พอเข้ามาอยู่ในถ้ำ เยี่ยนอิงจึงได้ยินเสียงของนางที่เอ่ยพูดออกมา ยิ่งทำให้มั่นใจเพิ่มขึ้น ว่าอย่างไรก็ไม่ใช่ตัวนาง แล้วนางเข้ามาอยู่ในร่างของใคร แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน คำถามวิ่งพล่านภายในหัวไม่หยุด
นางนั่งกอดเข่าแน่นอยู่ในความมืด สายตาไม่อาจจะเห็นสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัวได้ ความกลัวเริ่มเข้ามาแทนที่ ชั่วระยะเวลาที่กำลังคิดว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับนางอยู่นั้น ภาพความทรงจำของผู้ใดก็ไม่รู้ไหลวนเข้าสู่หัวของนางราวกับน้ำป่าทะลักเข้ามา
ร่างเล็กทรุดลงไปนอนดิ้นอยู่ที่พื้นด้วยความเจ็บปวด มือทั้งสองข้างที่ปัดไปมา เพื่อหาที่ยึดเหนี่ยว ถูกหินงอกที่อยู่ตรงผนังถ้ำบาดจนเป็นแผลลึก เลือดไหลออกมาเป็นทางยาว แต่ทั้งหมด เยี่ยนอิงก็ยังไม่รู้สึกเจ็บเท่ากับหัวของนางที่ราวกับกำลังถูกแยกอยู่ในตอนนี้
นานเพียงใดไม่รู้ที่ภาพต่างๆ กว่าจะหยุดลง เยี่ยนอิงนางจึงได้รู้ว่า ร่างของเด็กสาวที่วิญญาณของนางเข้ามาสวมร่างแทนเจ้าของร่างเดิม มีชื่อเช่นเดียวกับนาง ทั้งยังเกิดในตระกูลฟู่ด้วยเช่นกัน
ฟู่เยี่ยนอิง เด็กสาววัยสิบห้าหนาว นางสูญเสียบิดามารดาไปเมื่อสามปีก่อน เหลือเพียงนางและน้องชายวัยสิบหนาวที่ต้องใช้ชีวิตกันเอง
หลังจากที่บิดามารดาเสียไปแล้ว ฟู่เยี่ยนอิงและ ฟู่ซานเซิน น้องชายของนาง ถูกท่านลุงใหญ่ พี่ชายของบิดารับไปเลี้ยง
แต่ความเป็นอยู่ของสองพี่น้องไม่ใคร่จะดีนัก ทั้งคู่เปรียบเสมือนทาสที่อยู่ในเรือนเสียมากกว่า คงมีเพียงแต่ท่านย่าของนางที่พอจะมีความเมตตาอยู่บ้าง
อาหารที่สองพี่น้องได้รับจากท่านลุงใหญ่และป้าสะใภ้ อย่าเรียกว่าอาหารเลย หากไม่เป็นน้ำข้าวที่มองแทบไม่เห็นเม็ดข้าว ก็เป็นเพียงหัวมันคนละหัว เช่นนี้เด็กทั้งสองจะไปอิ่มท้องได้อย่างไร ด้วยต้องทำงานหนักตลอดตั้งแต่ฟ้าเริ่มสว่าง
ท่านย่า ที่สงสารหลานทั้งสอง จึงได้แอบนำของกินมาแบ่งให้พวกเขาอยู่บ่อยครั้ง หากถูกป้าสะใภ้รู้เข้า ของกินเหล่านั้นนางก็จะยึดคืนกลับไป
แต่เมื่อสองเดือนก่อน เหมือนสวรรค์จะเริ่มสงสารสองพี่น้อง ลุงใหญ่ที่เสียพนันจนหมดตัว เป็นหนี้หอพนันอยู่อีกเกือบร้อยตำลึงเงิน กลับมาพร้อมคนของหอพนัน เพื่อจะขายเยี่ยนอิงไปเป็นนางคณิกา
พอเห็นใบหน้าของนางที่ละม้ายคล้ายผู้เป็นมารดา แม้ตัวจะผอมแห้งไปเสียหน่อย แต่หากนำกลับไปเลี้ยงดูเพียงไม่นาน คงจะเป็นตัวเรียกลูกค้าทำเงินได้อย่างดี
เยี่ยนอิงที่ถูกลากถูเพื่อไปขึ้นรถม้า ด้วยแรงที่มีอยู่นิด นางจะไปต้านแรงของบุรุษร่างใหญ่ได้อย่างไร
ฟู่ซานเซินที่ไม่อาจช่วยอะไรพี่สาวได้ เขาได้แต่ใช้เท้าเล็กๆ วิ่งไปที่เรือนของผู้นำหมู่บ้าน ขอร้องให้เขามาช่วยเยี่ยนอิงได้ทันเวลา
ท่านย่า ต่อให้รักบุตรชายคนโตมากเพียงใด ก็ยังมีความรู้ผิดชอบชั่วดี ที่ไม่ยอมให้ขายหลานสาวของตน นางจึงขอร้องให้ผู้นำหมู่บ้านทำเรื่องตัดขาดกับสองพี่น้อง ให้ไปใช้ชีวิตกันเองที่เรือนของบิดามารดาที่ทิ้งเอาไว้
“ย่าคงช่วยพวกเจ้าได้เพียงเท่านี้ อิงเออร์ เซินเออร์ จำไว้ ย่าเห็นพวกเจ้าอดตายยังดีเสียกว่าถูกขายออกไปที่หอโคมแดง”นางหูซื่อ มองหลานทั้งสองด้วยน้ำตาที่นองหน้า ก่อนจะเดินหนีกลับเข้าเรือนไป
ผู้นำหมู่บ้านทำเรื่องตัดขาดตามคำสั่งของผู้เป็นย่า สองพี่น้องจึงได้กลับมาใช้แซ่ฟู่ที่เป็นแซ่ของมารดา
บิดาของฟู่เยี่ยนอิง พบเจอมารดาระหว่างทางกลับจากเป็นผู้คุ้มกันสินค้า นางนอนสลบอยู่ที่ข้างทาง ด้วยความสงสารจึงได้พานางมารักษาตัว จึงได้รู้ว่าตัวนางไร้ความทรงจำเดิม
มีเพียงหยกขนาดเล็กเท่าหัวแม่มือที่ห้อยอยู่ที่คอ สลักตัวอักษรฟู่ม่าน จึงได้เรียกนางมาฟู่ม่านนับตั้งแต่นั้นมา แม้จะออกตามหาญาติพี่น้องของนางแล้ว แต่ก็ไม่ได้รับข่าวใดกลับมาเลย
อู๋หยวน จำต้องพาฟู่ม่านกลับมาที่หมู่บ้านกวนเฟิ้ง อยู่ที่เมืองเป่ยหนาน ทางตอนเหนือของแคว้น เรียกได้ว่าเป็นเมืองหน้าด่านของแคว้นต้าหลี่ ติดกับแคว้นต้าฉี
ในตอนแรกนางหงซื่อที่เป็นพี่สะใภ้ก็ไม่ยินยอมจะให้อู๋หยวนรับฟู่ม่านเป็นภรรยา ด้วยนางหาสตรีที่อยู่หมู่บ้านเดียวกับนางไว้ให้เขาแล้ว
ในเมื่ออู๋หยวนที่เป็นผู้หาเงินเข้าเรือนต้องการรับฟู่ม่านเข้าเรือน ทั้งมารดาของเขาก็มิได้ว่ากล่าวอันใด นางหงซื่อจำต้องยอมถอย หากนางยังดึงดัน อู๋หยวนก็จะเลิกส่งเงินกลับมาให้ที่เรือน ทั้งจะขอแยกบ้านอีกด้วย
เมื่อสามปีก่อน อู๋หยวนได้รับข่าวจากสหายเรื่องตระกูลฟู่ที่อยู่ในเมืองหลวง จึงคิดที่จะพาฟู่ม่านกลับไปตรวจสอบว่าใช่ตระกูลของนางหรือไม่ แต่ระหว่างทางพบโจรป่าเข้าเสียก่อน ต่อให้อู๋หยวนและสหายจะมีฝีมือในการต่อสู้ จำนวนคนที่น้อยกว่าสุดท้ายก็เอาชีวิตไปทิ้งไว้ทั้งหมด
ลุงใหญ่กับป้าสะใภ้โวยวายเสียจนชาวบ้านได้แต่ส่ายหัวอย่างเอือมระอา ด้วยหากไม่ขายฟู่ เยี่ยนอิงให้หอพนัน ตัวเขาจะนำเงินที่ไหนไปจ่ายคืน นางหูซื่อผู้เป็นมารดาจำต้องยอมให้บุตรชายแบ่งขายที่นาออกไป สองสามีภรรยาจึงได้ยอมปล่อย ฟู่เยี่ยนอิงและฟู่ซานเซินไปโดยง่าย
เพราะไม่มีสิ่งใดที่ติดตัวสองพี่น้องมาเลย นอกจากเสื้อผ้าชุดเก่าที่ดูราวกับเป็นผ้าเช็ดพื้น ชาวบ้านที่อู๋หยวนและฟู่ม่านเคยให้การช่วยเหลือ ต่างหยิบยื่นสิ่งของให้สองพี่น้องคนละเล็กน้อย
แม้ว่าบ้านที่บิดามารดาสร้างไว้จะมีขนาดไม่เล็กนัก แต่ข้าวของภายในล้วนแต่ถูกลุงใหญ่และป้าสะใภ้มาขนออกไปจนสิ้น ถึงอย่างนั้นทั้งสองคนก็ยังมีความสุขที่ได้หลุดออกจากขุมนรก สองพี่น้องต้องทนเป็นทาส ทำงานในเรือนทั้งหมด ทั้งยังต้องหาหญ้าเลี้ยงหมู ทำงานในสวนในไร่ เรียกได้ว่าทำงานตั้งแต่ลืมตาตื่นจนตาเกือบจะปิดเลยก็ว่าได้
นับจากนี้ต่อให้ไม่มีสิ่งใดกิน ฟู่เยี่ยนอิงก็จะดูแลน้องชายของนางให้ได้ สองพี่น้องใช้ชีวิตอยู่ในเรือนหลังเดิมของบิดามารดามาได้สองเดือนอย่างทุลักทุเล นอกจากขึ้นเขาเก็บผักป่า หัวมันมาประทังชีวิตแล้ว ฟู่เยี่ยนอิงยังออกไปรับงานในหมู่บ้านที่พอจะทำได้ เพื่อหาเงินมาซื้อข้าวสารหุงกิน
ชาวบ้านที่เห็นใจสองพี่น้อง ก็เรียกเข้ามาช่วยงาน หากไม่มีเงินก็มักจะให้เป็นข้าวสารหนึ่งกำมือ หรือไม่ก็ธัญพืชเล็กน้อย ให้พวกเขาไป
แต่ที่ฟู่เยี่ยนอิงต้องมานอนบาดเจ็บอยู่บนเขา ก็เพื่อขึ้นมาหาสมุนไพรไปขาย นางต้องการเงินพาน้องชายที่ล้มป่วยได้หลายวันแล้วเดินทางไปหาหมอในเมือง ด้วยหมอเท้าเปล่าไม่อาจจะรักษาโรคของซานเซินได้แล้ว
สุดท้ายฟู่เยี่ยนอิงก็มิอาจทำตามความตั้งใจไว้ได้ นางเสียชีวิตลงจากการตกเขา จนวิญญาณของเยี่ยนอิงที่อยู่อีกมิติหนึ่งเข้ามาแทนที่
เยี่ยนอิงชันตัวลุกขึ้นนั่ง นางจับไปที่อกข้างซ้ายของนาง ราวกับรับรู้ได้ว่าห้วงสุดท้ายของฟู่เยี่ยนอิงต้องการให้นางช่วยดูแลน้องชายที่เหลือเพียงหนึ่งเดียวของนางให้ได้
“ในเมื่อฉันมาอยู่ในร่างของเธอแล้ว น้องชายของเธอก็คือน้องชายของฉัน ฉันจะปกป้องเขาเอง”
“ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ” เสียงตอบรับที่แผ่วเบาลอยมาตามลม ทำให้เยี่ยนอิงที่กำลังจมอยู่ในความคิดของตนเองสะดุ้งขึ้นมาสุดตัว
“ไม่ ไม่ต้องโผล่ออกมา ฉันรับปากแล้ว” นางร้องห้ามออกไป ด้วยกลัววิญญาณของฟู่เยี่ยนอิงจะโผล่ออกมาให้นางได้เห็น
เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผล หยดลงบนพื้นภายในถ้ำ ทั่วทั้งถ้ำสว่างไสวราวกับตอนกลางวัน เยี่ยนอิงนางมองที่มือของนางที่ชุ่มไปด้วยเลือด ก่อนจะมองที่บาดแผลลึกอย่างตกใจ
ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่ นางหูซื่อก็เดินมาถึงเรือนตระกูลกวน ด้วยก่อนหน้านี้ปู่กวนให้หลานชายไปตามนางมาพบ"อิงเออร์ เซินเออร์” นางเห็นหลานทั้งสองนั่งอยู่ภายในห้องโถงตระกูลกวน ก็รีบเดินเข้ามาหาพร้อมทั้งสวมกอดทั้งสองด้วยความคิดถึง“ท่านย่า/ท่านย่า” เยี่ยนอิงเพิ่งจะสัมผัสได้ถึงความรักที่นางหูซื่อมีต่อเจ้าของร่างเดิมและน้องชายของนาง“พวกเจ้าได้กินอันใดหรือไม่ เหตุใดถึงได้ผอมเช่นนี้” นางมองหลานทั้งสองอย่างปวดใจหากผู้เป็นสามียังมีชีวิตอยู่ บุตรชายคนโตคงไม่กล้ารังแกหลานทั้งสอง เป็นเพราะนางอ่อนแอเกินไป จึงไม่อาจช่วยเหลือสิ่งใดพวกเขาได้“ท่านย่า ท่านไม่ต้องห่วงข้ากับเซินเออร์เจ้าค่ะ เมื่อสองวันก่อนข้าขึ้นเขาไปกับป้าตู้แล้วพบของดีเข้า ได้เงินมาไม่น้อย จึงคิดจะนำเงินมาตอบแทนท่านเจ้าค่ะ”“ตอบแทนอันใดกัน ข้าไม่เคยช่วยเหลือพวกเจ้าได้เลย” พอนึกถึงเรื่องในหนเก่า นางหูซื่อก็ร้องออกมาอย่างปวดใจ บุตรชายคนรองของนางและลูกสะใภ้ ต่างตกตายกันไปสิ้น เหลือเพียงหลานทั้งสองให้ดูต่างหน้า แต่นางก็ไม่อาจดูแลพวกเขาได้คนที่อยู่ในห้องโถง ต่างมองย่าหลานพูดคุยกันด้วยความรู้สึกหดหู่ใจ“เอาเถิด ที่เรียกเจ้ามาก็ด้วยเรื่องนี
เยี่ยนอิงที่ยังไม่เคยเดินลมปราณสักครั้ง นางต้องปรับพลังชี่ให้ไหลเวียนได้คล่องเสียก่อน ถึงจะทะลวงเส้นลมปราณ“แล้วต้องนั่งที่ใด” นางมองหาที่นั่งภายในห้องตำราก็เห็นว่าไม่มีมุมใดที่นางจะนั่งเดินลมปราณได้“ด้านนอกขอรับ ท่านตามข้ามา” เสี่ยวไป๋เดินนำหน้าเยี่ยนอิงออกไปด้านนอกด้านหลังเรือนพักมีต้นไม้ใหญ่ ตรงโค่นต้นมีแท่นหินเกลี้ยงเกลากว้างขนาดเท่าเตียงนอนอยู่ด้วย“ท่านขึ้นไปนั่งเดินลมปราณบนแท่นหินได้เลยขอรับ”เยี่ยนอิงพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะเดินขึ้นไปนั่ง“อืม...เย็นสบายนัก” แท่นหินที่นางนั่งอยู่ไม่ได้เย็นจนไม่อาจจะทนนั่งได้ มันเป็นความเย็นที่นางรู้สึกว่าสบาย หากเป็นเช่นนี้นางคิดว่านางคงนั่งได้นาน“หินที่ท่านนั่งอยู่มิใช่หินธรรมดา เป็นหินที่ดูดซับพลังฟ้าดินมานับหมื่นปี นายแห่งมิติคนเก่านำมาจากสวรรค์...” มันเกือบจะหลุดพูดถึงแหล่งที่มาต่อ แต่ก็เงียบปากลง เมื่อนึกถึงคำสั่งที่ถูกห้ามพูดไว้เยี่ยนอิงนางก็ดูเหมือนไม่ได้สนใจ ในสิ่งที่เสี่ยวไป๋พูด นางสนใจไอเย็นที่แผ่ออกมาจากแท่นหิน พามือของนางไปสัมผัสเข้า ก็ราวกับว่าไอเย็นที่เห็นกำลังไหลเข้าสู่ร่างกายของนางอย่างช้าๆ“ท่านหลับตาเข้าสมาธิได้เลยขอรับ
ไม่รู้ว่าเมื่อก่อน ซานเซินจะเคยได้ลิ้มลองเนื้อบ้างหรือไม่ รูปร่างของซานเซินมีเพียงเยี่ยนอิงและเสี่ยวไป๋เท่านั้นที่จะมองออกนางจึงได้รู้ว่า น้องชายของนางยามนี้ ความสูงของเขาเพิ่มจากเดิมไม่น้อยแล้ว ไหนจะแก้มที่แดงระเรื่อเช่นคนสุขภาพดี ต่อจากนี้เพียงขุนเขาให้มีเนื้อเพิ่มขึ้นก็ไม่รู้จะน่าเอ็นดูเพียงใดเยี่ยนอิงและซานเซินกำลังกินอาหารเย็น เรือนตระกูลตู้ก็กินเช่นกัน เมื่อพวกเขาได้ลองชิมอาหารฝีมือของเยี่ยนอิง อาหารที่ป้าตู้และลูกสะใภ้นางทำไว้ก็แทบจะไม่พร่องลงเลย“ข้าเพิ่งรู้ว่าอิงเออร์นางมีฝีมือมากเพียงนี้” ลุงตู้เลียริมฝีปาก เขาอยากจะกินอาหารของเยี่ยนอิงอีก“จริงขอรับท่านพ่อ เช่นนี้อิงเออร์ นางเปิดเหลาอาหารได้เลย” บุตรชายของลุงตู้เอ่ยออกมาอีกคน“พวกท่านแย่งข้ากินหมดเลย ข้าอุตส่าห์หน้าหนาไปขอพี่อิงมา” อาเหมยนั่งหน้าบูดเมื่อนางคีบอาหารไม่ทันคนอื่น“หากเจ้าชอบฝีมือของพี่อิงของเจ้า อาเหมยเจ้าไปขอให้นางมาเป็นพี่สะใภ้ของเจ้าดีหรือไม่” กวนซื่อ ลูกสะใภ้ของป้าตู้เอ่ยบอกบุตรสาว“จริงด้วย พี่เฉียว ท่านไปสู่ขอนางมาเป็นภรรยาเลยเจ้าค่ะ” อาเหมยหันไปหาพี่ชายของนาง“เจ้าพูดอันใดของเจ้า อย่าได้พูดเช่นนี้ให้ผ
เยี่ยนอิงยืนมองทั้งคู่เข้าไปในป่าเรียบร้อยแล้ว นางจึงได้ออกไปด้านนอกมิติ เพื่อเตรียมอาหารไว้ให้พวกเขา“อิงเออร์ เจ้ายังมิได้ทำอาหารใช้หรือไม่ เช่นนั้นไปกินที่บ้านป้าเถิด” ป้าตู้ที่เพิ่งจะไล่ชาวบ้านไปได้แล้ว อีกทั้งนางเพิ่งจะนำของที่ซื้อมาไปเก็บที่เรือน ก็เดินมาหาเยี่ยนอิงที่เรือนของนาง“ท่านป้า วันนี้ข้ารบกวนท่านมาตลอดทั้งวันแล้ว อีกอย่างเซินเออร์ยังมิหายดี ข้าไม่อยากทิ้งเขาไว้ที่เรือนเพียงลำพังเจ้าค่ะ”“จริงด้วย ข้าก็ลืมไปว่าเจ้าต้องดูแลเซินเออร์ ประเดี๋ยวข้าจะให้เหมยเออร์ นำอาหารมาให้เจ้าก็แล้วกัน” อาเหมยเป็นหลานสาวของป้าตู้ อายุรุ่นเดียวกับซานเซิน“ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ” เยี่ยนอิงเดินไปส่งป้าตู้ที่หน้าเรือน ก่อนนางจะกลับมาเตรียมข้างของเพื่อทำอาหารแต่ว่า...นางจุดไฟไม่เป็น เยี่ยนอิงมองเตาไฟที่ต้องใช้ฟืนอย่างครุ่นคิด ผัก เนื้อสัตว์นางล้วนแต่หั่นเตรียมไว้หมดแล้ว ซานเซินก็ไม่อยู่ในเรือนด้วย นางหมดหนทางที่จะหาวิธีจุดไฟแล้ว“จะทำเช่นใด” นางเกาหัวอย่างมึนงง ก่อนจะหยิบตะบันไฟขึ้นมามองหาวิธีใช้ด้ามไม้ไผ่ขนาดสามชุ่น (1ชุ่น=1นิ้ว) ในมือถูกเปิดขึ้นเพื่อสำรวจดูสิ่งที่อยู่ด้านใน เยี่ยนอิงมองอย่า
ตลอดทางที่เดินทางกลับหมู่บ้าน ป้าตู้พูดคุยเรื่องซื้อที่ดินเพิ่มกับเยี่ยนอิง ทั้งถามว่านางจะซ่อมแซมบ้านหรือไม่“อิงเออร์ เจ้าคิดจะทำหรือไม่ หากเจ้าต้องการซื้อที่ดินหรือซ่อมแซมเรือน ข้าจะให้ลุงตู้ของเจ้าออกหน้าให้”“ไม่เจ้าค่ะ ข้าคิดจะพาเซินเออร์ย้ายมาอยู่ในเมือง ต่อไปข้าจะให้เขาเข้าสำนักศึกษา หากยังอยู่ในหมู่บ้านคงเดินทางไปกลับไม่สะดวกนัก” นางสอบถามคนในเมืองแล้ว หากต้องการซื้อเรือนต้องไปติดต่อที่ใด“สวรรค์ เจ้าออกไปอยู่สองคนกับน้องชายของเจ้าเช่นนั้นรึ” ป้าตู้ร้องออกมาด้วยความตกใจทั้งสองที่เป็นเพียงเด็กน้อย จะออกมาอยู่ด้วยกันตามลำพังได้อย่างไร หากรั้งอยู่ภายในหมู่บ้านก็ยังมีนางและสามีคอยเป็นหูเป็นตาให้อยู่“เจ้าค่ะ ข้าคิดจะทำการค้าด้วย เมื่อก่อนท่านพ่อสอนข้าเอาไว้ไม่น้อย ในเมื่อมีเงินแล้วก็อยากจะหาทางเพิ่มให้มีมากขึ้น มิใช่อยู่ใช้เงินที่ได้มาจนหมด ต่อไปไม่รู้ว่าจะยังโชคดีเช่นนี้อีกหรือไม่”“เงินตั้งเยอะเพียงนั้น เจ้าใช้จนตายก็ยังไม่หมด” ป้าตู้ถลึงตามองเยี่ยนอิง เมื่อนางพูดว่าสักวันเงินที่มีอยู่จะหมดไป“...” เยี่ยนอิงมิได้พูดสิ่งใด นางเพียงอมยิ้มมองป้าตู้หากป้าตู้ได้รู้ว่าวันนี้เยี่ยนอ
“แล้วเจ้าอยากรู้เรื่องตระกูลฟู่ในเมืองหลวงหรือไม่”“ไม่เจ้าค่ะ แคว้นต้าหลี่กว้างใหญ่นัก ตระกูลฟู่ก็คงไม่ได้มีเพียงแค่ในเมืองหลวง หากญาติของท่านแม่ข้า อยากจะออกตามหานางจริง คงไม่ปล่อยให้เวลาล่วงมานานนับสิบกว่าปี”ด้วยไม่รู้ว่าเหตุใดมารดาของเจ้าของร่างเดิมถึงได้หมดสติอยู่ที่ข้างทาง ทั้งยังไร้ซึ่งความทรงจำ หากนางถูกขับออกจากตระกูลหรือถูกตามสังหาร ถ้าเยี่ยนอิงยังอยากจะรู้เรื่องของตระกูลฟู่ จะไม่มีจุดจบเช่นบิดามารดารึ“เช่นนั้นรึ” เขาเห็นสายตาที่เด็ดเดี่ยวของนาง ก็อดที่จะชื่นชมในความเข้มแข็งไม่ได้ทั้งสองต่างมองพิจารณากันโดยไม่มีสิ่งใดเอ่ยออกมา เยี่ยนอิงที่กลัวจะหาซื้อของได้ไม่ครบก่อนที่ซานเซินจะตื่น นางจึงขอตัวเพื่อออกไปด้านนอก“หากท่านมีเรื่องจะพูดกับข้าเพียงเท่านี้ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนเจ้าค่ะ” เยี่ยนอิงลุกขึ้น เพื่อจะออกไปซื้อของก่อนที่น้องชายจะตื่น แต่ก็ถูกหมอหลิวเอ่ยรั้งไว้อีกครั้ง“หากเจ้ามีเรื่องให้ข้าช่วยเหลือ มาพบข้าได้ที่โรงหมอ หรือจะไปที่จวนของข้าอยู่ที่ทิศตะวันออกของเมือง หน้าจวนมีป้ายตระกูลหลิว เจ้าหาได้ไม่ยาก”“หึหึ ขอบคุณเจ้าค่ะ แต่หากจะรบกวนท่านก็คงเป็นเรื่องนำสมุนไพรมาขาย”