หลินลู่ฉีอยากลงเดินเพื่อให้หวงชางได้เบาหลังบ้าง แต่พอนางเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ทิ้งระยะห่างจากคนตระกูลหวงเสียแล้ว โทษใครได้ขานางสั้นเกินไปจริง ๆ
“เจ้าอยากเดินนักเป็นอย่างไรล่ะ” หวงจื่อถงจิ้มจมูกเล็ก ๆ ของนาง “มาขี่หลังข้า ให้ท่านพ่อได้พักบ้าง” เขาย่อตัวลงหวังให้น้องสาวตัวน้อยได้ขี่หลัง
หลินลู่ฉีมองดูร่างผอมแห้งของเขาแล้วหนักอึ้งในใจ นางเงยหน้าขึ้นมองหวงชางกับฉินซื่อ
“ให้พี่ชายของเจ้าลองดู ไหวหรือไม่เดี๋ยวก็รู้” หวงชางยิ้มระหว่างมองสบสายตากับเด็กน้อย
เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ ไม่ถึงครึ่งลี้หวงจื่อถงก็ไม่ไหวเสียแล้ว เป็นหวงชางที่ต้องแบกหลินลู่ฉีต่อไป ส่วนหวงจื่อเหยานางสามารถเดิน สลับขี่หลังฉินซื่อผู้เป็นมารดาได้
ใช้เวลาสองวันก็ออกจากป่าเขาได้ พวกเขาเห็นกำแพงอำเภอหยางอยู่ไม่ไกลเท่าใดนัก ครึ่งวันก็น่าจะเดินทางไปถึง หลินลู่ฉีที่ถูกจับนั่งรถม้ามาที่ชายแดน ตอนนี้กำลังจะไปอำเภอหยางที่อยู่ไม่ห่างจากชายแดนอีก เกรงว่าคงไม่ใช่สถานที่ที่ปลอดภัยเท่าใดนัก เหตุใดตระกูลหวงถึงเลือกมาที่นี่กันนะ
นางมาเข้าใจเรื่องราว ยามได้ผ่านประตูอำเภอหยางเข้าไปแล้ว นางเจียงมีญาติผู้หนึ่งอยู่ในอำเภอหยางแห่งนี้ เป็นน้องสาวของมารดานาง ชื่อว่าเจียงชุน ถูกเศรษฐีจากอำเภอหยางรับไปเป็นอนุภรรยา
นางเจียงไม่มีบ้านเดิมให้กลับ ทุกคนล้มหายตายจากไปหมดแล้ว จึงเหลือเพียงท่านน้าผู้นี้ ที่ยังพอจะบากหน้ามาขอความช่วยเหลือได้
“ยายเฒ่าเจ้าแน่ใจนะ ว่าท่านน้าชุนผู้นี้จะช่วยเหลือพวกเราได้” หวงจงไม่เคยพบเจอหน้าของเจียงชุนมาก่อน เขาไม่มีความมั่นใจแต่อย่างใด
“ข้าก็ไม่แน่ใจนักหรอกตาเฒ่า แต่ว่ายามที่ท่านน้าอยู่บ้านเดิมนั้น นางเอ็นดูข้าเป็นอย่างมาก หากรู้ว่าหลานสาวคนนี้ลำบาก นางคงไม่นิ่งดูดายหรอก”
นางเจียงไม่เคยเห็นท่านน้าผู้นี้อีกเลย นับจากวันที่เกี้ยวเจ้าสาวถูกหามออกไป นี่เรียกว่าวัดดวงของจริง
หลินลู่ฉีฟังไปก็ท้อแท้ตามไปด้วย ทำอย่างไรได้ไม่มีใครสนใจ ฟังคำพูดของเด็กน้อยหรอก
นางเจียงถามชาวบ้านในอำเภอหยาง ว่ารู้จักเรือนของเศรษฐีหม่าหลิวหยางหรือไม่ เขาเป็นเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของอำเภอแห่งนี้ พ่อค้าแผงขายเครื่องประดับสตรี ที่เปิดแผงอยู่ข้างทาง มองคนตระกูลหวงแล้วส่ายหน้าไปมา
“ขอทานอย่างพวกเจ้าจะไปเรือนเศรษฐีหม่าทำไม”
“เพ้ย ๆ ตาสุนัขข้างไหนของเจ้า กล้าดีมาว่าข้าเป็นขอทาน” นางเจียงถลกแขนเสื้อจะเข้าไปสู้กับพ่อค้า หวงจงรีบดึงแขนภรรยาตัวเองเอาไว้
พ่อค้าคว้าไม้กวาดออกมา เตรียมกวาดเศษฝุ่นใส่พวกเขา
“คงจะไปขอทานหน้าบ้านตระกูลหม่าล่ะสิ หน้าไม่อายจริง ๆ พวกลี้ภัยอย่างพวกเจ้า ไม่มาขอทานก็มาสร้างปัญหา ให้คนในอำเภอหยาง รู้เอาไว้ซะว่าคนที่นี่ไม่ต้อนรับ ไสหัวไปเลย !”
“ยายเฒ่าไปก่อนเถอะ ไปถามคนอื่นก็ได้”
หวงจงลากนางเจียงออกไปจาก แผงขายเครื่องประดับสตรี ไม่อย่างนั้นแล้วคงได้กินฝุ่นกันเต็มปาก
คนอื่นในครอบครัวพากันเดินตามหลังสองสามีภรรยาไป หวงชางเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนที่สุดในบรรดาสามพี่น้อง เขาเข้าไปถามแม่เฒ่าขายโจ๊กที่ดูหน้าตาใจดีด้านข้าง จึงได้รู้ว่าต้องเดินไปอีกสองตรอกด้านหน้า
เมื่อไปถึงหน้าเรือนของเศรษฐีหม่า นางเจียงรีบยืดอกบอกคนเฝ้าประตู ว่านางเป็นญาติของเจียงชุนอนุภรรยาของเศรษฐีหม่า แทนที่นางจะได้รับการต้อนรับประดุจญาติมิตร กลับถูกพวกเขาปิดประตูใส่หน้า พร้อมสาดน้ำไล่อีกต่างหาก
“ไปให้พ้น ! ที่นี่ไม่มีอนุภรรยาแซ่เจียง”
“นี่มันเป็นไปได้อย่างไร ก็ท่านน้าชุนแต่งมาเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีหม่าจริง ๆ”
นางเจียงตกตะลึงกับคำพูดของคนเฝ้าประตู นางถลาเข้าไปทุบประตูให้พวกเขาเปิด ทว่าด้านในกลับไร้การตอบสนอง นางไม่ยอมแพ้ทุบประตูหนักขึ้นกว่าเดิม เรียกให้คนอื่น ๆ ไปช่วยทุบประตูอีกแรง
คนด้านในทนไม่ไหวอีกต่อไป ประตูบานใหญ่ถูกเปิดออกมาอีกครั้ง ทว่ายามนี้คนที่ออกมากลับไม่ใช่คนเฝ้าประตู ดูไปแล้วเหมือนสตรีอาวุโสในเรือน
“หากพวกเจ้ายังทุบประตูบานนี้อยู่อีก ข้าจะให้คนตัดมือของพวกเจ้าทิ้งเสีย !”
คนตระกูลหวงซ่อนมือไว้ด้านหลังกันหมด สตรีนางนี้ดุร้ายเกินไปแล้ว
“ท่านป้า ๆ พวกข้าไม่ได้มาหาเรื่องแต่ใดอย่าง” นางเจียงรีบใช้ไม้อ่อนพลิกแพลงตามสถานการณ์
“ข้าไม่มีญาติเป็นขอทาน” แม่บ้านตระกูลหม่าเบี่ยงตัวหนีนางเจียงอย่างรังเกียจ
นางเจียงสะอึกจนพูดแทบไม่ออก
จ้าวซื่อรีบแทรกเข้ามาช่วยพูดแทน “นายหญิงท่านนี้ คือว่าท่านแม่สามีของข้าเป็นหลานสาวของท่านน้าเจียงชุน ที่เป็นอนุภรรยาของเศรษฐีหม่า ท่านพอจะให้พวกเราเข้าไปเยี่ยมนางได้หรือไม่”
ใครจะคิดว่าแม่บ้านตระกูลหม่า กลับส่งเสียงหัวเราะดังลั่นออกมา สายตาที่มองคนตระกูลหวง นั้นเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
“นายหญิงเหตุใดท่านถึงได้หัวเราะเช่นนั้นเล่า” จ้าวซื่อไม่เข้าใจจึงเอ่ยถามไปตามตรง
“ตระกูลหม่าแห่งนี้ไม่มีอนุภรรยาแซ่เจียงอีกต่อไป นับตั้งแต่นายท่านหม่าได้เสียชีวิตไปเมื่อสามปีก่อน นางเจียงชุนก็ถูกขับไล่ออกไปแล้ว พวกเจ้ามาหาผิดที่แล้วล่ะ เด็ก ๆ หากมีคนตระกูลเจียงมาหาคนอีก ให้ตีขาหักแล้วโยนทิ้งได้เลย !”
ปัง ! แม่บ้านตระกูลหม่าเอ่ยจบ ประตูใหญ่ก็ถูกปิดลงอีกหน
ชาวบ้านละแวกนั้นไม่พลาดที่จะมาชมเรื่องรื่นเริงของเพื่อนบ้าน บางคนหัวเราะสมน้ำหน้าบางคนส่ายหน้าอย่างเวทนา นางเจียงเกือบทรงตัวไม่อยู่ ดีที่สามีของนางพยุงเอาไว้ทัน
“ยายเฒ่าเจ้าไปหาที่นั่งพักก่อนเถอะ”
หวงจงพาภรรยาไปนั่งพักที่ข้างทาง พวกเขามีทั้งเด็กผู้ใหญ่ นับรวมกันสิบกว่าชีวิต ใครผ่านไปมาก็ต้องให้ความสนใจ
“พี่จื้อเอาอย่างไรดีทีนี้” จ้าวซื่อไม่คิดว่าการลี้ภัยจะเจออุปสรรคมากมายถึงเพียงนี้ แต่สามีของนางกลับส่ายหน้าไม่รู้เหมือนกัน
หลินลู่ฉีที่ลงมาเดินเองตั้งนานแล้ว นางกระตุกมือหวงชางเบา ๆ
“ฉีฉีมีอะไร”
“ท่านลุงลองไปถามคนพวกนั้นดู” นางเอ่ยเบา ๆ ป้าข้างบ้านย่อมรู้ดีกว่าใคร
“จริงด้วย” หวงชางเดินไปบอกมารดากับบิดา ว่าเขาจะลองไปถามเพื่อนบ้านที่ออกมามุงดูเมื่อครู่นี้ เผื่อจะรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง
หวงชางไปถามมาหลายคนเกือบจะหมดหวังอยู่แล้ว ทันใดนั้นมีรถม้าคันหนึ่ง มาจอดอยู่หน้าประตูบ้านฝั่งตรงข้าม เขาลังเลเล็กน้อยก่อนจะวิ่งเข้าไปถามด้วยความเกรงใจ ไม่คิดว่าสตรีนางนั้นกลับรู้เรื่องของนางเจียงชุน เขารีบกลับไปบอกมารดาด้วยความดีใจ
“ว่าอย่างไรนะไปอยู่หมู่บ้านนอกอำเภอ” นางเจียงนึกว่าตัวเองฟังผิด
“ขอรับท่านแม่ ท่านป้าผู้นั้นบอกว่าหลายปีก่อน ลูกชายคนเดียวของท่านยายเจียง ตายไปพร้อมภรรยาระหว่างเดินทางไปทำการค้า เหลือลูกสาวไว้แค่คนเดียว ต่อมาเศรษฐีหม่าตายด้วยโรคชรา ภรรยาเอกกลับไล่ท่านยายออกจากเรือน ทั้งยังไม่ให้ทรัพย์สินติดตัวเลย บอกว่าท่านยายเป็นตัวกาลกิณี ทำให้ลูกชายลูกสะใภ้และสามีต้องตาย ท่านยายนำปิ่นปักผมที่ติดตัวไปขาย แล้วพาหลานสาวไปซื้อบ้านอยู่ที่หมู่บ้านหยางฮัว”
หวงชางได้แต่สะท้านใจในชะตากรรมของท่านยายเจียง
“กลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร”
นางเจียงไม่อยากยอมรับ นางฝากความหวังไว้กับท่านน้าผู้นี้มากนัก เหตุใดถึงได้โชคร้ายเช่นนี้
“ท่านแม่ในเมื่อมาแล้ว พวกเราก็ควรไปหาท่านยาย อย่างน้อยมีที่หลับนอนก็ยังดีนะขอรับ”
หวงจื้อออกความเห็นบ้าง
“พวกเจ้าล่ะว่าอย่างไร”
บิดาของเขาหันไปถามบุตรชายอีกสองคน
“ข้าแล้วแต่ท่านพ่อขอรับ” หวงเต๋อไม่มีความเห็นอื่น
“ถือว่าไปเยี่ยมท่านยายกันเถอะ ส่วนท่านยายจะมีที่ให้หลับนอนหรือไม่นั้นไม่เป็นไรหรอก ระหว่างทางพวกเราก็นอนกลางดินกินกลางทรายกันมาก่อน” คำพูดของหวงชางทำให้ทุกคนรู้สึกผ่อนคลายขึ้น
เมื่อผ่านการเดินทางแสนลำบากมามากมาย เหตุใดจะทนลำบากต่ออีกหน่อยไม่ได้
“แต่เงินข้าหมดแล้ว” นางเจียงหมดเนื้อหมดตัวแล้วจริง ๆ
หวงชางพลันนึกขึ้นได้ “ท่านป้าผู้นั้นบอกว่าหมู่บ้านหยางฮัว ใช้เวลาเดินทางแค่ครึ่งชั่วยามก็ถึงแล้ว พวกเราเดินไปตอนนี้ยังทันนะขอรับ” ครึ่งชั่วยามไม่ถือว่าไกลเท่าใดนัก
“เจ้าสามพูดถูก ยายเฒ่าพวกเรารีบออกเดินทางกันเถอะ อยู่ที่นี่ไปก็เปล่าประโยชน์”
“เอาตามที่ตาเฒ่าว่ามานั่นแหละ” นางเจียงก้มหน้าเหนื่อยใจเป็นที่สุด
คนตระกูลหวงจึงออกเดินทางอีกครั้ง คราวนี้หวงชางไปสอบถามเส้นทางกับพวกลากเกวียน จึงได้รู้ว่าเส้นทางที่ไปนั้นเป็นเส้นตรงและเลี้ยวซ้ายแค่เลี้ยวเดียว ผ่านเส้นทางบนภูเขาก็ถึงหมู่บ้านหยางฮัว
บทที่ 8 : เจียงชุน หลินลู่ฉีทนสังขารของเด็กสามขวบไม่ไหว นางหลับบนหลังของหวงชางไปตลอดเส้นทาง รู้ตัวอีกทีก็ถึงหน้าเรือนของท่านยายเจียงแล้ว แม้จะอยู่ในชนบทแต่เรือนของท่านยายเจียงกลับสร้างด้วยอิฐ ซึ่งแตกต่างจากบ้านของชาวบ้าน ที่ส่วนใหญ่สร้างด้วยดิน หมู่บ้านหยางฮัวมีคนสร้างบ้านด้วยอิฐเพียงสองหลังเท่านั้น คือของผู้ใหญ่บ้านกับท่านยายเจียง หลินลู่ฉีมองสำรวจด้วยสายตาคร่าว ๆ หมู่บ้านแห่งนี้อยู่ด้านหน้าภูเขา มีราวห้าสิบหลังคาเรือนเท่านั้น คงมีชาวบ้านราว ๆ สองร้อยกว่าคน ท่านยายเจียงแลดูจะตกใจ กับจำนวนลูกหลานเหลนที่มาพึ่งพาเกือบยี่สิบคน ทว่าท่านกลับให้การต้อนรับเป็นอย่างดี “ท่านน้าข้าลี้ภัยมาพึ่งใบบุญของท่าน ไม่คิดว่าจะถูกตระกูลหม่า ขับไล่ออกมาเหมือนหมูเหมือนหมาเช่นนี้” นางเจียงร้อ
บทที่ 7 : ไปให้พ้น ! ที่นี่ไม่มีอนุภรรยาแซ่เจียง หลินลู่ฉีอยากลงเดินเพื่อให้หวงชางได้เบาหลังบ้าง แต่พอนางเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ทิ้งระยะห่างจากคนตระกูลหวงเสียแล้ว โทษใครได้ขานางสั้นเกินไปจริง ๆ “เจ้าอยากเดินนักเป็นอย่างไรล่ะ” หวงจื่อถงจิ้มจมูกเล็ก ๆ ของนาง “มาขี่หลังข้า ให้ท่านพ่อได้พักบ้าง” เขาย่อตัวลงหวังให้น้องสาวตัวน้อยได้ขี่หลัง หลินลู่ฉีมองดูร่างผอมแห้งของเขาแล้วหนักอึ้งในใจ นางเงยหน้าขึ้นมองหวงชางกับฉินซื่อ “ให้พี่ชายของเจ้าลองดู ไหวหรือไม่เดี๋ยวก็รู้” หวงชางยิ้มระหว่างมองสบสายตากับเด็กน้อย เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ ไม่ถึงครึ่งลี้หวงจื่อถงก็ไม่ไหวเสียแล้ว เป็นหวงชางที่ต้องแบกหลินลู่ฉีต่อไป ส่
บทที่ 9 : เช่าเรือนท่านยายหมี่ ไม่ช้านางหูก็กลับมาพร้อมข่าวดี ท่านยายหมี่ยินดีให้เช่าเรือนส่วนหนึ่ง เรื่องค่าเช่าแล้วแต่ผู้ใหญ่บ้านจะกำหนดให้ นางไม่เรื่องมาก ขอแค่มีรายได้เข้ามาบ้างก็เป็นพอ คืนนี้สามารถเข้าไปอาศัยอยู่ที่เรือนของนางได้เลย “ท่านยายจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าให้ข้าตั้งหนึ่งเดือน ข้าไม่รู้จะตอบแทนท่านยายอย่างไรดี ขอบคุณท่านยายมากขอรับ” หวงชางคุกเข่าลง โขกศีรษะคำนับให้ท่านยายเจียง “เหลวไหลอันใด รีบลุกขึ้นได้แล้ว เจ้าเป็นหลานชายข้า เงินแค่ไม่กี่สิบอีแปะข้าจะออกให้ไม่ได้รึ” ท่านยายเจียงโบกมือใส่เขาคล้ายโมโห นางไม่ได้บอกคนตระกูลหวง ว่าตัวเองมีรายได้จากช่องทางไหน แต่แอบกำชับผู้ใหญ่บ้านก่อนออกมา ไม่ให้บอกเรื่องให้เช่าที่นาเกือบร้อยหมู่กับญาติของนาง&nb
บทที่ 6 : ฉีฉีมองเห็นบ้างไหม เมื่อรู้ว่ามีภัยอันตรายเข้ามาใกล้ พวกเขารีบเก็บของ พากันคลำทางในความมืดไปจากตรงนี้ เพราะเป็นคืนเดือนมืดทุกคนจึงต้องจับมือเดินตามหลังกันไป “ข้ามองไม่เห็นทางแล้วท่านพ่อท่านแม่ หากก้าวพลาดอาจได้รับบาดเจ็บได้” หวงจื้อเป็นคนนำทางเขาเกิดกลัวขึ้นมา “เจ้าใหญ่เงียบ ๆ หน่อย ข้าได้ยินเสียงคนตามหลังพวกเรามาแล้ว พวกมันจุดคบเพลิงด้วย รีบไป ๆ” หวงจงเร่งบุตรชาย หลังจากเห็นแสงไฟอยู่ไม่ไกลเท่าใดนัก ทว่าหวงจื้อกลับไม่กล้าเดินต่อ พวกเขาไม่มีคบเพลิงและข้างหน้าก็ล้วนแต่เป็นป่าเขา “ท่านพ่อสามีข้ามองไม่เห็นทาง ให้คนอื่นมานำทางเถอะ” จ้าวซื่อรีบดึงแขนสามีมาหลบอยู่ด้านหลังนางเจียง&nbs
บทที่ 5 : พี่ชายเจ็บหรือไม่ กระนั้นวาจาถากถางจากนางเจียง ก็ยังลอยมาตามสายลม คำว่าตัวอัปมงคล ตัวกินล้างกินผลาญ ด่าลามไปถึงครอบครัวของหวงชางทุกคน ด่าจนหลินลู่ฉีรู้ประวัติความเป็นมาของพวกเขาไม่มากก็น้อย นางเจียงกับหวงจงนั้นแม้จะเป็นปู่ย่าคนแล้ว แต่อายุเพียงแค่สี่สิบปลาย ๆ เท่านั้น บุตรชายทั้งสามคนอายุยังไม่ถึงสามสิบสักคน บุตรสาวเพียงคนเดียวนั้นน่าจะเพิ่งผ่านวัยปักปิ่นมา หลินลู่ฉีรู้ว่าคนอื่นไม่ยินดี ที่หวงชางกับฉินซื่อให้นางร่วมเดินทางไปด้วย ระหว่างทางจึงได้ยินวาจาเย้ยหยันอยู่ตลอดเวลา ไม่เว้นกระทั่งหลาน ๆ ของพวกเขาเอง ว่างเมื่อไหร่เป็นต้องวิ่งมากลั่นแกล้งนางอยู่เรื่อย ดีที่หวงจื่อถงอยู่ข้างกาย เขาคอยตะโกนบอกบิดามารดาอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดปากเสียงกันอยู่ร่ำไป กระทั่งลงไม้ลงมือกันก็มี “นังตัวซวยพวกเจ้าเห็นหรือยัง พอมีนางเข้ามาหลาน ๆ ของข้าก็ตีกันเสียแล้ว” นางเจียงลูบหลังปลอบหลานชายสุดที่รักของตน หวงชุนฟงคือบุตรชายคนโต ที่เกิดจากหวงจื้อกับจ้าวซื่อ “ท่านแม่ฟงเอ๋อร์อายุเท่าไรแล้ว ยังมารังแกฉีฉีของพวกเรา นางก็แค่เด็กสองสามขวบเองนะเจ้า
บทที่ 4 : แบ่งให้ข้าคนละคำก็พอแล้วเจ้าค่ะ “ไม่ได้นะเจ้าคะท่านแม่ นางยังมีลมหายใจอยู่เลย ข้าไม่อาจทิ้งนางได้ ท่านแม่มองดูสิเจ้าคะ แถวนี้มีคนดี ๆ ที่ไหนกันหากปล่อยนางเอาไว้เช่นนี้ คงถูกสัตว์ร้ายทำอันตรายเอาได้” สัตว์ร้ายไม่เท่าไรหรอก เกรงแต่มนุษย์ด้วยกันนี่แหละที่จะทำร้ายกันเอง นางเคยได้ยินเรื่องผู้ลี้ภัยหิวโหย ถึงขึ้นกินเนื้อเด็กทารกแรกเกิดด้วยซ้ำ “นังคนอกตัญญู ลูกตัวเองจะอดข้าวตายอยู่แล้วยังไม่สำนึก เกิดอยากเป็นคนใจดี เหตุใดข้าถึงได้แต่งสะใภ้เบาปัญญาเช่นนี้เข้าบ้าน สวรรค์หนอสวรรค์ เหตุใดถึงได้โหดร้ายกับข้านัก” นางเจียงร่ำร้องคล้ายคนถูกกระทำอย่างโหดร้าย หากไม่ติดว่ากำลังลี้ภัยอยู่ นางคงลงไปนั่งตบตีต้นขาอยู่บนพื้นแล้ว ฉินซื่อเริ่มทำตัวไม่ถูก “ท่านแม่ข้าไม่ได้..” นางเจียงชี้นิ้วใส่นาง “เจ้าหุบปาก หากเจ้ายังไม่ทิ้งเด็กนั่นไปอีก อย่ามาเรียกข้าว่าแม่ !” ฉินซื่ออุ้มเด็กเดินไปหลบอยู่ข้างหลังของสามี ด้านข้างมีบุตรชายกับบุตรสาวยืนอยู่ พวกเขาเหมือนกำลังตกใจกับคำด่าทอของผู้เป็นย่า แต่กระนั้นฉินซื่อก็ส่งสายตาให้สามี ว่านาง