หลินลู่ฉีทนสังขารของเด็กสามขวบไม่ไหว นางหลับบนหลังของหวงชางไปตลอดเส้นทาง รู้ตัวอีกทีก็ถึงหน้าเรือนของท่านยายเจียงแล้ว แม้จะอยู่ในชนบทแต่เรือนของท่านยายเจียงกลับสร้างด้วยอิฐ ซึ่งแตกต่างจากบ้านของชาวบ้าน ที่ส่วนใหญ่สร้างด้วยดิน หมู่บ้านหยางฮัวมีคนสร้างบ้านด้วยอิฐเพียงสองหลังเท่านั้น คือของผู้ใหญ่บ้านกับท่านยายเจียง
หลินลู่ฉีมองสำรวจด้วยสายตาคร่าว ๆ หมู่บ้านแห่งนี้อยู่ด้านหน้าภูเขา มีราวห้าสิบหลังคาเรือนเท่านั้น คงมีชาวบ้านราว ๆ สองร้อยกว่าคน ท่านยายเจียงแลดูจะตกใจ กับจำนวนลูกหลานเหลนที่มาพึ่งพาเกือบยี่สิบคน ทว่าท่านกลับให้การต้อนรับเป็นอย่างดี
“ท่านน้าข้าลี้ภัยมาพึ่งใบบุญของท่าน ไม่คิดว่าจะถูกตระกูลหม่า ขับไล่ออกมาเหมือนหมูเหมือนหมาเช่นนี้”
นางเจียงร้องห่มร้องไห้ เล่าเรื่องที่หน้าประตูใหญ่ของตระกูลหม่าให้ฟังอีกด้วย “ที่บ้านพวกข้าดินแห้งแล้ง เพาะปลูกไม่ได้มาสองสามปีแล้ว มาปีนี้หนักสุด เก็บเกี่ยวไม่ได้เลย ข้าจำต้องหอบลูกหลานมาหาท่านในวันนี้”
นางเจียงคร่ำครวญถึงชีวิตที่ยากลำบาก ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ไม่ถึงที่สุดคนตระกูลหวง คงไม่ลี้ภัยหนีกันทั้งหมู่บ้าน
“เอาล่ะ ๆ เจ้าก็อย่าร้องไห้อีกเลยอาเหมย น้าของเจ้าไม่ได้มีทรัพย์สินติดตัวออกมา บ้านใหญ่วางแผนไม่เหลือทางเดินให้ข้า โชคดีแค่ไหนที่เครื่องประดับติดกายยังมีราคา ให้พอขายมาซื้อที่ดินปลูกบ้านได้”
ท่านยายเจียงลูบหลังปลอบหลานสาวของตนไป ทว่าไม่อาจซ่อนแววตาหนักใจเอาไว้ได้
“ท่านน้า นี่สามีข้าหวงจง นั่นหลาน ๆ ของท่าน ลูกชายคนโตของข้า หวงจื้อ คนรองหวงเต๋อ หวงชางและลูกสาวคนเดียวของข้าหวงไป๋หลาน”
คนที่ถูกเรียกชื่อรีบเข้ามาคารวะท่านยายเจียง จากนั้นก็เป็นบรรดาลูกสะใภ้แล้วก็เด็กในตระกูล
“คำนับท่านยาย /ท่านยายทวด ” พวกเขาทักทายอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ส่วนเด็กนั่นนอนสลบอยู่ข้างทาง เจ้าสามกับเมียไม่เจียมตัว ไปเก็บมาให้เป็นภาระ ท่านน้าไม่ต้องรู้จักนางหรอก” นางเจียงยังเคืองคนบ้านสาม จึงพูดไม่ดีใส่พวกเขาไป
ท่านยายเจียงทำเพียงพยักหน้าไม่เอ่ยคำใด หันไปทางหลานสาวที่ยืนอยู่ด้านหลัง “นี่คือหม่าซูเหวินหลานสาวคนเดียวของข้า”
หม่าซูเหวินอยู่ในวัยปักปิ่นเช่นเดียวกับหวงไป๋หลาน นางก้าวออกมาทำความเคารพทุกคนอย่างรู้ความ การนับญาติค่อนข้างลำบากเล็กน้อย นางจึงไม่เอ่ยชื่อใครออกมา ทำเพียงคำนับส่วนรวมเท่านั้น
“เหวินเอ๋อร์เจ้าไปเตรียมอาหารให้ทุกคนก่อน”
“เจ้าค่ะท่านย่า”
“ท่านแม่ข้าไปช่วยน้องซูเหวินทำกับข้าวนะเจ้าคะ” ฉินซื่อเห็นว่าคนเยอะขนาดนี้ อีกฝ่ายทำคนเดียวจะไปพออะไร จึงได้อาสา
“ไปเถอะ” นางเจียงปัดมือไม่ใส่ใจ ส่วนสะใภ้คนอื่นกลับนิ่งเฉย
ท่านยายเจียงนิ่วหน้าเล็กน้อย ทว่าไม่เอยคำพูดใดออกมา ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า
“เด็ก ๆ ไปวิ่งเล่นหน้าบ้านก่อนดีไหม”
“ท่านยายทวดพวกข้าเดินมาตลอดทางเหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว ขอห้องนอนพักก่อนได้ไหมขอรับ” หวงชุนฟงถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก เขาไม่ได้รู้สึกเกรงใจเจ้าของบ้านแม้แต่น้อย
“ฟงเอ๋อร์นี่ไม่ใช่บ้านของเรา ขออภัยด้วยท่านน้าด้วย เขาไม่รู้ความจริง ๆ” หวงจงขายหน้ายิ่งนัก
“ข้าพูดความจริงนี่” หวงชุนฟงกลับไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย
ท่านยายเจียงคลึงถ้วยชาเบา ๆ ในใจนิ่งลึกยากจะหยั่งถึงได้
“ท่านน้าเจ้าคะ” นางเจียงเห็นผู้เป็นน้านิ่งเงียบไปนาน จึงได้เอ่ยเรียก
“ไม่เป็นไร ๆ ข้าไม่ถือสาหาความเด็ก อย่างที่พวกเจ้าเห็นเรือนข้าอยู่กันสองคน มีห้องว่างอีกสองห้องเท่านั้น พวกเจ้ามีกัน” นางหยุดเอ่ยแล้วนับนิ้วไปด้วย “หากนับไม่ผิดสิบเจ็ดคนเห็นจะได้”
“เดิมทีสิบหกคนเจ้าค่ะ นั่งเด็กนอกคอกนั่น ท่านน้าไม่ต้องนับรวม”
หวงจื่อถงกับน้องสาวขยับเข้าไปโอบกอดหลินลู่ฉีหลังได้ยิน สายตาพวกเขาสองพี่น้อง ไม่เห็นด้วยกับคำพูดของผู้เป็นย่า ฉีฉีของพวกเขาน่ารักจะตายไป เหตุใดถึงไม่นับรวมเล่า
หลินลู่ฉีซาบซึ้งน้ำตาแทบไหล เหตุใดเด็กน้อยสองคนนี้ ถึงได้น่ารักนักเล่า ฝ่ามืออบอุ่นของหวงชางกับภรรยา วางทาบลงบนศีรษะของนางพร้อมกัน
ข้าน้ำตาจะไหลอยู่แล้วนี่
ท่านยายเจียงกำลังจัดสรรปันห้องอยู่ “ห้องว่างสองห้องให้เจ้ากับหลานเขยอยู่ อีกห้องก็ให้”
“เจ้าใหญ่เจ้าค่ะ ให้เจ้าใหญ่กับครอบครัวอยู่” นางเจียงรีบเอ่ย
“ได้ ๆ ทีนี้ก็จะเหลือห้องเก็บของอีกห้อง”
“เจ้ารองเจ้าค่ะ บ้านเจ้ารองอยู่” นางเจียงเอ่ยอีก
“เอ่อ ไม่เหลือห้องแล้ว” ท่านยายเจียงมีลานห้องโถงรับแขกไม่ได้กว้างนัก แค่วางโต๊ะน้ำชากับโต๊ะกินข้าวก็กินพื้นที่หมดแล้ว จึงไม่เหลือที่ว่างให้ครอบครัวของหวงชางได้อยู่อาศัย
นางเจียงค่อนข้างไม่ชอบบ้านสาม นางไม่ชอบสะใภ้สามที่เป็นเพียงเด็กถูกเก็บมาเลี้ยง แต่หวงชางกลับหลงรักนาง หากไม่แต่งกับนางเขาก็จะออกบวชตลอดชีวิต
จึงเป็นการแต่งงานที่นางไม่ยินยอม มีแต่ความเกลียดชังคนบ้านสาม ถึงพวกเขาจะมีหลานชายให้หนึ่งคนนางก็ไม่สนใจ เพราะอย่างไรบ้านใหญ่ก็มีหลานชายถึงสองคน อีกทั้งยังได้รับการเล่าเรียนทั้งคู่
“เดิมทีขยับโต๊ะตรงลานห้องโถงนี่ก็พอได้ แต่ว่าบ้านสามของพวกเจ้ามีกันห้าคน เกรงว่าจะแออัดเกินไป”
ท่านยายเจียงหันไปเอ่ยกับหวงชาง เกรงว่าเขาจะเข้าใจผิดว่านางไม่ต้อนรับ
“ข้าเข้าใจขอรับ ท่านยายไม่ต้องเป็นห่วง พวกข้านอนข้างนอกลานกว้างนั่นก็ได้”
“ไม่ได้ ๆ มีเด็กถึงสามคนจะปล่อยให้นอนข้างนอกได้อย่างไร ข้าจะไปถามผู้ใหญ่บ้านดู ว่าพอมีจะบ้านใครเหลือห้องว่าง ไปขอเช่าพวกเขาอยู่สักวัน”
“ไม่ต้องหรอกท่านน้า คือว่าพวกข้าไม่เหลือเงินแล้ว” นางเจียงกลัวต้องได้ออกค่าเช่าเรือนให้บ้านสาม
“ข้าไปถามดูก่อน เจ้าไม่ต้องร้อนใจไป”
“เช่นนั้นข้าไปเป็นเพื่อนท่านยายนะขอรับ”
หวงชางรีบเดินตามหลังท่านยายเจียงไป เขารู้สึกเกรงใจนางเป็นอย่างมาก พอพ้นสายตาคนในบ้าน จึงได้เอ่ยด้วยความอ่อนน้อม
“ท่านยายไม่ต้องหาเรือนให้ข้าหรอกขอรับ ข้านอนห้องเก็บฟืนให้เด็ก ๆ กับภรรยานอนในห้องโถงก็ได้ พวกเราตื่นเช้าหน่อย จะได้ไม่เกะกะเวลาพวกท่านตื่นนอนกัน”
ท่านยายเจียงหันหลังกลับมามองหลานชายคนนี้ใหม่ เด็กดีเช่นนี้เหตุใดนางเจียงถึงได้ไม่ใส่ใจเขา กระทั่งภรรยาของเขา ยังออกปากไปช่วยหลานสาวของนางทำกับข้าว ต่างกับหลานสะใภ้คนอื่นลิบลับ
“หวงชางเจ้าอย่าได้เกรงใจ ไปถามผู้ใหญ่บ้านก่อน ได้ไม่ได้ค่อยว่ากันอีกที”
“ขอรับ”
ผู้ใหญ่บ้านมีนามว่าเถิงคุนอายุราวสี่สิบกลาง ๆ ท่านยายเจียงเป็นสมาชิกใหม่ของหมู่บ้านหยางฮัว แต่กลับซื้อที่นาเกือบร้อยหมู่ มอบให้ชาวบ้านได้เช่าทำกินกัน เถิงคุนจึงให้ความเกรงใจนางอยู่ไม่น้อย
“ท่านยายเจียงเกรงว่าจะไม่เหลือบ้าน ให้หลานชายของท่านได้พักแล้วจริง ๆ” ไม่ใช่ว่าไม่มี แต่ไม่มีบ้านหลังไหนเต็มใจ ให้คนแปลกหน้ามาอาศัยอยู่ด้วย
“ผู้ใหญ่บ้านข้าสามารถเช่าเรือนได้ พอให้หลานชายข้ากับเมียและลูก ๆ ของเขา ได้อยู่ก่อนชั่วคราวได้หรือไม่”
“ถึงเช่าก็ใช่ว่าจะมีห้องพอให้พวกเขาอยู่ แต่เดี๋ยวนะ” เถิงคุนเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ รีบเรียกนางหูภรรยาเข้ามาถาม
“แม่เจ้าไปถามบ้านท่านยายหมี่ให้ข้าที เรือนของนางมีห้องว่างให้ญาติของท่านยายเจียง เช่าอยู่ชั่วคราวหรือไม่”
“ได้ ๆ ว่าแต่จะอยู่กันกี่คนล่ะ”
“ผู้ใหญ่สองเด็กอีกสามคนขอรับ” หวงชางรีบเอ่ยบอก
“ข้าจะไปถามให้เดี๋ยวนี้แหละ”
“ขอบคุณขอรับท่านป้า”
นางหูพยักหน้าให้เขาหันไปมองสามีก่อนจากไป สายตาของนางบอกว่าหวงชางผู้นี้นอบน้อมน่าช่วยเหลือ
“ท่านยายหมี่อยู่คนเดียว ลูกหลานไม่มาเยี่ยมเยียนแม้แต่คนเดียว ชาวบ้านต่างก็บอกว่าพวกเขาอกตัญญูไม่รู้คุณ แต่ข้าเกรงว่าพวกเขาอาจเกิดเรื่องร้าย จนไม่สามารถกลับมาเยี่ยมแกก็เป็นได้”
เถิงคุนเกริ่นบอกล่วงหน้า เพื่อที่หวงชางจะได้เข้าใจที่มาที่ไปของท่านยายหมี่
บทที่ 252 : ฮูหยินลูกแย่งที่นอนข้า หวงชางพยักหน้าลงเล็กน้อย “ได้ต่อไปข้ากับอาอี้จะเรียกเจ้าว่าอี้หาน เจ้ากลับบ้านเดิมภรรยาทั้งที เหตุใดต้องหอบของขวัญมามากมายถึงเพียงนี้” “แค่ของขวัญเล็กน้อยเท่านั้น” หลินลู่ฉีรีบฟ้อง “ดีที่ข้าห้ามเอาไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นสามีข้าคงขนมาทั้งคลังเป็นแน่” “เจ้าเด็กนี่เรียกสามีข้าเต็มปากเต็มคำ หน้าไม่อายจริง ๆ” ฉินซื่ออดเย้านางไม่ได้ “ท่านป้าท่านล้อข้า” “แต่งงานกันแล้วย่อมเป็นเรื่องธรรมดา อี้หานต่อไปก็รักและดูแลฉีฉีของพวกข้าให้ดี ๆ อย่าทำให้นางต้องเสียใจรู้ไหม” “ขอรับท่านป้าข้ารับปากท่าน ข้าซุนอี้หาน
บทที่ 251 : ข้าอายุสิบแปดปีเองนะ จะรีบร้อนมีลูกไปทำไม หลังจากกินมื้อกลางวันอิ่มกันแล้ว พ่อบ้านได้นำกล่องของขวัญ กับจดหมายมามอบให้หลินลู่ฉี บอกว่าเป็นของท่านอาจารย์ของนางมอบให้ในวันแต่งงาน “อาจารย์ปู่อย่างนั้นรึ” หลินลู่ฉีรีบเปิดซองจดหมายอ่านก่อนเป็นอันดับแรก เนื้อหาในนั้นเป็นการขอโทษ ที่ไม่สามารถเดินทางมาร่วมงานแต่งของนางได้ เพราะระยะทางอยู่ไกลนับพันลี้ แม้เดินทางด้วยม้าเร็วก็คงมาไม่ทันอยู่ดี จึงได้ส่งของขวัญกับจดหมายมาให้แทน นอกจากคำอวยพรแล้ว อาจารย์ปู่ยังมอบป้ายไม้แกะสลักให้นางอีกด้วย ซุนอี้หาน “นี่ป้ายอะไรกัน” “อาจารย์ปู่เขียนบอกว่า เป็นป้ายประจำตัวเจ้าของตำหนักยา” “ตำหนักยา ? นั่นไม่ใช
บทที่ 250 : เมื่อกี้ไม่ใช่ว่าทำกันไปแล้วหรือ ภายในห้องหอซุนอี้หานกำลังเงี่ยหูฟังเสียงจากนอกประตู เมื่อรู้ว่าคนเหล่านั้นไม่อยู่แล้ว จึงได้หันไปทางเจ้าสาวที่นั่งตัวแข็งทื่ออยู่บนเตียงนอน เจ้าไปนั่งบนเตียงตั้งเมื่อไหร่ ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านั่งอยู่บนเก้าอี้รึ ซุนอี้หานทั้งขำทั้งเอ็นดูนาง หลินลู่ฉีกำลังนั่งด้วยความรู้สึกประหม่าแกมตื่นเต้น นางมองผ่านชายผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวสีแดง เห็นเพียงหัวรองเท้าเจ้าบ่าวที่เดินมาหยุดอยู่ เขาเอื้อมจับชายผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว ค่อย ๆ ยกขึ้นตลบไปไว้ด้านหลัง เจ้าสาวผู้มีใบหน้าอันงดงาม ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างเขินอาย ริมฝีปากจิ้มลิ้มเม้มเข้าออก คล้ายคนไม่รู้จะเอ่ยคำพูดใดออกมา “ฉีฉีเจ้างามมาก” ดวงตาปรือเยิ้มมองเจ้าสาวอย่างลุ่มหลง
บทที่ 249 : ใครจะหย่ากับข้า ! บรรดาญาติสหายและคนรู้จัก ที่พากันมาส่งตัวเจ้าสาว ต่างยืนดูพิธีการตรงหน้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้มกันทุกคน “ตอนแรกข้าอยากเสนอตัวแบกเจ้าสาวด้วยตัวเอง แต่ว่าคิดไปคิดมาข้าเทียบหวงจื่อถงไม่ได้จริง ๆ เขามีความเป็นพี่ชายมากกว่าข้าเสียอีก” เซี่ยเฉินจิ่นเอ่ยเบา ๆ เซี่ยเฉินฟู่กอดอกมองภาพตรงหน้า แล้วพยักหน้าลงเบา ๆ “ท่านแบกพี่สาวไม่ไหวหรอก เกิดทำเจ้าสาวหกล้มขึ้นมา ทำฤกษ์มงคลเสียหายหมด ให้พี่จื่อถงแบกนั่นแหละดีแล้ว” เซี่ยเฉินจิ่น “...” เจ้ายังใช่น้องชายข้าอยู่ไหม ฉวีฮูหยิน “ต่อไปนางก็มีครอบครัวของตัวเอง มีสามีลูกมีหลานเต็มบ้าน ไม่เดือดร้อนพวกเจ้าให้เป็นห่วงนางหรอก” ครอบครัวตระกูลเซี่ยยืนมองเกี้ยวเจ้าสา
บทที่ 248 : ข้าซุนอี้หานขอสาบานด้วยชีวิต ข้าจะไม่มีวันทำให้นางเสียใจเด็ดขาด “ฉีฉี” ฉินซื่อลูบศีรษะของนางอย่างอ่อนโยน น้ำตาพลันเอ่อคลอเบ้าตามนางไปด้วย ทั้งลูบทั้งกอดปลอบโยนนาง “เด็กน้อยในวันนั้น ได้นำพาครอบครัวของพวกเรา เดินทางผ่านร้อนผ่านหนาวมาไกลถึงเพียงนี้ รู้ไหมว่าป้าภูมิใจในตัวของเจ้ามากแค่ไหน” “ท่านป้า ฮะฮรึก...ฮือ ๆ ๆ” เป็นครั้งแรกที่ฉินซื่อได้เห็นหลินลู่ฉี ปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมาเช่นนี้ เหมือนกำแพงความเข้มแข็งในใจของนาง ได้พังทลายลงแล้ว “เด็กดีไม่ร้อง ๆ เจ้าสาวจะตาบวมหมดงามเอาได้” “ขะข้า...ฮะฮรึก จะไม่ร้องแล้ว ฮะฮรึก !” คนพูดสะอื้นเป็นจังหวะ “เจ้
บทที่ 247 : หวีครั้งแรกขอให้ชีวิตคู่ยืนยาว หลินลู่ฉีไปหาฉินซื่อที่เรือน พบว่านางกำลังปักชุดเจ้าสาวให้ตัวเองอยู่ หวงจื่อเหยาที่ได้เวลาใกล้คลอดแล้ว นางมาหามารดาเพื่อดูว่ามีอะไรให้ช่วยบ้าง “ท้องโตขนาดนี้ยังขึ้นรถม้าไปโน่นมานี่อีก ชุดเจ้าสาวของฉีฉีข้าทำเองได้เจ้าไม่ต้องช่วย” เสียงของฉินซื่อเอ่ยบ่นบุตรสาว ดังออกมาจากเรือนของนาง “ท่านแม่ฉีฉีของพวกเราจะออกเรือนทั้งที นางไม่ยอมรับสินเดิมจากพวกเรา มีเพียงชุดแต่งงานนี่แหละ ที่พวกเราพอจะทำให้นางได้” หลินลู่ฉีกระแอมเบา ๆ สองแม่ลูกก็หันมามองนางในทันที “เจ้ามาแอบฟังข้ากับท่านแม่พูดคุยกันใช่ไหม” “พี่จื่อเหยาท่านใส่ร้ายข้า” นางออดอ้อนเป็นเด็กน้อยทันที &ld