แต่สติของนางทั้งหมดยามนี้ไม่ได้อยู่ที่บาดแผลแล้ว เมื่ออยู่ ๆ ภายในถ้ำสว่างขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด นางมองไปรอบๆ อย่างไม่เข้าใจ ก่อนที่สายตาจะไปหยุดอยู่ที่แท่นหินใหญ่ ด้านในสุดของถ้ำ ที่อยู่ห่างจากนางเพียงสองจั้ง (1จั้ง = 3.33เมตร) เห็นจะได้
“กะ กรี๊ด อุ๊บ” เยี่ยนอิงตกใจจนเกือบจะกรีดร้องออกมา แต่ดีที่นางหลุดเสียงร้องออกมาเพียงเล็กน้อย ก่อนที่มือของนางจะตะครุบปิดปากเอาไว้ได้ทัน
บทแท่นหินมีร่างของพยัคฆ์สีขาว นอนหลับนิ่งอยู่ นางได้แต่มองจ้องอยู่นาน มันไม่ได้ขยับตัว ทั้งยังเหมือนไม่ได้สนใจการมีอยู่ของเยี่ยนอิงอีกด้วย
นางเห็นบ่อน้ำที่อยู่ใกล้กับที่พยัคฆ์ขาวนอนอยู่ พอเห็นว่ามันไม่ขยับตัวเยี่ยนอิงคิดว่ามันตายแล้ว นางจึงเดินเข้าไปอย่างใจกล้าด้วยกระหายอยากจะดื่มน้ำที่อยู่ในบ่อ และคิดจะล้างบาดแผลของนาง
“ตายแล้วเหรอ” นางมองร่างของมันอย่างสนใจ
ทั้งยังไม่อาจหาเหตุผลมาหักล้างได้ว่า เหตุใดแสงสว่างภายในถ้ำยังมิดับลง เยี่ยนอิงเดินเข้าไปสำรวจร่างของพยัคฆ์ขาวอย่างใจกล้า พอมองใกล้ๆ นางจึงได้ถอนหายใจออกมา
“โถ่ เพียงก้อนหินเหรอเนี่ย ทำไมถึงได้เหมือนของจริงเลย” นางใช้มือตบลงไปที่หินเบาๆ ราวกับลงโทษที่มันทำให้นางตกใจก่อนหน้านี้
แต่แล้วสิ่งประหลาดก็เกิดขึ้นกับเยี่ยนอิงอีกครั้ง เมื่อก้อนหินที่นางใช้มือข้างที่เปื้อนเลือดตีลงไป มันสั่นสะท้านจนปริแตกออก ทั่วทั้งถ้ำสั่นสะเทือนราวกับจะพังทลายลงมา
“นายหญิง ท่านปลดปล่อยข้าน้อยรึ” ร่างพยัคฆ์ที่เมื่อครู่ยังเป็นเพียงก้อนหิน ตอนนี้กลายเป็นพยัคฆ์ขาว จ้องมองมาทางนางอยู่ ทั้งมันยังพูดสื่อสารกับนางได้ด้วย
“หะ เฮ้ยยยยย” เยี่ยนอิงตกใจจนก้าวถอยหลัง เท้าของนางเหยียบพลาดจนล้มลงไปอยู่ภายในบ่อน้ำ
พยัคฆ์ขาวที่เห็นเช่นนั้น มันกระโจนเพียงครั้งเดียวก็ถึงตัวนาง ทั้งยังคาบคอเสื้อของเยี่ยนอิงไว้พาขึ้นมาวางไว้บนแท่น
“แค่ก แค่ก” นางไอสำลักน้ำออกมาจนใบหน้าแดงก่ำ พยัคฆ์ขาวที่เห็นว่าดุร้ายมันกำลังตบลงที่หลังของนางเบาๆ
จะบอกว่าเบาแล้ว แต่น้ำหนักมือของมัน ความใหญ่โตเมื่อเทียบกับเยี่ยนอิงที่อยู่ในร่างของสตรีวัยสิบห้าหนาว ที่เหมือนเด็กเพียงสิบสองหนาวก็เจ็บจนจุกไปเลย
“พะ พอแล้ว” นางยกมือขึ้นห้าม หากมันยังช่วยตบหลังให้นางอยู่ นางคงได้ตายอีกครั้งด้วยมือของมันเป็นแน่
“ดีขึ้นแล้วรึขอรับ” มันชะโงกหน้าเข้ามาหาเยี่ยนอิงใกล้ๆ แต่เห็นใบหน้าของนางยังแดงอยู่จึงได้เอ่ยถามออกมาด้วยความเป็นห่วง
“ดะ ดีแล้ว” นางถอยห่างด้วยความหวาดกลัว
“นายหญิง ท่านเป็นผู้ปลดปล่อยข้า ท่านไม่ต้องกลัวข้าขอรับ ข้าจะเป็นสัตว์เทพในปกครองของท่าน คอยดูแลท่านขอรับ” มันก้มหัวลงอย่างนอบน้อม
“หะ ห๊ะ!!! สัตว์เทพ สัตว์อะไร แล้วฉันไปปลดปล่อยตอนไหน” เยี่ยนอิงร้องเสียงหลงออกมา
“อะแฮ่ม ข้าน้อยลืมแนะนำตัว ข้าน้อยมีนามว่า เสี่ยวไป๋ เป็นสัตว์เทพที่ดูแลพื้นที่ทางตอนเหนือของแคว้นต้าหลี่ทั้งหมด” เสี่ยวไป๋ก้มหน้าลงเล็กน้อยอย่างเขินอาย ก่อนจะเล่าเรื่องที่มันทำผิดไว้จนต้องถูกกักขังอยู่บนแท่นหิน จนกว่าจะพบผู้เป็นนายมาปลดปล่อยมันให้กลับมาใช้ชีวิตเช่นเดิมอีกครั้ง
“ข้าน้อยแอบไปกินผลท้อสวรรค์ เมื่อครั้งที่เดินทางไปร่วมส่งเทพสงครามลงมาเวียนว่ายที่โลกมนุษย์ขอรับ” เสี่ยวไป๋เผลอเลียริมฝีปากของมัน เมื่อนึกถึงรสชาติที่หอมหวานของผลท้อ ที่นับพันปีถึงจะสุกได้สักผล
“อร่อยมากเลยเหรอ” เยี่ยนอิงเห็นสีหน้าที่เคลิบเคลิ้มของมันเลยยื่นหน้าเข้าไปถาม
“ดียิ่งขอรับ นายหญิงท่านควรจะพูดให้เหมือนคนยุคโบราณเสียหน่อย หากท่านกลับเข้าไปในหมู่บ้านน้องชายท่านได้สงสัยแน่ ว่าท่านมิใช่พี่สาวของตน”
“รู้เหรอว่าฉันไม่ใช่ฟู่เยี่ยนอิง”
“เหอะ ข้าเป็นสัตว์เทพขอรับ ตัวท่านมาจากที่ใด ทำสิ่งใดมาก่อน สัตว์เทพเช่นข้าน้อยที่ผูกพันธะกับท่านแล้ว ย่อมรับรู้และเห็นได้เช่นกัน” มันเชิดหน้าขึ้นอย่างโอ้อวด
“ว้าววว สุดยอด” เยี่ยนอิงยกนิ้วหัวแม่มือชื่นชมเสี่ยวไป๋
แม้มันไม่รู้ว่าสิ่งที่เยี่ยนอิงทำหมายความเช่นไร แต่มันก็ยิ้มกว้างออกมาอย่างภูมิใจที่ได้รับคำชื่นชม
“นายหญิง ท่านลงไปแช่ตัวในบ่อก่อนขอรับ พันธสัญญาระหว่างท่านและข้าจะได้สมบูรณ์”
“บ่อนั้นรึ” เยี่ยนอิงใช้ความทรงจำของฟู่เยี่ยนอิง ในเรื่องภาษาพูดให้เข้ากับยุคของโบราณตามคำเตือนของเสี่ยวไป๋
“ใช่ขอรับ หะ หากว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ท่านห้ามขึ้นมาจากน้ำก่อนเด็ดขาด” มันหลบสายตาที่จ้องมองมาของเยี่ยนอิง
“เพราะอันใด”
“ประเดี๋ยวท่านก็จะรู้ขอรับ รีบลงไปเร็วเข้า ข้ายังต้องช่วยท่านอีกหลายสิ่ง” มันใช้อุ้งเท้าดันตัวของเยี่ยนอิงให้เคลื่อนไหวตัวเสียที
นางจำต้องลงมาจากแท่นหิน แล้วมาหยุดที่หน้าบ่อน้ำ เมื่อครู่ก็เหมือนว่านางได้ลงมาแล้ว ไม่เห็นจะรู้สึกอะไรสักอย่าง เยี่ยนอิงจึงเริ่มที่จะถอดเสื้อผ้าออกจากร่างช้าๆ
“มะ ไม่ต้องถอด ท่านลงไปเลย ประเดี๋ยวขึ้นมา ข้าจะใช้พลังปราณทำให้ชุดของท่านแห้งเองขอรับ” เสี่ยวไป๋ยกอุ้งเท้าขึ้นปิดตา เมื่อเห็นว่าเยี่ยนอิงนางเริ่มจะเปลื้องผ้าออก
“แล้วไม่บอกตั้งแต่แรกเล่า” เยี่ยนอิงหันไปมองค้อนเสี่ยวไป๋ มือของนางก็ผูกเชือกรัดเอวไปด้วย
เท้าน้อยๆ ที่เปื้อนดินโคลน ทั้งยังมีรอยแผลเก่าใหม่ปรากฏออกมาให้ได้เห็น เดินลงไปในบ่อน้ำโดยไม่ลังเล ก่อนจะนั่งแช่ตามคำแนะนำของเสี่ยวไป๋
“ฮึก...” เยี่ยนอิงเบิกตากว้างขึ้นด้วยความตื่นตระหนก
เมื่อความเจ็บปวดวิ่งตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมาเรื่อย ๆ จากที่เจ็บทนได้ ก็แปรเปลี่ยนมาเป็นเจ็บร้าว ราวกับว่าหากแช่ต่ออีกเพียงแค่อึดใจเดียวนางคงได้ขาดใจเป็นแน่
“อย่า!!! ขึ้นมานะขอรับ อดทนอีกเพียงครู่เดียวเท่านั้น” เสี่ยวไป๋กระโจนพรวดเดียวมาอยู่ด้านหลังของเยี่ยนอิง
มันใช้อุ้งเท้าสองข้างกดบ่าเล็กของนางไว้ให้นั่งลงกลับไปเช่นเดิม ก่อนจะเอ่ยพูดให้กำลังใจนางไม่ขาดปาก
“กรี๊ดดดดด” เยี่ยนอิงเชิดหน้าขึ้นกรีดร้องออกมาเสียงดัง
นางเจ็บเหมือนว่าร่างกายตอนนี้ได้ถูกแยกชิ้นส่วนออกจากกันแล้ว สติที่เริ่มจะพร่ามัว ก็ถูกเสี่ยวไป๋ใช้อุ้งเท้าตบลงมาเพื่อเรียกให้นางรู้สึกตัวอยู่ตลอด
เพียงครู่เดียวที่เสี่ยวไป๋บอก เห็นจะไม่มีจริง เมื่อเยี่ยนอิงนางต้องแช่ตัวนานนับกว่าชั่วยาม (1ชั่วยาม=2ชั่วโมง) ดวงตาของเยี่ยนอิงปิดสนิท มีเพียงสติที่ยังรับรู้ได้ว่า ความเจ็บปวดก่อนหน้านี้ได้ทุเลาลงไปมากแล้ว
ดวงตาของเยี่ยนอิงค่อยๆ หรี่ขึ้น เมื่อเสี่ยวไป๋ใช้อุ้งเท้าของมันสะกิดเรียกนาง
“อืม...” ตอนนี้ภายในถ้ำมิได้สว่างเช่นก่อนหน้าที่นางจะลงมาแช่น้ำ แต่สายตาของเยี่ยนอิงก็ยังมองเห็นทุกอย่างได้แจ่มชัดเช่นในตอนฟ้าสว่าง
“ร้ายกาจ” นางร้องออกมาเบาๆ อย่างชอบใจ
“นายหญิงท่านขึ้นมาได้แล้วขอรับ ยังมิเรียบร้อยดี” เสี่ยวไป๋เอ่ยเร่งให้เยี่ยนอิงขึ้นมาจากน้ำ
พอนางขึ้นมาอยู่ริมบ่อน้ำ เสี่ยวไป๋ใช้อุ้งเท้าหน้าของมันโบกพัดเบาๆ ชุดที่เยี่ยนอิงสวมใส่อยู่ก็แห้งอย่างรวดเร็ว
“อ๊า...” นางร้องออกมาอย่างตื่นตะลึง
“ท่านอย่าได้ไปร้องเช่นนี้ที่อื่นเล่า” เสี่ยวไป๋ถลึงตามองนายหญิงของมัน
ยังดีที่ตัวมันเป็นสัตว์เทพ หากบุรุษใดได้มาฟังเสียงร้องของเยี่ยนอิงยามนี้ คงได้สติไม่อยู่กับตัวเป็นแน่
“แล้วต้องทำสิ่งใดต่อ” นางเกาหัวอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็เปลี่ยนมาเป็นเรื่องอื่นแทน
“ยื่นมือมาขอรับ” นางยื่นมือไปตรงหน้าของเสี่ยวไป๋อย่างว่าง่าย
ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่ นางหูซื่อก็เดินมาถึงเรือนตระกูลกวน ด้วยก่อนหน้านี้ปู่กวนให้หลานชายไปตามนางมาพบ"อิงเออร์ เซินเออร์” นางเห็นหลานทั้งสองนั่งอยู่ภายในห้องโถงตระกูลกวน ก็รีบเดินเข้ามาหาพร้อมทั้งสวมกอดทั้งสองด้วยความคิดถึง“ท่านย่า/ท่านย่า” เยี่ยนอิงเพิ่งจะสัมผัสได้ถึงความรักที่นางหูซื่อมีต่อเจ้าของร่างเดิมและน้องชายของนาง“พวกเจ้าได้กินอันใดหรือไม่ เหตุใดถึงได้ผอมเช่นนี้” นางมองหลานทั้งสองอย่างปวดใจหากผู้เป็นสามียังมีชีวิตอยู่ บุตรชายคนโตคงไม่กล้ารังแกหลานทั้งสอง เป็นเพราะนางอ่อนแอเกินไป จึงไม่อาจช่วยเหลือสิ่งใดพวกเขาได้“ท่านย่า ท่านไม่ต้องห่วงข้ากับเซินเออร์เจ้าค่ะ เมื่อสองวันก่อนข้าขึ้นเขาไปกับป้าตู้แล้วพบของดีเข้า ได้เงินมาไม่น้อย จึงคิดจะนำเงินมาตอบแทนท่านเจ้าค่ะ”“ตอบแทนอันใดกัน ข้าไม่เคยช่วยเหลือพวกเจ้าได้เลย” พอนึกถึงเรื่องในหนเก่า นางหูซื่อก็ร้องออกมาอย่างปวดใจ บุตรชายคนรองของนางและลูกสะใภ้ ต่างตกตายกันไปสิ้น เหลือเพียงหลานทั้งสองให้ดูต่างหน้า แต่นางก็ไม่อาจดูแลพวกเขาได้คนที่อยู่ในห้องโถง ต่างมองย่าหลานพูดคุยกันด้วยความรู้สึกหดหู่ใจ“เอาเถิด ที่เรียกเจ้ามาก็ด้วยเรื่องนี
เยี่ยนอิงที่ยังไม่เคยเดินลมปราณสักครั้ง นางต้องปรับพลังชี่ให้ไหลเวียนได้คล่องเสียก่อน ถึงจะทะลวงเส้นลมปราณ“แล้วต้องนั่งที่ใด” นางมองหาที่นั่งภายในห้องตำราก็เห็นว่าไม่มีมุมใดที่นางจะนั่งเดินลมปราณได้“ด้านนอกขอรับ ท่านตามข้ามา” เสี่ยวไป๋เดินนำหน้าเยี่ยนอิงออกไปด้านนอกด้านหลังเรือนพักมีต้นไม้ใหญ่ ตรงโค่นต้นมีแท่นหินเกลี้ยงเกลากว้างขนาดเท่าเตียงนอนอยู่ด้วย“ท่านขึ้นไปนั่งเดินลมปราณบนแท่นหินได้เลยขอรับ”เยี่ยนอิงพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะเดินขึ้นไปนั่ง“อืม...เย็นสบายนัก” แท่นหินที่นางนั่งอยู่ไม่ได้เย็นจนไม่อาจจะทนนั่งได้ มันเป็นความเย็นที่นางรู้สึกว่าสบาย หากเป็นเช่นนี้นางคิดว่านางคงนั่งได้นาน“หินที่ท่านนั่งอยู่มิใช่หินธรรมดา เป็นหินที่ดูดซับพลังฟ้าดินมานับหมื่นปี นายแห่งมิติคนเก่านำมาจากสวรรค์...” มันเกือบจะหลุดพูดถึงแหล่งที่มาต่อ แต่ก็เงียบปากลง เมื่อนึกถึงคำสั่งที่ถูกห้ามพูดไว้เยี่ยนอิงนางก็ดูเหมือนไม่ได้สนใจ ในสิ่งที่เสี่ยวไป๋พูด นางสนใจไอเย็นที่แผ่ออกมาจากแท่นหิน พามือของนางไปสัมผัสเข้า ก็ราวกับว่าไอเย็นที่เห็นกำลังไหลเข้าสู่ร่างกายของนางอย่างช้าๆ“ท่านหลับตาเข้าสมาธิได้เลยขอรับ
ไม่รู้ว่าเมื่อก่อน ซานเซินจะเคยได้ลิ้มลองเนื้อบ้างหรือไม่ รูปร่างของซานเซินมีเพียงเยี่ยนอิงและเสี่ยวไป๋เท่านั้นที่จะมองออกนางจึงได้รู้ว่า น้องชายของนางยามนี้ ความสูงของเขาเพิ่มจากเดิมไม่น้อยแล้ว ไหนจะแก้มที่แดงระเรื่อเช่นคนสุขภาพดี ต่อจากนี้เพียงขุนเขาให้มีเนื้อเพิ่มขึ้นก็ไม่รู้จะน่าเอ็นดูเพียงใดเยี่ยนอิงและซานเซินกำลังกินอาหารเย็น เรือนตระกูลตู้ก็กินเช่นกัน เมื่อพวกเขาได้ลองชิมอาหารฝีมือของเยี่ยนอิง อาหารที่ป้าตู้และลูกสะใภ้นางทำไว้ก็แทบจะไม่พร่องลงเลย“ข้าเพิ่งรู้ว่าอิงเออร์นางมีฝีมือมากเพียงนี้” ลุงตู้เลียริมฝีปาก เขาอยากจะกินอาหารของเยี่ยนอิงอีก“จริงขอรับท่านพ่อ เช่นนี้อิงเออร์ นางเปิดเหลาอาหารได้เลย” บุตรชายของลุงตู้เอ่ยออกมาอีกคน“พวกท่านแย่งข้ากินหมดเลย ข้าอุตส่าห์หน้าหนาไปขอพี่อิงมา” อาเหมยนั่งหน้าบูดเมื่อนางคีบอาหารไม่ทันคนอื่น“หากเจ้าชอบฝีมือของพี่อิงของเจ้า อาเหมยเจ้าไปขอให้นางมาเป็นพี่สะใภ้ของเจ้าดีหรือไม่” กวนซื่อ ลูกสะใภ้ของป้าตู้เอ่ยบอกบุตรสาว“จริงด้วย พี่เฉียว ท่านไปสู่ขอนางมาเป็นภรรยาเลยเจ้าค่ะ” อาเหมยหันไปหาพี่ชายของนาง“เจ้าพูดอันใดของเจ้า อย่าได้พูดเช่นนี้ให้ผ
เยี่ยนอิงยืนมองทั้งคู่เข้าไปในป่าเรียบร้อยแล้ว นางจึงได้ออกไปด้านนอกมิติ เพื่อเตรียมอาหารไว้ให้พวกเขา“อิงเออร์ เจ้ายังมิได้ทำอาหารใช้หรือไม่ เช่นนั้นไปกินที่บ้านป้าเถิด” ป้าตู้ที่เพิ่งจะไล่ชาวบ้านไปได้แล้ว อีกทั้งนางเพิ่งจะนำของที่ซื้อมาไปเก็บที่เรือน ก็เดินมาหาเยี่ยนอิงที่เรือนของนาง“ท่านป้า วันนี้ข้ารบกวนท่านมาตลอดทั้งวันแล้ว อีกอย่างเซินเออร์ยังมิหายดี ข้าไม่อยากทิ้งเขาไว้ที่เรือนเพียงลำพังเจ้าค่ะ”“จริงด้วย ข้าก็ลืมไปว่าเจ้าต้องดูแลเซินเออร์ ประเดี๋ยวข้าจะให้เหมยเออร์ นำอาหารมาให้เจ้าก็แล้วกัน” อาเหมยเป็นหลานสาวของป้าตู้ อายุรุ่นเดียวกับซานเซิน“ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ” เยี่ยนอิงเดินไปส่งป้าตู้ที่หน้าเรือน ก่อนนางจะกลับมาเตรียมข้างของเพื่อทำอาหารแต่ว่า...นางจุดไฟไม่เป็น เยี่ยนอิงมองเตาไฟที่ต้องใช้ฟืนอย่างครุ่นคิด ผัก เนื้อสัตว์นางล้วนแต่หั่นเตรียมไว้หมดแล้ว ซานเซินก็ไม่อยู่ในเรือนด้วย นางหมดหนทางที่จะหาวิธีจุดไฟแล้ว“จะทำเช่นใด” นางเกาหัวอย่างมึนงง ก่อนจะหยิบตะบันไฟขึ้นมามองหาวิธีใช้ด้ามไม้ไผ่ขนาดสามชุ่น (1ชุ่น=1นิ้ว) ในมือถูกเปิดขึ้นเพื่อสำรวจดูสิ่งที่อยู่ด้านใน เยี่ยนอิงมองอย่า
ตลอดทางที่เดินทางกลับหมู่บ้าน ป้าตู้พูดคุยเรื่องซื้อที่ดินเพิ่มกับเยี่ยนอิง ทั้งถามว่านางจะซ่อมแซมบ้านหรือไม่“อิงเออร์ เจ้าคิดจะทำหรือไม่ หากเจ้าต้องการซื้อที่ดินหรือซ่อมแซมเรือน ข้าจะให้ลุงตู้ของเจ้าออกหน้าให้”“ไม่เจ้าค่ะ ข้าคิดจะพาเซินเออร์ย้ายมาอยู่ในเมือง ต่อไปข้าจะให้เขาเข้าสำนักศึกษา หากยังอยู่ในหมู่บ้านคงเดินทางไปกลับไม่สะดวกนัก” นางสอบถามคนในเมืองแล้ว หากต้องการซื้อเรือนต้องไปติดต่อที่ใด“สวรรค์ เจ้าออกไปอยู่สองคนกับน้องชายของเจ้าเช่นนั้นรึ” ป้าตู้ร้องออกมาด้วยความตกใจทั้งสองที่เป็นเพียงเด็กน้อย จะออกมาอยู่ด้วยกันตามลำพังได้อย่างไร หากรั้งอยู่ภายในหมู่บ้านก็ยังมีนางและสามีคอยเป็นหูเป็นตาให้อยู่“เจ้าค่ะ ข้าคิดจะทำการค้าด้วย เมื่อก่อนท่านพ่อสอนข้าเอาไว้ไม่น้อย ในเมื่อมีเงินแล้วก็อยากจะหาทางเพิ่มให้มีมากขึ้น มิใช่อยู่ใช้เงินที่ได้มาจนหมด ต่อไปไม่รู้ว่าจะยังโชคดีเช่นนี้อีกหรือไม่”“เงินตั้งเยอะเพียงนั้น เจ้าใช้จนตายก็ยังไม่หมด” ป้าตู้ถลึงตามองเยี่ยนอิง เมื่อนางพูดว่าสักวันเงินที่มีอยู่จะหมดไป“...” เยี่ยนอิงมิได้พูดสิ่งใด นางเพียงอมยิ้มมองป้าตู้หากป้าตู้ได้รู้ว่าวันนี้เยี่ยนอ
“แล้วเจ้าอยากรู้เรื่องตระกูลฟู่ในเมืองหลวงหรือไม่”“ไม่เจ้าค่ะ แคว้นต้าหลี่กว้างใหญ่นัก ตระกูลฟู่ก็คงไม่ได้มีเพียงแค่ในเมืองหลวง หากญาติของท่านแม่ข้า อยากจะออกตามหานางจริง คงไม่ปล่อยให้เวลาล่วงมานานนับสิบกว่าปี”ด้วยไม่รู้ว่าเหตุใดมารดาของเจ้าของร่างเดิมถึงได้หมดสติอยู่ที่ข้างทาง ทั้งยังไร้ซึ่งความทรงจำ หากนางถูกขับออกจากตระกูลหรือถูกตามสังหาร ถ้าเยี่ยนอิงยังอยากจะรู้เรื่องของตระกูลฟู่ จะไม่มีจุดจบเช่นบิดามารดารึ“เช่นนั้นรึ” เขาเห็นสายตาที่เด็ดเดี่ยวของนาง ก็อดที่จะชื่นชมในความเข้มแข็งไม่ได้ทั้งสองต่างมองพิจารณากันโดยไม่มีสิ่งใดเอ่ยออกมา เยี่ยนอิงที่กลัวจะหาซื้อของได้ไม่ครบก่อนที่ซานเซินจะตื่น นางจึงขอตัวเพื่อออกไปด้านนอก“หากท่านมีเรื่องจะพูดกับข้าเพียงเท่านี้ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนเจ้าค่ะ” เยี่ยนอิงลุกขึ้น เพื่อจะออกไปซื้อของก่อนที่น้องชายจะตื่น แต่ก็ถูกหมอหลิวเอ่ยรั้งไว้อีกครั้ง“หากเจ้ามีเรื่องให้ข้าช่วยเหลือ มาพบข้าได้ที่โรงหมอ หรือจะไปที่จวนของข้าอยู่ที่ทิศตะวันออกของเมือง หน้าจวนมีป้ายตระกูลหลิว เจ้าหาได้ไม่ยาก”“หึหึ ขอบคุณเจ้าค่ะ แต่หากจะรบกวนท่านก็คงเป็นเรื่องนำสมุนไพรมาขาย”