แชร์

บทที่ 8 : เจียงชุน

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-07-01 09:00:49

บทที่ 8 : เจียงชุน

          หลินลู่ฉีทนสังขารของเด็กสามขวบไม่ไหว นางหลับบนหลังของหวงชางไปตลอดเส้นทาง รู้ตัวอีกทีก็ถึงหน้าเรือนของท่านยายเจียงแล้ว แม้จะอยู่ในชนบทแต่เรือนของท่านยายเจียงกลับสร้างด้วยอิฐ ซึ่งแตกต่างจากบ้านของชาวบ้าน ที่ส่วนใหญ่สร้างด้วยดิน หมู่บ้านหยางฮัวมีคนสร้างบ้านด้วยอิฐเพียงสองหลังเท่านั้น คือของผู้ใหญ่บ้านกับท่านยายเจียง

          หลินลู่ฉีมองสำรวจด้วยสายตาคร่าว ๆ หมู่บ้านแห่งนี้อยู่ด้านหน้าภูเขา มีราวห้าสิบหลังคาเรือนเท่านั้น คงมีชาวบ้านราว ๆ สองร้อยกว่าคน ท่านยายเจียงแลดูจะตกใจ กับจำนวนลูกหลานเหลนที่มาพึ่งพาเกือบยี่สิบคน ทว่าท่านกลับให้การต้อนรับเป็นอย่างดี

          “ท่านน้าข้าลี้ภัยมาพึ่งใบบุญของท่าน ไม่คิดว่าจะถูกตระกูลหม่า ขับไล่ออกมาเหมือนหมูเหมือนหมาเช่นนี้”

          นางเจียงร้องห่มร้องไห้ เล่าเรื่องที่หน้าประตูใหญ่ของตระกูลหม่าให้ฟังอีกด้วย “ที่บ้านพวกข้าดินแห้งแล้ง เพาะปลูกไม่ได้มาสองสามปีแล้ว มาปีนี้หนักสุด เก็บเกี่ยวไม่ได้เลย ข้าจำต้องหอบลูกหลานมาหาท่านในวันนี้”

          นางเจียงคร่ำครวญถึงชีวิตที่ยากลำบาก ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ไม่ถึงที่สุดคนตระกูลหวง คงไม่ลี้ภัยหนีกันทั้งหมู่บ้าน

          “เอาล่ะ ๆ เจ้าก็อย่าร้องไห้อีกเลยอาเหมย น้าของเจ้าไม่ได้มีทรัพย์สินติดตัวออกมา บ้านใหญ่วางแผนไม่เหลือทางเดินให้ข้า โชคดีแค่ไหนที่เครื่องประดับติดกายยังมีราคา ให้พอขายมาซื้อที่ดินปลูกบ้านได้”

          ท่านยายเจียงลูบหลังปลอบหลานสาวของตนไป ทว่าไม่อาจซ่อนแววตาหนักใจเอาไว้ได้

          “ท่านน้า นี่สามีข้าหวงจง นั่นหลาน ๆ ของท่าน ลูกชายคนโตของข้า หวงจื้อ คนรองหวงเต๋อ หวงชางและลูกสาวคนเดียวของข้าหวงไป๋หลาน”

          คนที่ถูกเรียกชื่อรีบเข้ามาคารวะท่านยายเจียง จากนั้นก็เป็นบรรดาลูกสะใภ้แล้วก็เด็กในตระกูล

          “คำนับท่านยาย /ท่านยายทวด ” พวกเขาทักทายอย่างพร้อมเพรียงกัน

          “ส่วนเด็กนั่นนอนสลบอยู่ข้างทาง เจ้าสามกับเมียไม่เจียมตัว ไปเก็บมาให้เป็นภาระ ท่านน้าไม่ต้องรู้จักนางหรอก” นางเจียงยังเคืองคนบ้านสาม จึงพูดไม่ดีใส่พวกเขาไป

          ท่านยายเจียงทำเพียงพยักหน้าไม่เอ่ยคำใด หันไปทางหลานสาวที่ยืนอยู่ด้านหลัง “นี่คือหม่าซูเหวินหลานสาวคนเดียวของข้า”

          หม่าซูเหวินอยู่ในวัยปักปิ่นเช่นเดียวกับหวงไป๋หลาน นางก้าวออกมาทำความเคารพทุกคนอย่างรู้ความ การนับญาติค่อนข้างลำบากเล็กน้อย นางจึงไม่เอ่ยชื่อใครออกมา ทำเพียงคำนับส่วนรวมเท่านั้น

          “เหวินเอ๋อร์เจ้าไปเตรียมอาหารให้ทุกคนก่อน”

          “เจ้าค่ะท่านย่า”

          “ท่านแม่ข้าไปช่วยน้องซูเหวินทำกับข้าวนะเจ้าคะ” ฉินซื่อเห็นว่าคนเยอะขนาดนี้ อีกฝ่ายทำคนเดียวจะไปพออะไร จึงได้อาสา

          “ไปเถอะ” นางเจียงปัดมือไม่ใส่ใจ ส่วนสะใภ้คนอื่นกลับนิ่งเฉย

          ท่านยายเจียงนิ่วหน้าเล็กน้อย ทว่าไม่เอยคำพูดใดออกมา ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า

          “เด็ก ๆ ไปวิ่งเล่นหน้าบ้านก่อนดีไหม”

          “ท่านยายทวดพวกข้าเดินมาตลอดทางเหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว ขอห้องนอนพักก่อนได้ไหมขอรับ” หวงชุนฟงถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก เขาไม่ได้รู้สึกเกรงใจเจ้าของบ้านแม้แต่น้อย

          “ฟงเอ๋อร์นี่ไม่ใช่บ้านของเรา ขออภัยด้วยท่านน้าด้วย เขาไม่รู้ความจริง ๆ” หวงจงขายหน้ายิ่งนัก

          “ข้าพูดความจริงนี่” หวงชุนฟงกลับไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย

          ท่านยายเจียงคลึงถ้วยชาเบา ๆ ในใจนิ่งลึกยากจะหยั่งถึงได้

          “ท่านน้าเจ้าคะ” นางเจียงเห็นผู้เป็นน้านิ่งเงียบไปนาน จึงได้เอ่ยเรียก

          “ไม่เป็นไร ๆ ข้าไม่ถือสาหาความเด็ก อย่างที่พวกเจ้าเห็นเรือนข้าอยู่กันสองคน มีห้องว่างอีกสองห้องเท่านั้น พวกเจ้ามีกัน” นางหยุดเอ่ยแล้วนับนิ้วไปด้วย “หากนับไม่ผิดสิบเจ็ดคนเห็นจะได้”

          “เดิมทีสิบหกคนเจ้าค่ะ นั่งเด็กนอกคอกนั่น ท่านน้าไม่ต้องนับรวม”

          หวงจื่อถงกับน้องสาวขยับเข้าไปโอบกอดหลินลู่ฉีหลังได้ยิน สายตาพวกเขาสองพี่น้อง ไม่เห็นด้วยกับคำพูดของผู้เป็นย่า ฉีฉีของพวกเขาน่ารักจะตายไป เหตุใดถึงไม่นับรวมเล่า

          หลินลู่ฉีซาบซึ้งน้ำตาแทบไหล เหตุใดเด็กน้อยสองคนนี้ ถึงได้น่ารักนักเล่า ฝ่ามืออบอุ่นของหวงชางกับภรรยา วางทาบลงบนศีรษะของนางพร้อมกัน

          ข้าน้ำตาจะไหลอยู่แล้วนี่

          ท่านยายเจียงกำลังจัดสรรปันห้องอยู่ “ห้องว่างสองห้องให้เจ้ากับหลานเขยอยู่ อีกห้องก็ให้”

          “เจ้าใหญ่เจ้าค่ะ ให้เจ้าใหญ่กับครอบครัวอยู่” นางเจียงรีบเอ่ย

          “ได้ ๆ ทีนี้ก็จะเหลือห้องเก็บของอีกห้อง”

          “เจ้ารองเจ้าค่ะ บ้านเจ้ารองอยู่” นางเจียงเอ่ยอีก

          “เอ่อ ไม่เหลือห้องแล้ว” ท่านยายเจียงมีลานห้องโถงรับแขกไม่ได้กว้างนัก แค่วางโต๊ะน้ำชากับโต๊ะกินข้าวก็กินพื้นที่หมดแล้ว จึงไม่เหลือที่ว่างให้ครอบครัวของหวงชางได้อยู่อาศัย

          นางเจียงค่อนข้างไม่ชอบบ้านสาม นางไม่ชอบสะใภ้สามที่เป็นเพียงเด็กถูกเก็บมาเลี้ยง แต่หวงชางกลับหลงรักนาง หากไม่แต่งกับนางเขาก็จะออกบวชตลอดชีวิต

          จึงเป็นการแต่งงานที่นางไม่ยินยอม มีแต่ความเกลียดชังคนบ้านสาม ถึงพวกเขาจะมีหลานชายให้หนึ่งคนนางก็ไม่สนใจ เพราะอย่างไรบ้านใหญ่ก็มีหลานชายถึงสองคน อีกทั้งยังได้รับการเล่าเรียนทั้งคู่

          “เดิมทีขยับโต๊ะตรงลานห้องโถงนี่ก็พอได้ แต่ว่าบ้านสามของพวกเจ้ามีกันห้าคน เกรงว่าจะแออัดเกินไป”

          ท่านยายเจียงหันไปเอ่ยกับหวงชาง เกรงว่าเขาจะเข้าใจผิดว่านางไม่ต้อนรับ

          “ข้าเข้าใจขอรับ ท่านยายไม่ต้องเป็นห่วง พวกข้านอนข้างนอกลานกว้างนั่นก็ได้”

          “ไม่ได้ ๆ มีเด็กถึงสามคนจะปล่อยให้นอนข้างนอกได้อย่างไร ข้าจะไปถามผู้ใหญ่บ้านดู ว่าพอมีจะบ้านใครเหลือห้องว่าง ไปขอเช่าพวกเขาอยู่สักวัน”

          “ไม่ต้องหรอกท่านน้า คือว่าพวกข้าไม่เหลือเงินแล้ว” นางเจียงกลัวต้องได้ออกค่าเช่าเรือนให้บ้านสาม

          “ข้าไปถามดูก่อน เจ้าไม่ต้องร้อนใจไป”

          “เช่นนั้นข้าไปเป็นเพื่อนท่านยายนะขอรับ”

          หวงชางรีบเดินตามหลังท่านยายเจียงไป เขารู้สึกเกรงใจนางเป็นอย่างมาก พอพ้นสายตาคนในบ้าน จึงได้เอ่ยด้วยความอ่อนน้อม

          “ท่านยายไม่ต้องหาเรือนให้ข้าหรอกขอรับ ข้านอนห้องเก็บฟืนให้เด็ก ๆ กับภรรยานอนในห้องโถงก็ได้ พวกเราตื่นเช้าหน่อย จะได้ไม่เกะกะเวลาพวกท่านตื่นนอนกัน”

          ท่านยายเจียงหันหลังกลับมามองหลานชายคนนี้ใหม่ เด็กดีเช่นนี้เหตุใดนางเจียงถึงได้ไม่ใส่ใจเขา กระทั่งภรรยาของเขา ยังออกปากไปช่วยหลานสาวของนางทำกับข้าว ต่างกับหลานสะใภ้คนอื่นลิบลับ

          “หวงชางเจ้าอย่าได้เกรงใจ ไปถามผู้ใหญ่บ้านก่อน ได้ไม่ได้ค่อยว่ากันอีกที”

          “ขอรับ”

          ผู้ใหญ่บ้านมีนามว่าเถิงคุนอายุราวสี่สิบกลาง ๆ ท่านยายเจียงเป็นสมาชิกใหม่ของหมู่บ้านหยางฮัว แต่กลับซื้อที่นาเกือบร้อยหมู่ มอบให้ชาวบ้านได้เช่าทำกินกัน เถิงคุนจึงให้ความเกรงใจนางอยู่ไม่น้อย

          “ท่านยายเจียงเกรงว่าจะไม่เหลือบ้าน ให้หลานชายของท่านได้พักแล้วจริง ๆ” ไม่ใช่ว่าไม่มี แต่ไม่มีบ้านหลังไหนเต็มใจ ให้คนแปลกหน้ามาอาศัยอยู่ด้วย

          “ผู้ใหญ่บ้านข้าสามารถเช่าเรือนได้ พอให้หลานชายข้ากับเมียและลูก ๆ ของเขา ได้อยู่ก่อนชั่วคราวได้หรือไม่”

          “ถึงเช่าก็ใช่ว่าจะมีห้องพอให้พวกเขาอยู่ แต่เดี๋ยวนะ” เถิงคุนเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ รีบเรียกนางหูภรรยาเข้ามาถาม

          “แม่เจ้าไปถามบ้านท่านยายหมี่ให้ข้าที เรือนของนางมีห้องว่างให้ญาติของท่านยายเจียง เช่าอยู่ชั่วคราวหรือไม่”

          “ได้ ๆ ว่าแต่จะอยู่กันกี่คนล่ะ”

          “ผู้ใหญ่สองเด็กอีกสามคนขอรับ” หวงชางรีบเอ่ยบอก

          “ข้าจะไปถามให้เดี๋ยวนี้แหละ”

          “ขอบคุณขอรับท่านป้า”

          นางหูพยักหน้าให้เขาหันไปมองสามีก่อนจากไป สายตาของนางบอกว่าหวงชางผู้นี้นอบน้อมน่าช่วยเหลือ

          “ท่านยายหมี่อยู่คนเดียว ลูกหลานไม่มาเยี่ยมเยียนแม้แต่คนเดียว ชาวบ้านต่างก็บอกว่าพวกเขาอกตัญญูไม่รู้คุณ แต่ข้าเกรงว่าพวกเขาอาจเกิดเรื่องร้าย จนไม่สามารถกลับมาเยี่ยมแกก็เป็นได้”

          เถิงคุนเกริ่นบอกล่วงหน้า เพื่อที่หวงชางจะได้เข้าใจที่มาที่ไปของท่านยายหมี่

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ข้าคือดาวมงคลน้อยหลินลู่ฉี   บทที่ 8 : เจียงชุน

    บทที่ 8 : เจียงชุน หลินลู่ฉีทนสังขารของเด็กสามขวบไม่ไหว นางหลับบนหลังของหวงชางไปตลอดเส้นทาง รู้ตัวอีกทีก็ถึงหน้าเรือนของท่านยายเจียงแล้ว แม้จะอยู่ในชนบทแต่เรือนของท่านยายเจียงกลับสร้างด้วยอิฐ ซึ่งแตกต่างจากบ้านของชาวบ้าน ที่ส่วนใหญ่สร้างด้วยดิน หมู่บ้านหยางฮัวมีคนสร้างบ้านด้วยอิฐเพียงสองหลังเท่านั้น คือของผู้ใหญ่บ้านกับท่านยายเจียง หลินลู่ฉีมองสำรวจด้วยสายตาคร่าว ๆ หมู่บ้านแห่งนี้อยู่ด้านหน้าภูเขา มีราวห้าสิบหลังคาเรือนเท่านั้น คงมีชาวบ้านราว ๆ สองร้อยกว่าคน ท่านยายเจียงแลดูจะตกใจ กับจำนวนลูกหลานเหลนที่มาพึ่งพาเกือบยี่สิบคน ทว่าท่านกลับให้การต้อนรับเป็นอย่างดี “ท่านน้าข้าลี้ภัยมาพึ่งใบบุญของท่าน ไม่คิดว่าจะถูกตระกูลหม่า ขับไล่ออกมาเหมือนหมูเหมือนหมาเช่นนี้” นางเจียงร้อ

  • ข้าคือดาวมงคลน้อยหลินลู่ฉี   บทที่ 7 : ไปให้พ้น ! ที่นี่ไม่มีอนุภรรยาแซ่เจียง

    บทที่ 7 : ไปให้พ้น ! ที่นี่ไม่มีอนุภรรยาแซ่เจียง หลินลู่ฉีอยากลงเดินเพื่อให้หวงชางได้เบาหลังบ้าง แต่พอนางเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ทิ้งระยะห่างจากคนตระกูลหวงเสียแล้ว โทษใครได้ขานางสั้นเกินไปจริง ๆ “เจ้าอยากเดินนักเป็นอย่างไรล่ะ” หวงจื่อถงจิ้มจมูกเล็ก ๆ ของนาง “มาขี่หลังข้า ให้ท่านพ่อได้พักบ้าง” เขาย่อตัวลงหวังให้น้องสาวตัวน้อยได้ขี่หลัง หลินลู่ฉีมองดูร่างผอมแห้งของเขาแล้วหนักอึ้งในใจ นางเงยหน้าขึ้นมองหวงชางกับฉินซื่อ “ให้พี่ชายของเจ้าลองดู ไหวหรือไม่เดี๋ยวก็รู้” หวงชางยิ้มระหว่างมองสบสายตากับเด็กน้อย เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ ไม่ถึงครึ่งลี้หวงจื่อถงก็ไม่ไหวเสียแล้ว เป็นหวงชางที่ต้องแบกหลินลู่ฉีต่อไป ส่

  • ข้าคือดาวมงคลน้อยหลินลู่ฉี   บทที่ 9 : เช่าเรือนท่านยายหมี่

    บทที่ 9 : เช่าเรือนท่านยายหมี่ ไม่ช้านางหูก็กลับมาพร้อมข่าวดี ท่านยายหมี่ยินดีให้เช่าเรือนส่วนหนึ่ง เรื่องค่าเช่าแล้วแต่ผู้ใหญ่บ้านจะกำหนดให้ นางไม่เรื่องมาก ขอแค่มีรายได้เข้ามาบ้างก็เป็นพอ คืนนี้สามารถเข้าไปอาศัยอยู่ที่เรือนของนางได้เลย “ท่านยายจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าให้ข้าตั้งหนึ่งเดือน ข้าไม่รู้จะตอบแทนท่านยายอย่างไรดี ขอบคุณท่านยายมากขอรับ” หวงชางคุกเข่าลง โขกศีรษะคำนับให้ท่านยายเจียง “เหลวไหลอันใด รีบลุกขึ้นได้แล้ว เจ้าเป็นหลานชายข้า เงินแค่ไม่กี่สิบอีแปะข้าจะออกให้ไม่ได้รึ” ท่านยายเจียงโบกมือใส่เขาคล้ายโมโห นางไม่ได้บอกคนตระกูลหวง ว่าตัวเองมีรายได้จากช่องทางไหน แต่แอบกำชับผู้ใหญ่บ้านก่อนออกมา ไม่ให้บอกเรื่องให้เช่าที่นาเกือบร้อยหมู่กับญาติของนาง&nb

  • ข้าคือดาวมงคลน้อยหลินลู่ฉี   บทที่ 6 : ฉีฉีมองเห็นบ้างไหม

    บทที่ 6 : ฉีฉีมองเห็นบ้างไหม เมื่อรู้ว่ามีภัยอันตรายเข้ามาใกล้ พวกเขารีบเก็บของ พากันคลำทางในความมืดไปจากตรงนี้ เพราะเป็นคืนเดือนมืดทุกคนจึงต้องจับมือเดินตามหลังกันไป “ข้ามองไม่เห็นทางแล้วท่านพ่อท่านแม่ หากก้าวพลาดอาจได้รับบาดเจ็บได้” หวงจื้อเป็นคนนำทางเขาเกิดกลัวขึ้นมา “เจ้าใหญ่เงียบ ๆ หน่อย ข้าได้ยินเสียงคนตามหลังพวกเรามาแล้ว พวกมันจุดคบเพลิงด้วย รีบไป ๆ” หวงจงเร่งบุตรชาย หลังจากเห็นแสงไฟอยู่ไม่ไกลเท่าใดนัก ทว่าหวงจื้อกลับไม่กล้าเดินต่อ พวกเขาไม่มีคบเพลิงและข้างหน้าก็ล้วนแต่เป็นป่าเขา “ท่านพ่อสามีข้ามองไม่เห็นทาง ให้คนอื่นมานำทางเถอะ” จ้าวซื่อรีบดึงแขนสามีมาหลบอยู่ด้านหลังนางเจียง&nbs

  • ข้าคือดาวมงคลน้อยหลินลู่ฉี   บทที่ 5 : พี่ชายเจ็บหรือไม่

    บทที่ 5 : พี่ชายเจ็บหรือไม่ กระนั้นวาจาถากถางจากนางเจียง ก็ยังลอยมาตามสายลม คำว่าตัวอัปมงคล ตัวกินล้างกินผลาญ ด่าลามไปถึงครอบครัวของหวงชางทุกคน ด่าจนหลินลู่ฉีรู้ประวัติความเป็นมาของพวกเขาไม่มากก็น้อย นางเจียงกับหวงจงนั้นแม้จะเป็นปู่ย่าคนแล้ว แต่อายุเพียงแค่สี่สิบปลาย ๆ เท่านั้น บุตรชายทั้งสามคนอายุยังไม่ถึงสามสิบสักคน บุตรสาวเพียงคนเดียวนั้นน่าจะเพิ่งผ่านวัยปักปิ่นมา หลินลู่ฉีรู้ว่าคนอื่นไม่ยินดี ที่หวงชางกับฉินซื่อให้นางร่วมเดินทางไปด้วย ระหว่างทางจึงได้ยินวาจาเย้ยหยันอยู่ตลอดเวลา ไม่เว้นกระทั่งหลาน ๆ ของพวกเขาเอง ว่างเมื่อไหร่เป็นต้องวิ่งมากลั่นแกล้งนางอยู่เรื่อย ดีที่หวงจื่อถงอยู่ข้างกาย เขาคอยตะโกนบอกบิดามารดาอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดปากเสียงกันอยู่ร่ำไป กระทั่งลงไม้ลงมือกันก็มี “นังตัวซวยพวกเจ้าเห็นหรือยัง พอมีนางเข้ามาหลาน ๆ ของข้าก็ตีกันเสียแล้ว” นางเจียงลูบหลังปลอบหลานชายสุดที่รักของตน หวงชุนฟงคือบุตรชายคนโต ที่เกิดจากหวงจื้อกับจ้าวซื่อ “ท่านแม่ฟงเอ๋อร์อายุเท่าไรแล้ว ยังมารังแกฉีฉีของพวกเรา นางก็แค่เด็กสองสามขวบเองนะเจ้า

  • ข้าคือดาวมงคลน้อยหลินลู่ฉี   บทที่ 4 : แบ่งให้ข้าคนละคำก็พอแล้วเจ้าค่ะ

    บทที่ 4 : แบ่งให้ข้าคนละคำก็พอแล้วเจ้าค่ะ “ไม่ได้นะเจ้าคะท่านแม่ นางยังมีลมหายใจอยู่เลย ข้าไม่อาจทิ้งนางได้ ท่านแม่มองดูสิเจ้าคะ แถวนี้มีคนดี ๆ ที่ไหนกันหากปล่อยนางเอาไว้เช่นนี้ คงถูกสัตว์ร้ายทำอันตรายเอาได้” สัตว์ร้ายไม่เท่าไรหรอก เกรงแต่มนุษย์ด้วยกันนี่แหละที่จะทำร้ายกันเอง นางเคยได้ยินเรื่องผู้ลี้ภัยหิวโหย ถึงขึ้นกินเนื้อเด็กทารกแรกเกิดด้วยซ้ำ “นังคนอกตัญญู ลูกตัวเองจะอดข้าวตายอยู่แล้วยังไม่สำนึก เกิดอยากเป็นคนใจดี เหตุใดข้าถึงได้แต่งสะใภ้เบาปัญญาเช่นนี้เข้าบ้าน สวรรค์หนอสวรรค์ เหตุใดถึงได้โหดร้ายกับข้านัก” นางเจียงร่ำร้องคล้ายคนถูกกระทำอย่างโหดร้าย หากไม่ติดว่ากำลังลี้ภัยอยู่ นางคงลงไปนั่งตบตีต้นขาอยู่บนพื้นแล้ว ฉินซื่อเริ่มทำตัวไม่ถูก “ท่านแม่ข้าไม่ได้..” นางเจียงชี้นิ้วใส่นาง “เจ้าหุบปาก หากเจ้ายังไม่ทิ้งเด็กนั่นไปอีก อย่ามาเรียกข้าว่าแม่ !” ฉินซื่ออุ้มเด็กเดินไปหลบอยู่ข้างหลังของสามี ด้านข้างมีบุตรชายกับบุตรสาวยืนอยู่ พวกเขาเหมือนกำลังตกใจกับคำด่าทอของผู้เป็นย่า แต่กระนั้นฉินซื่อก็ส่งสายตาให้สามี ว่านาง

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status