บ้าไปแล้ว.... ข้าอุตส่าห์หนีจากหมู่บ้านเส็งเคร็งไปได้ แล้วจะย้อนกลับมาทำไมอีกเล่า อีกทั้งสตรีงดงามที่กำลังเถียงกับหลี่มู่กวาคือผู้ใดกัน ดูสนิทสนมกันก็จริงแต่มองอีกด้านก็เหมือนจะญาติดีกันไม่ได้
“มู่กวานี่น่ะหรือภรรยาของเจ้า ไม่เลว น่ารัก ผิวสวยใช้ได้ ข้าชอบ” ไม่ว่าเปล่านางยังใช้ปลายนิ้วเชยคางภรรยาสหาย พร้อมกับส่งสายตาโปรยเสน่ห์ราวกับหนุ่มน้อยเจ้าสำราญ ปากหรือก็กล่าวชมไม่หยุดตั้งแต่มาถึง
“หยุด ห้ามแตะห้ามเข้าใกล้ ออกไปให้ห่างไป๋เหลียนของข้าเดี๋ยวนี้” ชายหนุ่มปัดมือสาวเจ้าออกไปให้พ้นจากคนรัก ในสายตาเขาสตรีทุกคนไว้ใจได้หมดยกเว้นนาง
“จิ๊ก ๆ เจ้านี่ก็เหลือเกิน ข้าก็เป็นสตรีจะหึงหวงก็ให้มีขอบเขตเสียบ้าง ไป๋เหลียนเราเข้าบ้านกันเถอะ เจ้ามาเหนื่อย ๆ ต้องพักผ่อนให้มาก พี่สาวคนนี้จะดูแลเจ้าอย่างดีเอง”
“เจ้าค่ะ” ไป๋เหลียนยอมให้อีกฝ่ายจับมือถือแขนเข้าบ้านอย่างงง ๆ ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร มาถึงพวกเขาก็เอาแต่ทะเลาะกัน ไม่มีผู้ใดคิดจะแนะนำตัวให้นางรู้บ้างหรือ ท่านอ๋องก็เอาแต่อมยิ้มอยู่เช่นนั้นไม่ปริปากสักคำ
แต่แล้วเมื่อทุกคนเข้ามานั่งพร้อมหน้า ในที่สุดความสงสัยของไป๋เหลียนจึงได้ความกระจ่าง ทว่ามันกลับมาพร้อมกับเรื่องไม่คาดคิด
“ข้ามีนามว่าฉู่หรง ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
เพียงแค่เอ่ยนามไป๋เหลียนถึงกับยิ้มค้าง เมื่อรู้นามของสาวงามทว่ากายเป็นชายตรงหน้า ความรู้สึกของนางตอนนี้เหมือนกับเวลากำลังหยุดหมุนอย่างไรอย่างนั้น
โอ้... คิดถึงนางเอก นางเอกก็มา
“ไป๋เหลียนเจ้าเป็นอะไรไป หรือว่ารู้สึกไม่สบายนอนพักสักตื่นดีหรือไม่” หลี่มู่กวาเห็นว่าหญิงคนรักนิ่งค้างไปนาน ทำเอาเขาเองก็ไม่สบายใจ พลางลูบคลำบีบนวดเพื่อให้นางผ่อนคลาย ทว่าหญิงสาวกลับไม่สนใจเขาเลยเอาแต่จ้องหน้าสตรีตัวร้ายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ท่านคือองค์หญิงใหญ่แคว้นฉู่ ฉู่หรงหรือเจ้าคะ” ไป๋เหลียนถามทวนอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ มิใช่ว่าสิ่งที่นางกลัวใกล้จะเข้ามาแล้วหรือ โศกนาฏกรรมรักสามเส้า เช่นนี้แล้วนางจะยังสามารถแก้ไขอะไรได้หรือไม่
“เก่งจัง เจ้ารู้ฐานะที่แท้จริงของข้าได้อย่างไร พวกท่านบอกหรือ” ฉู่หรงมองบุรุษทั้งสองเพื่อขอคำตอบ ทว่าคำตอบที่นางได้กลับเป็นการส่ายหน้าปฏิเสธ “ถ้าเช่นนั้นแสดงว่าเจ้าก็สนใจข้าไม่น้อยน่ะสิ”
องค์หญิงแคว้นฉู่พูดทีเล่นทีจริง ไป๋เหลียนรู้ฐานะที่แท้จริงของนางได้อย่างไร ไม่น่าสนใจเท่ากับสายตาที่มองด้วยความเคลือบแคลงสงสัย ทั้งคำถามที่ไม่ต้องเอื้อนเอ่ยก็สามารถรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในใจของอีกฝ่ายได้ทันที
ไป๋เหลียนนั้นอยากจะถามบุรุษข้างกายเหลือเกิน ทว่าในสถานการณ์ที่ไม่ได้อยู่กันตามลำพัง ไม่ใช่เวลาที่นางควรถาม ได้แต่ภาวนาให้สิ่งที่คิดไม่ใช่เรื่องจริง นางยังไม่อยากเสียหลี่มู่กวาไปตอนนี้
“เจ้าหยุดคิดเรื่องนั้นไปเสีย”
“ท่านพี่รู้หรือเจ้าคะ ว่าข้าคิดอะไรอยู่”
“เจ้าคิดอะไรเหตุใดข้าจะไม่รู้ ข้าขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่ามันจะไม่มีวันเกิดขึ้นเด็ดขาด” ชายหนุ่มยืนยันอย่างหนักแน่นและชัดเจน เขาและองค์หญิงไม่มีทางเป็นอื่นกันได้อย่างแน่นอน เขาเอาหัวเป็นประกัน
“ทำไมหรือเจ้าคะ ก็ในนิยายบอกไว้ว่าท่านหลงรักนางตั้งแต่แรกเห็น ถึงขั้นพานางหนีการแต่งงานไม่ใช่หรือ อุ๊ย!”
ไป๋เหลียนรีบยกมือขึ้นปิดปากพลางตกใจ เมื่อครู่นางเผลอพูดความในใจออกมาจนได้ ทว่ากลับไม่คาดคิดเมื่อบัดนี้ฉู่หรงและซิงเยี่ยนกำลังหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตาย ด้านแม่ทัพหนุ่มก็ถึงกับคลึงขมับพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ไป๋เหลียน ฉู่หรงน่ะ... นางไม่ได้ชอบบุรุษ” ซิงเยี่ยนกระแอมกระไอกระซิบบอกเสียงเบา กระนั้นก็อดกลั้นขำเสียมิได้ หน้าของไป๋เหลียนตอนนี้มันช่างตลกเกินทน
“เอ๋.....”
ข้าชักไม่มั่นใจแล้วสิ นี่ข้ามาถูกเรื่องหรือไม่ ครึ่งแรกน่ะใช่แต่ว่าครึ่งหลังนี่สินางชักไม่แน่ใจ
ชายหนุ่มรู้สึกผิดปกติกับกลิ่นกำยาน ยิ่งสูดดมเข้าไปก็ยิ่งมีความต้องการมากขึ้น เขาจึงทำลายโถกำยานนั่นเสีย แต่ก็ดูเหมือนจะสายเกินไป เมื่อตัวเขาเองก็ยากจะควบคุมร่างกายและความรู้สึกได้แล้วร่างบางถอดชุดตนเองออกอย่างเร่งรีบไม่รับฟังสิ่งใดทั้งนั้น ปากหรือก็คอยรับจูบจากคนตัวโตได้อย่างช่ำชอง อารมณ์กำหนัดของคนทั้งสองกำลังพุ่งทะยานขึ้นสูงถึงขีดสุด ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่เคยมีบัดนี้กลับเลือนหาย รู้เพียงว่าจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้กายเบื้องล่างสงบลงด้วยเพราะเป็นเวลากลางวัน แสงจากด้านนอกลอดผ่านช่องระบายจึงทำให้เห็นอะไรต่อมิอะไรได้ชัดเจน สองกายเปลือยเปล่าโผเข้าหากันอย่างหื่นกระหาย กอดตวัดเกี่ยวพันเต็มไปด้วยไฟแห่งราคะไม่มีที่สิ้นสุด“อ้าส์ ท่านพี่ ข้าขออีก ไม่พอ ข้าอยากได้มันอีก”แม้ยามนี้นางจะกลืนกินแก่นกายเนื้อเข้าไปจนมิดด้ามแล้วก็ตาม ทว่าความรู้สึกภายในมันกลับบอกว่าไม่เพียงพอ ทั้งยั่วทั้งบดอย่างที่ไม่เคยคิดว่าตนเองจะกล้าทำแต่ก็ทำ เร่งเร้าให้อีกฝ่ายออกแรงกระแทกมากกว่านี้“อ้าส์...พี่ พี่ไม่อยากให้เจ้าเจ็บ” ชายหนุ่มขบกรามแน่นเพื่อข่มอารมณ์ให้ได้มากที่สุด ดูเหมือนว่าตัวเขาเองจะอาการหนักมากกว่าค
หว่านปิงที่ยืนแอบอยู่มุมอับประตูได้แต่กำหมัดแน่น ไม่เคยโกรธและเกลียดใครได้เท่าไป๋เหลียนมาก่อนในชีวิต นับตั้งแต่สตรีผู้นี้เข้ามาความใส่ใจที่เคยได้รับก็ถูกดึงไปจดหมด แม้แต่กิจการร้านค้าก็ยังยกให้มันแต่ตนกลับไม่ได้อะไรเลย วัน ๆ ได้แต่แสร้งปั้นหน้าเอาใจยายแก่หนังเหนี่ยวเสียจนน่าเบื่อแล้วข้าเล่า....ข้าควรเป็นคนที่ได้สิ่งเหล่านั้นทั้งหมด ไม่ใช่เป็นใครที่ไหนก็ไม่รู้ที่เพิ่งเข้ามาได้ไม่ถึงเดือนหว่านปิงกลับไปที่ห้องตนเองด้วยความรู้สึกเจ็บแค้น นางเริ่มคิดวางแผนกำจัดสะใภ้บ้านนอกให้เร็วที่สุด ก่อนที่สมบัติทั้งหมดในจวนจะไม่เหลือให้ตนสักชิ้น วันรุ่งขึ้นเจ้าตัวอาศัยช่วงเวลาที่ฮูหยินหลี่ออกไปพบปะสหาย ลงมือทำตามแผนทันทีบุตรสาวจวนแม่ทัพเข้าครัวแต่เช้า ลงมือเคี่ยวน้ำแกงไก่ด้วยตนเองทั้งยังพูดปาว ๆ ว่าที่ทำไปนั้นก็เพื่อบำรุงพี่ชายและพี่สะใภ้ เพราะนางนั้นอยากจะเป็นท่านอาเต็มทนบ่าวไพร่ที่ได้ยินดังนั้นก็พากันกระซิบกระซาบ พูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ คุณหนูหว่านปิงช่างน่ารักเหลือเกิน อยากได้หลานถึงกับลงมือทำของบำรุงด้วยตนเองไฉนเลยบ่าวไพร่ความรู้น้อยจะรู้เหตุผลที่แท้จริง น้ำแกงไก่หม้อนั้นเต็มไปด้วยสมุนไพรแล
บทสรุปของเรื่องราวครั้งนี้ จบลงด้วยการที่แคว้นฉู่ถูกเรียกร้องให้จ่ายค่าทำขวัญ และรับผิดชอบที่คณะทูตใช้กลอุบายเล่นสกปรก เพื่อหวังจะให้แคว้นเป่ยยกเส้นทางสายไหมให้แคว้นฉู่สามารถใช้ร่วมกันได้โดยไม่ต้องเสียค่าผ่านทางใด ๆ รวมไปถึงต้องการให้ยินยอมรับข้อเสนอที่ไม่เป็นธรรมอีกหลายอย่างแม้คณะทูตแคว้นฉู่จะพยายามแก้ตัวอย่างไร ก็ไม่มีใครสามารถช่วยได้ ด้วยครั้งนี้มิใช่เพียงเรื่องความบาดหมางของทั้งสองแคว้น มันกลับพ่วงไปถึงแคว้นซ่ง พวกเขาถูกลากมาเกี่ยวข้องด้วยก็เพราะเตี่ยซำฮวงเคยใช้พิษหลอนประสาท ซึ่งเป็นพิษขึ้นชื่อของแคว้นซ่ง เพื่อหวังให้ทั้งสองฝ่ายแตกคอกันการกระทำอันหยาบช้า ยิ่งทำให้มีความผิดมากเท่าทวีคูณ แม้จะปฏิเสธก็ยากแล้วเมื่อทางแคว้นเป่ยมีทั้งพยานและหลักฐานมัดตัววันรุ่งขึ้นได้มีคำสั่งให้เหล่าคณะทูตพร้อมกับคนทรยศอย่างอำมาตย์โส่ว ถูกขับไล่ออกจากแคว้นทันที เตี่ยซำฮวงจึงได้รู้ในตอนนั้นเองว่าไม่มีผู้ใดทรยศพวกเขาทั้งนั้น ที่พ่ายแพ้ย่อยยับมันเป็นเพราะพวกเขามั่นใจตนเองเกินไป โดยไม่รู้ตัวเลยว่าถูกซ่อนแผนมาตั้งแต่แรกเมื่อเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไปสู่คนภายนอก แคว้นฉู่ถูกประณามไม่มีชิ้นดี ด้วยแรงกดดันอันม
“นี่มันอะไรกันฝ่าบาท คราวนี้พระองค์จะแก้ตัวอย่างไร โหดเหี้ยมนักถึงกับวางยาพวกเราเชียวหรือ เช่นนั้นสัญญาเมื่อครู่ถือว่าเป็นโมฆะ ต่อไปนี้แคว้นฉู่จะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ได้โปรดทุกท่านในที่นี้ให้ความเป็นธรรมกับพวกเราด้วย อย่าได้ปล่อยให้คนชั่วลอยนวล” เตี่ยซำฮวงได้ทีรีบหาพรรคพวกเป็นการใหญ่ แสร้งทำตัวเป็นผู้ถูกกระทำ หวังพลิกสถานการณ์กลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบ“เจ้ากล่าวหาเราเป็นครั้งที่สองแล้วนะ ใต้เท้าเตี่ยเจ้ามีหลักฐานหรือว่าเราเป็นผู้กระทำ”“ฝ่าบาทยังจะแก้ตัวอีกหรือ ใคร ๆ ก็เห็นหลังจากทูตของเราดื่มสุราเขาไปก็กระอักเลือดออกมาทันที ทุกท่านในที่นี้ล้วนเป็นพยาน”“ฝ่าบาทมิใช่ว่าพวกกระหม่อมปรักปรำพระองค์แต่อย่างใด แต่หากพระองค์ไม่มีหลักฐานเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ พวกเราก็จนใจไม่อาจอยู่ข้างพระองค์ได้พ่ะย่ะค่ะ” ซีหยางอ๋องแห่งแคว้นฉานลุกขึ้นออกความคิดเห็น พวกเขาเป็นมิตรอันดีกับแคว้นเป่ยมาช้านาน ทว่าจะให้หลับหูหลับตาเข้าข้างอย่างเดียวก็มิใช่เรื่อง ด้วยเกี่ยวพันไปถึงชื่อเสียงด้วยเช่นกัน“กระหม่อมเห็นด้วยกับซีหยางอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายเก้าแคว้นซ่งกล่าวเสริมทัพ แม้จะรู้สึกสะใจไม่น้อยกระนั้นก็ไม่สามารถแสดง
เมื่อตรวจสอบแล้วว่าอาหารและเครื่องดื่มของเหล่าบุคคลสำคัญไม่มีพิษปนเปื้อน หญิงสาวจึงพยักหน้าให้เหล่านางกำนัลลำเลียงอาหารและเครื่องดื่มออกไปได้ เพียงเท่านี้เหล่าเชื้อพระวงศ์จึงได้ดื่มกินกันอย่างวางใจหลังจากดื่มกินชมการแสดงได้สองบทเพลงจึงได้เวลาสำคัญ คณะทูตแคว้นฉู่ก้าวออกมายืนตรงกลางลานต่อหน้าพระพักตร์ ด้านหลังพวกเขาล้วนเป็นของที่นำมาบรรณาการแลกเปลี่ยนทั้งสิ้น ในมือของเตี่ยซำฮวงผู้เป็นหัวหน้าคณะก็ยังมีกล่องไม้รูปทรงยาวขนาดหนึ่งฉื่อ (1ฉื่อ= 30.48 เซนติเมตร) ถืออยู่ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ผู้เป็นนาย กำชับว่าต้องนำมาบรรณาการให้ถึงมือองค์จักรพรรดิให้ได้“ก่อนจะถึงเวลาสำคัญ กระหม่อมเตี่ยซำฮวงขอเป็นตัวแทนมอบของขวัญเล็กน้อยแก่ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีเฒ่าส่งกล่องไม้ให้กงกงน้อย ของด้านในไม่ใช่ของมีค่าอะไร เป็นเพียงแค่ม้วนภาพวาดของพระสนมกุ้ยเฟย มีศักดิ์เป็นพระขนิษฐาองค์จักรพรรดิแคว้นเป่ย แต่งเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีเมื่อหลายสิบปี ท่านอ๋องตั้งใจใช้สื่อในเชิงข่มขู่จักรพรรดิซิงเสวียนจงทันทีที่ได้รับกล่องไม้องค์จักรพรรดิซิงเสวียนจงได้เปิดออกดูต่อหน้าธารกำนัล พระองค์ก็ถึงกับเบิกตากว้างหัวเราะอย่างชอบใจ
“ผู้ช่วยเหล่าเปียวสั่งกำชับทุกคนดีแล้วใช่ไหม” หลังจากที่แกล้งป่วยเพื่อถ่วงเวลา บัดนี้เตี่ยซำฮวงพร้อมแล้วที่จะดำเนินการต่อให้จบ ท่านอ๋องทรงเร่งให้เขาจัดการให้เรียบร้อย ก่อนที่ฝ่าบาทจะทรงฟื้นคืนสติ ไม่เช่นนั้นสิ่งที่ลงแรงมาทั้งหมดก็จะสูญเปล่า“เรียบร้อยขอรับ ยาถอนพิษอยู่ที่ข้าน้อย ใต้เท้าต้องรีบจัดการให้จบเรื่องภายในสี่ชั่วยามนะขอรับ ไม่เช่นนั้นข้าน้อยได้ตายจริง ๆ เป็นแน่” เหล่าเปียวไม่ลืมที่จะกำชับเจ้านาย หากว่าเกินสี่ชั่วยามไปแล้วแม้มียาถอนพิษก็ช่วยอะไรไม่ได้ เขาเองก็กลัวตายเช่นกัน“รู้แล้วน่า ถ้าเจ้าไม่รอดข้าก็ไม่รอดเหมือนกัน ”ระหว่างเดินทางไปยังอุทยานหลวงซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน เสนาบดีเตี่ยซำฮวงมีสีหน้าเคร่งเครียดไม่น้อย แม้ว่าจะวางแผนมาแล้วเป็นอย่างดีแต่อะไรก็ไม่แน่นอน ทุกอย่างล้วนเหนือความคาดหมายได้ทุกเมื่อท่ามกลางลานกว้างอุทยานหลวง ผู้คนกำลังหลั่งไหลกันเข้ามาไม่หยุด เหล่าเสนาอำมาตย์และผู้ที่เกี่ยวข้องต่างตั้งตารอช่วงเวลาสำคัญ ส่วนบนแท่นบัลลังก์ด้านบนสูงสุดคือที่ประทับขององค์จักรพรรดิ ลดหลั่นกันลงมาก็ที่นั่งสำหรับเชื้อพระวงศ์และบุคคลสำคัญ“ฝ่าบาทเสด็จ”เสียงก้องกังวานของกงกงน้อยดั