ไม่ช้านางหูก็กลับมาพร้อมข่าวดี ท่านยายหมี่ยินดีให้เช่าเรือนส่วนหนึ่ง เรื่องค่าเช่าแล้วแต่ผู้ใหญ่บ้านจะกำหนดให้ นางไม่เรื่องมาก ขอแค่มีรายได้เข้ามาบ้างก็เป็นพอ คืนนี้สามารถเข้าไปอาศัยอยู่ที่เรือนของนางได้เลย
“ท่านยายจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าให้ข้าตั้งหนึ่งเดือน ข้าไม่รู้จะตอบแทนท่านยายอย่างไรดี ขอบคุณท่านยายมากขอรับ” หวงชางคุกเข่าลง โขกศีรษะคำนับให้ท่านยายเจียง
“เหลวไหลอันใด รีบลุกขึ้นได้แล้ว เจ้าเป็นหลานชายข้า เงินแค่ไม่กี่สิบอีแปะข้าจะออกให้ไม่ได้รึ”
ท่านยายเจียงโบกมือใส่เขาคล้ายโมโห นางไม่ได้บอกคนตระกูลหวง ว่าตัวเองมีรายได้จากช่องทางไหน แต่แอบกำชับผู้ใหญ่บ้านก่อนออกมา ไม่ให้บอกเรื่องให้เช่าที่นาเกือบร้อยหมู่กับญาติของนาง
ผู้ใหญ่บ้านแม้อายุไม่มากนัก แต่เขาผ่านประสบการณ์ชีวิตมาอย่างโชกโชน ในการเป็นผู้ใหญ่บ้านของเขา ปัญหาส่วนใหญ่ล้วนมาจากเครือญาติกันนี่แหละ เขาจึงรับปากท่านยายเจียง แต่หากชาวบ้านเผลอเอ่ยออกไป เช่นนั้นก็ถือว่าเขาไม่ได้ผิดคำพูดเหมือนกัน ท่านยายเจียงเองก็เข้าใจ
ท่านยายเจียงไม่ได้เอ่ยถึงเรื่อง ที่ญาติของนางจะเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านหยางฮัวแบบถาวร เถิงคุนจึงไม่ได้ถามไถ่มากนัก เพราะหากต้องการปักหลักอยู่ที่นี่ คงต้องมีการลงทะเบียนให้เรียบร้อย ท่านยายเจียงยังไม่เอ่ยเรื่องนี้ จึงถือว่าญาติแวะมาเยี่ยมเยียนชั่วคราวเท่านั้น
นางเจียงแสดงสีหน้าไม่พอใจหลังได้ยินว่าท่านน้าของนาง จ่ายค่าเช่าให้บ้านสามไปแล้วหนึ่งเดือน
“เหตุใดต้องสิ้นเปลืองเช่นนั้น สู้เอาเงินมา...”
เสียงกระแอมเตือนของสามี ทำให้นางเจียงรู้ตัวว่าเกือบเอ่ยคำพูดไม่เหมาะสมออกมาแล้ว
“หวงชางก็หลานข้าเหมือนกัน” ท่านยายเจียงชักสีหน้าใส่หลานสาวตนเอง เหตุใดโตมาแล้วถึงกลายเป็นคนรักลูกหลานไม่เท่ากันได้ “เอาล่ะ ๆ หวงชางเจ้าพาครอบครัวไปที่เรือนของท่านยายหมี่ก่อน ผู้ใหญ่บ้านรอเจ้าอยู่ที่นั่นแล้ว”
“ขอรับท่านยาย”
เรือนของท่านยายหมี่อยู่ห่างจากเรือนของท่านยายเจียงพอสมควร อยู่ค่อนไปทางท้ายของหมู่บ้าน ติดกับตีนภูเขาด้านหลัง ตั้งอยู่โดดเดี่ยวท่ามกลางทุ่งนารอบด้าน
“มากันแล้ว ๆ” เถิงคุนเห็นกลุ่มคนเดินมาทางเรือนของท่านยายหมี่ รีบกวักมือเรียกพวกเขา “ทางนี้ ๆ”
“อาอี้นี่คือผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านนี่ฉินซื่อภรรยาของข้า แล้วนั่นก็บุตรชายบุตรสาวของข้าขอรับ” หวงชางรีบแนะนำทุกคนให้เถิงคุนได้รู้จัก
ฉินซื่อนำเด็ก ๆ คำนับผู้ใหญ่บ้านอย่างรู้มารยาท
“ดีดีดี” เถิงคุนพึงพอใจในความรู้ความของพวกเขา หันไปด้านข้างรีบแนะนำท่านยายหมี่ให้ทุกคนได้รู้จัก
“นี่คือท่านยายหมี่ รุ่นราวคราวเดียวกับท่านยายเจียงของพวกเจ้า หนึ่งเดือนจากนี้ไปพวกเจ้าสามารถอยู่อาศัยกับท่านยายหมี่ได้ แต่ว่าเรื่องอาหารการกินนั้นต้องจัดหาเอาเอง ท่านยายหมี่ไม่ได้มีรายได้อะไร ที่นาสามหมู่ก็ให้คนอื่นเช่าทำ ที่เหลือก็เก็บผักป่าของป่ามากินประทังชีวิตเท่านั้น”
หวงชาง “ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณท่านผู้ใหญ่บ้านที่จัดการเรื่องที่อยู่อาศัยให้ ขอบคุณมากขอรับ”
“เอาล่ะ ๆ นี่ก็มืดค่ำแล้วข้าต้องกลับเรือนก่อน”
เถิงคุนเดินหันหลังจากไปอย่างโล่งอก การจัดการกับญาติผู้ลี้ภัยไม่ได้ง่ายเช่นนี้ทุกราย คราวนี้ถือว่าง่ายที่สุดแล้ว
“ท่านยายหมี่พวกเราต้องรบกวนท่านแล้ว”
หวงชางหันมามองหญิงชราที่มีผมสีขาวเงินเต็มศีรษะ ดวงตาฝ้าฟางเล็กน้อย ทว่ายังมองเห็นว่าใครเป็นใคร
“ไม่เป็นไร พวกเจ้าไม่ได้มาอยู่เฉย ๆ ข้ายังได้ค่าเช่าเรือนมาอีกด้วย ไป ๆ ไปดูห้องนอนกัน”
หลินลู่ฉีสังเกตเห็นหญิงชรา แม้ท่าทางของนางไม่ได้แข็งกร้าวแต่ก็ไม่ได้อ่อนแอ ดูเป็นผู้ใหญ่มีเหตุมีผลพอสมควร เช่นนั้นคงไม่ต้องกลัวปัญหาการอยู่ร่วมกัน
เรือนของท่านยายหมี่ว่างอยู่สองห้อง สองสามีภรรยาได้อยู่ด้วยกัน ส่วนเด็กสามคนอยู่อีกห้อง ท่านยายหมี่ต้มโจ๊กข้าวโพดให้พวกเขากินรองท้อง เนื่องจากได้รู้เรื่องราวคร่าว ๆ ว่าพวกเขาลี้ภัยแล้งมาจากอีกเมือง คงมีชีวิตยากลำบากมาไม่น้อย
“ท่านยายหมี่พวกข้าไม่มีเงิน โจ๊กพวกนี้พวกข้าไม่กล้ากินหรอกเจ้าค่ะ” ฉินซื่อแม้ท้องร้องแต่ก็ไม่กล้ากินจริง ๆ
“จริงด้วย” หวงชางเองก็อับจนปัญญา
“พวกเจ้าเช่าเรือนของข้าอยู่ ข้าเลี้ยงโจ๊กข้าวโพดแค่นี้จะเป็นอันใดไป พรุ่งนี้พวกเจ้าก็ตักน้ำกวาดเรือนให้ข้า ก็ชดเชยกันได้แล้ว ดูเด็ก ๆ สิ หน้าซีดหน้าเซียวกันหมดแล้ว รีบกินเร็วเข้า !” หญิงชราแสร้งทำเสียงดุใส่
หลินลู่ฉีคือคนที่ทนไม่ได้ นางหิวจนตาลายไปหมดแล้ว นางหยิบช้อนไม้ตักโจ๊กเข้าปากเป็นคนแรก
ข้ายังเด็ก ข้าไม่รู้ความ
ท่านยายหมี่หัวเราะออกมาดัง ๆ “ต้องอย่างเจ้าเด็กฉีฉีคนนี้สิ กินกันได้แล้ว ไม่อายเด็กบ้างหรือไร”
“เจ้าค่ะท่านยาย” ฉินซื่อขานรับอย่างเลี่ยงไม่ได้ แอบอายแทนหลินลู่ฉีเล็กน้อย
เมื่อมีหลินลู่ฉีนำทางก่อน คนอื่น ๆ จึงรู้สึกผ่อนคลายลง จับตะเกียบพุ้ยโจ๊กเข้าปากด้วยความหิว มีเพียงเด็กเล็กสองคนที่ยังใช้ช้อนไม้อยู่
เมื่อกินอิ่มแล้ว ฉินซื่อไม่ยอมให้ท่านยายหมี่ล้างถ้วยของพวกนาง อาสาช่วยหญิงชราทำให้ทุกอย่าง เรือนที่เคยเงียบเหงาอ้างว้าง บัดนี้กลับมีเสียงพูดคุยของเด็กเล็ก ๆ ทำให้ท่านยายหมี่รู้สึกชุ่มชื่นในหัวใจขึ้นมา นานมากแล้วจริง ๆ
ด้านเรือนของท่านยายเจียง เดิมทีนางต้องการให้หลานสาวนำอาหาร ไปมอบให้ครอบครัวของหวงชาง แต่นางเจียงห้ามไว้ บอกว่าบ้านสามไม่หิวหรอก เอาที่เหลือไว้ให้หลานชายบ้านใหญ่ของนางดีกว่า เด็ก ๆ กำลังโตต้องได้กินอิ่มท้อง ท่านยายเจียงทำเพียงถอนหายใจเบา ๆ ไม่ได้กล่าวคำพูดใดอีก
แต่เมื่ออยู่ในห้องกับหลานสาวสองคน ผู้เป็นหลานก็อดระบายออกมาไม่ได้
“ข้าไม่เข้าใจเลยท่านย่า เหตุใดมารดาถึงรักบุตรไม่เท่ากัน” หม่าซูเหวินใบหน้าซึมเศร้า ยกมือเท้าคางมองออกไปนอกหน้าต่างห้อง
“ครอบครัวใหญ่ก็เช่นนี้แหละ ใช่ว่าพวกเราไม่เคยพบเจอ” ท่านยายเจียงยกฝ่ามือลูกศีรษะหลานสาวเบา ๆ นางเป็นอนุภรรยามาก่อน ความลำเอียงของผู้อาวุโสในเรือนก็เช่นนี้ บุตรหลานจากภรรยาเอกย่อมมาก่อน แม้จะมีสายเลือดเดียวกันก็ตามที
“เหตุใดท่านย่าไม่ช่วยญาติพี่ชายบ้านสามล่ะเจ้าคะ”
ท่านยายเจียงคลายรอยยิ้มออกมา ก่อนสอนหลานสาวไปในตัว “ช่วยได้หนหนึ่งก็ใช่ว่าจะช่วยได้ตลอดไป พวกเขาต้องเรียนรู้ที่จะเอาตัวให้รอดด้วยตัวเอง”
“ข้าไม่ค่อยเข้าใจเจ้าค่ะ” นางเอียงหน้าขึ้นมองผู้เป็นย่า
“เหวินเอ๋อร์หากหวงชางไม่สามารถหาอาหารให้ลูกเมียกินได้ เขาจะมีชีวิตรอดมาในวันข้างหน้าได้อย่างไร”
นางกล่าวแล้วดวงตาเคร่งขรึมลง ตอนนี้คงทำเพียงแค่เฝ้ามองดูครอบครัวของพวกเขา ไม่อาจยื่นมือเข้าไปก้าวก่ายได้ เว้นเสียแต่นางเจียงจะทำสิ่งใดเกินเลยไป
เช้าวันต่อมา
เรือนท่านยายเจียง หลินซื่อผู้เป็นสะใภ้รองของนางเจียง รีบลุกขึ้นมาทำกับข้าวให้ทุกคนได้กิน เมื่อวานนางได้รับอนุญาต ให้ทำอาหารให้ทุกคนกินในเช้านี้ โดยมีบุตรสาววัยเจ็ดปีหวงหลันฮวาตื่นมาเป็นลูกมือให้นาง ส่วนจ้าวซื่อสะใภ้ใหญ่นางไม่ยอมตื่นขึ้นมาช่วยแต่อย่างใด
สามีของหลินซื่อลุกขึ้นไปตักน้ำใส่ถังตั้งแต่เช้าตรู่เหมือนกัน กลายเป็นว่าบ้านใหญ่กับหวงจงและนางเจียง ยังนอนหลับไม่ยอมตื่น
“พี่สะใภ้รอง”
หม่าซูเหวินตื่นมาเจอหลินซื่อในห้องครัว จึงทักทายนางอย่างเป็นกันเอง นางสับสนในการเรียกขานอีกฝ่ายอยู่ แต่ท่านย่าบอกว่าให้นางเรียกพี่สะใภ้นำหน้าไป เหตุเพราะนางอายุน้อยกว่าทุกคน
“น้องซูเหวินตื่นเช้าเช่นนี้เป็นประจำรึ”
“เจ้าค่ะ ข้าตื่นมาทำกับข้าวให้ท่านย่าทุกวัน”
“เอ่อ วันนี้เจ้าไม่ต้องทำหรอก ข้าเป็นแขกมาอาศัยอยู่ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง” หลินซื่อกล่าวด้วยความเกรงใจ
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ คนตั้งมากมายให้พี่สะใภ้รองทำคนเดียวได้อย่างไร ข้าช่วยทำจะได้เร็วขึ้น”
นี่เป็นครัวบ้านท่านย่าของนาง เหตุใดต้องให้คนอื่นมาครอบครอง หม่าซูเหวินไม่พอใจคนตระกูลหวงอยู่ลึก ๆ ทว่านางกลับไม่แสดงออกมาให้ทุกคนเห็น
“รบกวนแล้ว”
หลินซื่อเองก็ไม่ใช่คนมีเล่ห์เหลี่ยมอันใด นางออกจะขลาดกลัวด้วยซ้ำ จึงได้ทำตามที่หม่าซูเหวินบอก เมื่อนางบอกให้ทำข้าวต้ม ให้ใส่ปริมาณเท่าใด นางก็ต้องทำตามอย่างไร้ข้อโต้แย้ง
บทที่ 252 : ฮูหยินลูกแย่งที่นอนข้า หวงชางพยักหน้าลงเล็กน้อย “ได้ต่อไปข้ากับอาอี้จะเรียกเจ้าว่าอี้หาน เจ้ากลับบ้านเดิมภรรยาทั้งที เหตุใดต้องหอบของขวัญมามากมายถึงเพียงนี้” “แค่ของขวัญเล็กน้อยเท่านั้น” หลินลู่ฉีรีบฟ้อง “ดีที่ข้าห้ามเอาไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นสามีข้าคงขนมาทั้งคลังเป็นแน่” “เจ้าเด็กนี่เรียกสามีข้าเต็มปากเต็มคำ หน้าไม่อายจริง ๆ” ฉินซื่ออดเย้านางไม่ได้ “ท่านป้าท่านล้อข้า” “แต่งงานกันแล้วย่อมเป็นเรื่องธรรมดา อี้หานต่อไปก็รักและดูแลฉีฉีของพวกข้าให้ดี ๆ อย่าทำให้นางต้องเสียใจรู้ไหม” “ขอรับท่านป้าข้ารับปากท่าน ข้าซุนอี้หาน
บทที่ 251 : ข้าอายุสิบแปดปีเองนะ จะรีบร้อนมีลูกไปทำไม หลังจากกินมื้อกลางวันอิ่มกันแล้ว พ่อบ้านได้นำกล่องของขวัญ กับจดหมายมามอบให้หลินลู่ฉี บอกว่าเป็นของท่านอาจารย์ของนางมอบให้ในวันแต่งงาน “อาจารย์ปู่อย่างนั้นรึ” หลินลู่ฉีรีบเปิดซองจดหมายอ่านก่อนเป็นอันดับแรก เนื้อหาในนั้นเป็นการขอโทษ ที่ไม่สามารถเดินทางมาร่วมงานแต่งของนางได้ เพราะระยะทางอยู่ไกลนับพันลี้ แม้เดินทางด้วยม้าเร็วก็คงมาไม่ทันอยู่ดี จึงได้ส่งของขวัญกับจดหมายมาให้แทน นอกจากคำอวยพรแล้ว อาจารย์ปู่ยังมอบป้ายไม้แกะสลักให้นางอีกด้วย ซุนอี้หาน “นี่ป้ายอะไรกัน” “อาจารย์ปู่เขียนบอกว่า เป็นป้ายประจำตัวเจ้าของตำหนักยา” “ตำหนักยา ? นั่นไม่ใช
บทที่ 250 : เมื่อกี้ไม่ใช่ว่าทำกันไปแล้วหรือ ภายในห้องหอซุนอี้หานกำลังเงี่ยหูฟังเสียงจากนอกประตู เมื่อรู้ว่าคนเหล่านั้นไม่อยู่แล้ว จึงได้หันไปทางเจ้าสาวที่นั่งตัวแข็งทื่ออยู่บนเตียงนอน เจ้าไปนั่งบนเตียงตั้งเมื่อไหร่ ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านั่งอยู่บนเก้าอี้รึ ซุนอี้หานทั้งขำทั้งเอ็นดูนาง หลินลู่ฉีกำลังนั่งด้วยความรู้สึกประหม่าแกมตื่นเต้น นางมองผ่านชายผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวสีแดง เห็นเพียงหัวรองเท้าเจ้าบ่าวที่เดินมาหยุดอยู่ เขาเอื้อมจับชายผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว ค่อย ๆ ยกขึ้นตลบไปไว้ด้านหลัง เจ้าสาวผู้มีใบหน้าอันงดงาม ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างเขินอาย ริมฝีปากจิ้มลิ้มเม้มเข้าออก คล้ายคนไม่รู้จะเอ่ยคำพูดใดออกมา “ฉีฉีเจ้างามมาก” ดวงตาปรือเยิ้มมองเจ้าสาวอย่างลุ่มหลง
บทที่ 249 : ใครจะหย่ากับข้า ! บรรดาญาติสหายและคนรู้จัก ที่พากันมาส่งตัวเจ้าสาว ต่างยืนดูพิธีการตรงหน้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้มกันทุกคน “ตอนแรกข้าอยากเสนอตัวแบกเจ้าสาวด้วยตัวเอง แต่ว่าคิดไปคิดมาข้าเทียบหวงจื่อถงไม่ได้จริง ๆ เขามีความเป็นพี่ชายมากกว่าข้าเสียอีก” เซี่ยเฉินจิ่นเอ่ยเบา ๆ เซี่ยเฉินฟู่กอดอกมองภาพตรงหน้า แล้วพยักหน้าลงเบา ๆ “ท่านแบกพี่สาวไม่ไหวหรอก เกิดทำเจ้าสาวหกล้มขึ้นมา ทำฤกษ์มงคลเสียหายหมด ให้พี่จื่อถงแบกนั่นแหละดีแล้ว” เซี่ยเฉินจิ่น “...” เจ้ายังใช่น้องชายข้าอยู่ไหม ฉวีฮูหยิน “ต่อไปนางก็มีครอบครัวของตัวเอง มีสามีลูกมีหลานเต็มบ้าน ไม่เดือดร้อนพวกเจ้าให้เป็นห่วงนางหรอก” ครอบครัวตระกูลเซี่ยยืนมองเกี้ยวเจ้าสา
บทที่ 248 : ข้าซุนอี้หานขอสาบานด้วยชีวิต ข้าจะไม่มีวันทำให้นางเสียใจเด็ดขาด “ฉีฉี” ฉินซื่อลูบศีรษะของนางอย่างอ่อนโยน น้ำตาพลันเอ่อคลอเบ้าตามนางไปด้วย ทั้งลูบทั้งกอดปลอบโยนนาง “เด็กน้อยในวันนั้น ได้นำพาครอบครัวของพวกเรา เดินทางผ่านร้อนผ่านหนาวมาไกลถึงเพียงนี้ รู้ไหมว่าป้าภูมิใจในตัวของเจ้ามากแค่ไหน” “ท่านป้า ฮะฮรึก...ฮือ ๆ ๆ” เป็นครั้งแรกที่ฉินซื่อได้เห็นหลินลู่ฉี ปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมาเช่นนี้ เหมือนกำแพงความเข้มแข็งในใจของนาง ได้พังทลายลงแล้ว “เด็กดีไม่ร้อง ๆ เจ้าสาวจะตาบวมหมดงามเอาได้” “ขะข้า...ฮะฮรึก จะไม่ร้องแล้ว ฮะฮรึก !” คนพูดสะอื้นเป็นจังหวะ “เจ้
บทที่ 247 : หวีครั้งแรกขอให้ชีวิตคู่ยืนยาว หลินลู่ฉีไปหาฉินซื่อที่เรือน พบว่านางกำลังปักชุดเจ้าสาวให้ตัวเองอยู่ หวงจื่อเหยาที่ได้เวลาใกล้คลอดแล้ว นางมาหามารดาเพื่อดูว่ามีอะไรให้ช่วยบ้าง “ท้องโตขนาดนี้ยังขึ้นรถม้าไปโน่นมานี่อีก ชุดเจ้าสาวของฉีฉีข้าทำเองได้เจ้าไม่ต้องช่วย” เสียงของฉินซื่อเอ่ยบ่นบุตรสาว ดังออกมาจากเรือนของนาง “ท่านแม่ฉีฉีของพวกเราจะออกเรือนทั้งที นางไม่ยอมรับสินเดิมจากพวกเรา มีเพียงชุดแต่งงานนี่แหละ ที่พวกเราพอจะทำให้นางได้” หลินลู่ฉีกระแอมเบา ๆ สองแม่ลูกก็หันมามองนางในทันที “เจ้ามาแอบฟังข้ากับท่านแม่พูดคุยกันใช่ไหม” “พี่จื่อเหยาท่านใส่ร้ายข้า” นางออดอ้อนเป็นเด็กน้อยทันที &ld