกผู้คนไปยังขอบสะพานดวงตาพลันเบิกกว้างความกลัวเข้าเกาะกุมหัวใจอย่างหนักเมื่อเห็นกระเป๋าสะพายที่เจ้าหน้าที่กู้ภัยถืออยู่มันเหมือนของหญิงสาวมากเขาลอบกลืนน้ำลายลงลำคออึกใหญ่พยายามห้ามความกลัวที่กำลังรบกวนจิตใจ แล้วเดินเข้าไปถาม "กระเป๋าใบนี้เป็นของใครครับ" "กร
-โรงพยาบาล-เพล้งง!!แก้วน้ำที่ศรัณย์กำลังจะยกขึ้นดื่มพลันร่วงหล่นจากมือตกกระทบพื้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แก้วแตกเป็นเสี่ยง ๆ น้ำกระเซ็นใส่รองเท้าและชายกางเกงจนเปียกชื้น "แม่งเอ้ย!" เขาสบถออกมาอย่างหัวเสียพร้อมกับโน้มไปหยิบกระดาษทิชชู่บนโต๊ะกลางมาเช็ดรองเท้าเสร็จแล้วลุกจากโซฟาเดินไปยังเตียงที่มีว่าที่คู่หมั้นสาวนอนไม่ได้สติอยู่ ยื่นมือไปหมายจะกดกริ่งบนหัวเตียงเรียกพยาบาล แต่ก็ต้องชะงักเพราะเสียงเปิดประตูหันไปมองเห็นพยาบาลสาววิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาด้วยสีหน้าแตกตื่น เขามองอย่างสงสัย "มีอะไรรึเปล่าครับ""น้องสาวของคุณหายตัวไปจากโรงพยาบาลค่ะ""ว่าไงนะ!" สิ้นคำบอกกล่าวจากปากพยาบาลใบหน้าเรียบนิ่งดุดันขึ้นทันที ในใจเริ่มรุ่มร้อนแบบไม่มีสาเหตุ "เธอนอนเจ็บอยู่จะหายไปได้ยังไง""ไม่ทราบค่ะ" สีหน้าท่าทางเกรี้ยวกราดของชายหนุ่มทำพยาบาลสาวอกสั่นขวัญหายจนต้องกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ก่อนยื่นจดหมายสองฉบับไปให้เขา "ตอนฉันเข้าไปในห้องก็พบเพียงจดหมายสองฉบับนี้ที่เธอน่าจะทิ้งไว้"ศรัณย์รีบคว้าจดหมายจากมือพยาบาลมาถือ แล้วเดินกึ่งวิ่งไปยังห้องที่หญิงสาวเคยพักรักษาตัว มาถึงก็เห็นหมอกับพยาบาลอีกสองคนยืนอยู่"ทำไม
ปึกๆ!!ดาริกาใช้กำปั้นทุบลงบนอกด้านซ้ายซ้ำ ๆ หวังว่ามันจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดที่กัดกินหัวใจอยู่มันเจ็บเกินกว่าจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ แค่ถูกผู้ชายที่รักหันหลังให้อย่างไร้เยื่อใยในตอนที่เธอต้องการเขาที่สุดหัวใจดวงน้อยก็พังย่อยยับมากพอแล้ว แต่ยังถูกซ้ำเติมด้วยความจริงอันแสนเจ็บปวดว่าแม่ที่เป็นทุกอย่างในชีวิตของเธอไม่ใช่แม่ผู้ให้กำเนิดจริง ๆ ยิ่งเจ็บปวดเป็นทวีคูณหัวใจของเธอแตกสลายเกินกว่าจะประกอบขึ้นมาใหม่ได้อีก และมันไม่สามารถแบกรับอะไรได้อีกแล้วเธอพยายามกลั้นน้ำตาไว้ หยัดกายลุกขึ้นนั่งแล้วเอี้ยวตัวไปหยิบกระเป๋าสะพายที่วางบนโต๊ะหัวเตียงมาเปิดเอากระดาษโน้ตกับปากกาทำการเขียนข้อความลงบนกระดาษพร้อมน้ำตาที่ร่วงริน'ถึงแม่เกสรที่รัก..ขอบคุณที่แม่อดทนเลี้ยงหนูมาจนเติบโตทั้งที่หนูไม่ใช่ลูกแท้ ๆ พระคุณของแม่มากมายจนหาที่เปรียบไม่ได้ แต่หนูมันอกตัญญูไม่สามารถอยู่ตอบแทนบุญคุณของแม่ได้ หนูขอโทษนะคะชาตินี้แม่ไม่ใช่แม่แท้ ๆ ของหนู แต่เผื่อชาติหน้ามีจริงหนูขอเกิดเป็นลูกแท้ ๆ ของแม่ และแม่ช่วยรักหนูหน่อยนะคะ หนูรักแม่นะรักที่สุดแม้แม่จะไม่เคยรักหนูเลยก็ตาม ดาริกา...'เขียนเสร็จจึงพับก
ดาริกาเม้มปากแน่นไม่ได้ตอบอะไรพยายามสะกดกลั้นหยาดน้ำตาที่กำลังเออคลอดวงตาไหวระริก ในใจอยากจะบอกหมอออกไปเหลือเกินว่าเธอไม่ดีใจสักนิดที่สามารถรักษาก้อนเลือดที่เกิดจากความโกรธเกลียดของอีกคนไว้ได้ มันคงจะดีกว่าถ้าเลือดเนื้อก้อนนี้ออกจากร่างกายเธอไปเพราะรู้เต็มอกว่าคงไม่มีใครยินดีปรีดา ขนาดเธอเองยังยอมรับไม่ได้เลยแล้วนับประสาอะไรกับคนอื่น ๆ "คุณโอเครึเปล่า" หมอวัยกลางคนถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงเมื่อเธอเอาแต่นิ่งเงียบไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง"โอเคค่ะ" เธอจำใจต้องตอบว่าโอเคทั้งที่รู้สึกไม่โอเคสักนิด "แล้วนี่สามีคุณอยู่ไหน" คำถามต่อมาจากหมอเหมือนมีดกรีดซ้ำลงบนแผลที่มันแหวะหวะรู้สึกเจ็บจนไม่สามารถกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไปน้ำสีใสค่อย ๆ เออออกจากดวงตารินไหลลงบนแก้มเป็นสายเธอรีบหลับตาลงพยายามกลั้นน้ำตา กลืนก้อนสะอื้นลงคอแล้วเปล่งเสียงสั่นเครือตอบ "ฉันไม่มีสามีค่ะ"พอเธอตอบแบบนั้นหมอก็เงียบไป เธอจึงลืมตาขึ้นมองพร้อมกับเอ่ยต่อ "เรื่องฉันท้องคุณหมออย่าบอกใครนะคะ แม้แต่แม่ของฉัน"เธอขอร้องไม่ให้หมอบอกใครเพราะรู้ดีว่าผลจะออกมาเป็นยังไงหากแม่กับผู้ชายใจร้ายรู้ ดีไม่ดีอาจจะบังคับให้เธอทำแท้งด้วยซ้ำจึงเลือกจะปกป
ดาริกาลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว บนหลังมือมีสายน้ำเกลือกับสายอะไรก็ไม่รู้ห้อยระโยงระยาง เธอเบ้หน้าออกมาพร้อมใช้มือกอบกุมหน้าท้องที่ยังรู้สึกปวดหน่วง ดวงตาที่แดงก่ำและบวมปูดจากการร้องไห้กวาดมองไปรอบห้องที่มีแค่ความว่างเปล่าไร้เงาของแม่และคนอื่น ๆ น้ำตาพลันรินไหลรู้สึกเจ็บปวดในอกยิ่งนักเธอประสบอุบัติเหตุขนาดนี้ แต่กลับไร้เงาของผู้เป็นแม่ ที่ท่านไม่มาเพราะยังไม่รู้ หรือรู้แต่ไม่สนใจใยดีกันแน่ ลำพังแค่คนอื่นไม่มาเธอยังพอเข้าใจได้ ส่วนผู้ชายใจร้ายเธอไม่ได้หวังอีกแล้วเพราะทุกอย่างมันชัดเจนแจ่มแจ้งตั้งแต่วินาทีที่เขาเลือกหันหลังให้กันแกร๊ก!เสียงเปิดประตูดังขึ้นเธอรีบยกมือเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้า แววตาเศร้าหมองมองไปยังประตูลึก ๆ ในใจหวังว่าจะเป็นแม่ แต่เธอก็ต้องผิดหวังเพราะคนที่เข้ามาคือพยาบาล"ตื่นแล้วเหรอคะ" พยาบาลอายุราวสามสิบต้น ๆ ถามไถ่ด้วยใบหน้าเคลือบรอยยิ้มพลางเดินมาดูขวดน้ำเกลือ"ค่ะ ฉันหมดสติไปนานไหมคะ" เธอพยักหน้าแล้วถามไถ่เพราะอยากรู้ว่าตัวเองหมดสติไปนานแค่ไหน""สามชั่วโมงได้ค่ะ""แล้วมีใครมาหาฉันบ้างคะ""มีแม่ของคุณค่ะ แต่พอเห็นคุณยังไม่ฟื้นท่านก็ฝากให้ฉ
แม้เมื่อคืนจะร้องไห้อย่างหนักแต่เช้ามาดาริกาก็ยังทำตัวเป็นปกติได้ ลุกอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปมหาวิทยาลัยวันนี้เธอไม่คิดปลุกคนที่นอนหลับอยู่บนเตียงปล่อยให้เขานอนตามสบาย ส่วนเธอหลังจากแต่งตัวเสร็จก็เดินลงไปยังชั้นล่าง เธอชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นผู้เป็นแม่นั่งอยู่ที่ห้องโถงก่อนจะก้าวเดินต่อ"ไม่เห็นหัวกันแล้วใช่ไหม" เสียงประชดประชันของท่านดังขึ้นในตอนที่เธอกำลังเดินผ่านทำให้เธอต้องหยุด แล้วหันไปตอบ "หนูรีบไปเรียนค่ะ"เธอโกหกทั้งที่สาเหตุแท้จริงคือไม่อยากเผชิญหน้ากับท่านเพราะยิ่งเห็นหน้าก็ยิ่งตอกย้ำให้เสียใจ"เมื่อคืนทำไมไม่ลงมาร่วมงานวันเกิดหนูแป้ง ฉันให้เจี๊ยบขึ้นไปตามแล้วไม่ใช่เหรอ"เธอยิ้มเยาะออกมาสวนทางกับแววตาที่เศร้าสร้อย ในใจกำลังร้องไห้ ผู้เป็นแม่เรียกเธอไว้ก็เพราะเรื่องแป้งสินะ แล้วเธอล่ะไม่เคยอยู่ในสมอง ไม่เคยอยู่ในหัวใจของท่านเลยหรือถึงทำอะไรไม่เคยนึกถึงความรู้สึกกันเลยเธอเป็นลูกท่านจริง ๆ หรือเปล่าเป็นคำถามที่ติดอยู่ในใจตลอด"หนูปวดหัวลงมาไม่ไหว" ตอบโกหกไป"แกนี่มันใช้ไม่ได้สักเรื่อง""ใช่ค่ะหนูมันไม่ได้เรื่อง" เธอประชดกลับด้วยความเสียใจแทนที่ท่านจะเป็นห่วงกลับตำหนิกัน เอ่ยจบก็เ