เกาชุนหลางไม่ลืมที่จะสวมหน้ากากที่นายหญิงน้อยมอบให้ เขารู้สึกมั่นใจขึ้นมากกว่าในอดีตหลายเท่านัก ชายหนุ่มวิ่งมาหยุดที่หน้าร้านขนมเก่าแก่ของเมือง
“เจ้าคนอัปลักษณ์นี่ใครกัน ไยไม่รู้จักหลีกทางให้ข้า”
เสียงนั้นทำให้เกาชุนหลางถึงกับสั่นน้อย ๆ คนที่อยู่เบื้องหลังคือน้องชายต่างบิดานั่นเอง ปึก! คุณชายสกุลเจียงถึงกับเซไปหลายก้าว เมื่อเขาตั้งใจที่จะลงมือต่อคนที่ขวางทาง
“เจ้ากล้าดียังไง มาทำร้ายข้า!”
“ขออภัยขอรับ เท่าที่ข้าน้อยเห็นเป็นท่านที่คิดจะแตะต้องคุณชายของเราก่อน”
เกาชุนหลางหันขวับ! กลับไปมองด้านหลังในทันที ก่อนจะยิ้มแห้ง ๆ เมื่อเห็นว่าเป็นหนึ่งในบ่าวชายในจวน
“สกุลใดกัน! มิรู้หรือว่าที่นี่สกุลเจียงของข้าเป็นใหญ่”
“บุตรชายท่านเจ้าเมือง ใช่ว่าใครจะไม่รู้จักขอรับ แต่ต่อให้ยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ต้องรู้จักมารยาท”
“บังอาจ! ไพร่เยี่ยงกล้าดียังไงมากำแหงต่อข้า”
“เอ่อ...”
เกาชุนหลางคิดที่จะเอ่ยห้ามปราม ทว่ากลับต้องหยุดความคิดนั้นเสีย เมื่อสตรีที่ก้าวเข้ามาคือมารดาของเขาเอง มือหยาบที่จับแขนของบ่าวข้างกาย เผลอบีบแน่น ด้วยความรู้สึกทั้งกรุ่นโกรธและเสียใจ
“จะเป็นคุณชายบ้านใด ก็ต้องรู้จักสูงต่ำบ้าง”
“เจียงฮูหยินเองก็น่าจะทราบดี ว่าทุกคนย่อมเท่าเทียมกัน คุณชายของข้ามาถึงก่อน ไยจึงต้องหลีกทางให้แก่คุณชายเจียงเล่าขอรับ”
“คุณชายท่านนี้สกุลใดกัน ไยจึงไร้ปากเสียงให้บ่าวชั้นต่ำโต้เถียงแทนเช่นนี้เล่า”
“สกุลเกา!”
เสียงเข้มจากด้านหลัง ทำให้ทุกสายตาหันกลับไปมองคนพูด โดยเฉพาะเจียงฮูหยินถึงกับวิงเวียนไปชั่วขณะ เมื่อได้ยินแซ่ของชายหนุ่ม
“เจียงฮูหยินมิถามต่อหรือว่าเขามีชื่อว่าอะไร รึเกรงว่ามันจะตรงกับชื่อที่อยู่ในใจของท่านกัน”
แม่ทัพสาวก้าวผ่านแม่ลูกสกุลเจียง ไปยืนเคียงข้างเกาชุนหลาง ก่อนจะใช้มือวางทาบที่แผ่นหลังของชายหนุ่ม ส่งผลให้เกาชุนหลางต้องยืนหลังให้ตรง ก่อนจะเชิดหน้าแต่พอดี มิใช่ก้มหลบตาสองแม่ลูกเช่นในคราแรก
“ชื่อใดกันในใจของข้า”
“ข้ามิใช่เทพเชียนที่จะเดาได้”
“ว่าแต่เจ้าเองเป็นใครกัน”
“มิตอบคำถามของข้าก่อนเล่า”
รอยยิ้มท้าทายของหญิงสาวตรงหน้า ทำให้สองแม่ลูกเริ่มมีโทสะจนแทบจะคุมไม่อยู่ นางเป็นถึงฮูหยินท่านเจ้าเมือง ทุกคนในนี้ล้วนยำเกรง แต่คนต่างถิ่นแค่ผ่านมา กำแหงต่อเกินไปแล้ว
“ข้าเป็นถึงฮูหยินเจ้าเมือง แค่นักเดินทางชั้นต่ำ มีค่าอันใดให้ข้าต้องเสวนาด้วย”
“มีหรือไม่นั้นก็อยู่ที่ตัวท่านกำหนด เช่นเดียวกับที่ข้ากำหนดให้ท่านมีค่าเท่าใดเช่นกัน ชุนหลางเจ้าจะซื้อขนมให้พี่สาวหรือ ไปเลือกเถอะ”
“ขอรับท่านพี่ไป่หลิน”
ชื่อที่หญิงสาวเรียกชายหนุ่มสวมหน้ากาก ทำให้เจียงฮูหยินถึงกับเซถอยไปหลายก้าว ก่อนจะมองไปที่ร่างสูงในชุดผ้าไหมชั้นดี สกุลเกานามชุนหลาง เขาคือบุตรชายที่ควรตายไปแล้วมิใช่หรือ
“ผิดหวังเช่นนั้นรึ! อย่าเพิ่งรีบผิดหวัง เพราะมันยังมีเรื่องให้ต้องรู้สึกมากกว่านั้นรออยู่”
แม่ทัพสาวเอ่ยขึ้นขณะก้าวผ่านเจียงฮูหยิน หลังจากที่เกาชุนหลางเลือกซื้อขนมเสร็จแล้ว โดยมีบ่าวชายถือสิ่งของให้ ชายหนุ่มหยุดชำเลืองมองมารดาเล็กน้อย ก่อนจะก้าวผ่านไปอย่างคนมิรู้จักกัน
“ท่านแม่ ไยต้องยอมพวกมันด้วยขอรับ”
“จะซื้อสิ่งใดก็สั่งให้ร้านเอาไปส่ง ข้าอยากกลับแล้ว”
เรื่องนี้นางคงต้องรีบบอกสามี มิอย่างนั้นคงทำให้นางและเขาเดือดร้อนในภายหน้าก็เป็นได้ จากเสื้อผ้าและผู้ติดตามของหญิงสาวคนนั้น เรียกว่าฐานะดีเฉย ๆ มิได้แน่นอน ต้องเรียกว่าร่ำรวยมหาศาลถึงจะคู่ควร
เจียงฮูหยินไม่รอที่จะให้บุตรชายซื้อขนมเสร็จ ร่างงามรีบก้าวยาว ๆ ออกจากร้านตรงกลับจวนในทันที นางจะไม่ยอมให้ตนเองต้องตกที่นั่งลำบาก ชีวิตของนางต้องมีเพียงคำว่าสุขสบายไปชั่วชีวิตเท่านั้น
ทางด้านแม่ทัพสาว ที่เดินเคียงข้างเกาชุนหลาง อดไม่ได้ที่จะหัวเราะในลำคอ กับท่าทางราวเด็กน้อยของเขา อาจเป็นเพราะที่ผ่านมานางอยู่ในหมู่บุรุษผู้องอาจ จนเมื่อมาเห็นความอ่อนแอปนอ่อนโยนของเกาชุนหลาง เลยทำให้นางรู้สึกคิดถึงน้องชายที่อยู่อีกโลก
“เจ้าอ่อนโยนได้แต่มิใช่ต้องอ่อนแอ และก็ไม่จำเป็นต้องอวดเบ่งรังแกใครแบบพวกเขา”
“ขอรับนายหญิงน้อย”
“เรียกข้าเช่นที่ร้านขนมสิ! มู่อิงเป็นเสมือนน้องสาวข้า เจ้าก็คือน้องชายข้าอีกคน ขนมที่เจ้าอุตส่าห์วิ่งมาซื้อเสียไกล เป็นของชอบพี่สาวเจ้าสินะ”
“ตอนที่ท่านพ่อยังมีเงินมากมาย ชอบชื้อขนมร้านนี้ให้ข้ากับพี่มู่อิงเสมอขอรับ”
“เจ้าซื้อมาเสียเยอะเลย”
“พี่ไป่หลินข้ามิได้ตั้งใจใช้เงินฟุ่มเฟือยนะขอรับ ข้าแค่อยากให้พี่ ๆ ทุกท่านได้กินขนมเช่นกัน ข้าจะรีบทำงานมาใช้คืนนะขอรับ”
“เงินนั่นของเจ้า และถ้าอยากใช้คืนจริง ๆ เจ้าต้องตั้งใจเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากพ่อบ้านซือ และเป็นเสาหลักให้บิดาและพี่สาวของเจ้า ส่วนเรื่องคนพวกนั้นอย่าได้นำมาใส่ใจ ข้าจะจัดการเอง”
“ขอรับ ท่านพี่ไป่หลิน ข้าจะไม่ทำให้ท่านพี่ทุกท่านผิดหวัง ว่าแต่ทำไมถึงต้องรีบเดินทางเข้าเมืองหลวงเล่าขอรับ”
“งานของพวกข้ายังไม่เสร็จเลยหยุดพักนานไม่ได้ เอาเป็นว่ากลับจากเมืองหลวง ข้าจะรับเจ้ากับพ่อไปเที่ยวแดนเหนือ แต่ในช่วงที่พวกข้ายังไม่กลับมา เจ้าต้องดูแลสุขภาพของท่านลุงและตัวเองให้ดี หาไม่แล้วเจ้าอาจอดติดตามพวกเขาขึ้นเหนือ ถ้าสุขภาพไม่เอื้ออำนวย”
“ขอรับ ข้าสัญญาว่าจะดูแลท่านพ่อและตัวเองให้ดี จะเชื่อฟังท่านพ่อบ้านขอรับ”
“ดี! สิ่งแรกที่เจ้าต้องทำ อย่าได้ก้มหน้าเช่นเมื่อครู่อีก”
“ขอรับ”
มู่อิงที่ติดตามท่านแม่ทัพและน้องชายอยู่ไม่ไกล คลี่ยิ้มละมุนเพราะอย่างน้อย บาดแผลทางใจของน้องชาย ก็ยังมีโอกาสรักษาให้หายได้ แม้ว่าจะต้องใช้เวลาอยู่ไม่น้อย
ช่วงบ่ายของวันแม่ทัพสาว พร้อมมู่อิงได้ออกไปยังร้านสกุลหยวน เพื่อดูความเรียบร้อยของร้าน โดยมีพ่อบ้านซือติดตามไปด้วย ส่วนรองแม่ทัพและผู้ติดตามอื่น ต่างพักผ่อนในห้องของตนเอง
“จับตัวพวกมันมาโบยต่อหน้าข้า”
เสียงกัมปนาทดังขึ้นยังลานกว้างหน้าจวน ทหารจากที่ว่าการเมืองกรูกันเข้าไปด้านในบ้านสกุลเกา ก่อนจะพาตัวของสองพ่อลูกสกุลเกาออกมาข้างนอก
สิบวันต่อมา จวนสกุลกั๋ว หลังจากเรื่องวุ่นวายสิ้นสุดลง กว่าที่สองสามีภรรยาจะได้พบหน้ากัน ก็กินเวลาไปนับสิบวันเลยทีเดียว หมับ! กั๋วเชียวหลางคว้าร่างภรรยาเข้าสู่อ้อมแขน แม่ทัพสาวยังคงนิ่งงันด้วยมิคิดว่าเขาจะทำเช่นนี้ “คืนนี้เราจะไม่คุยเรื่องงาน ทั้งของเจ้าและข้า แต่จะเป็นเรื่องของเราเท่านั้น” ชายหนุ่มพูดชิดอยู่กับกลุ่มผมดกดำของภรรยา แม้ว่าใจของเขาจะแป้วไปมาก ด้วยนางยืนนิ่งในอ้อมกอดของเขา แต่ทว่ามิได้โอบรัดเขาตอบเลยแม้แต่น้อย “เรื่องไหน!” คำถามห้วนสั้นของนาง แทบจะทำให้กั๋วเชียวหลางหลั่งน้ำตา เขาอยากให้นางสัมผัสได้ถึงความรู้สึก ที่เขาพยายามถ่ายทอดให้แก่นางในตอนนี้ “เรื่องอนาคตของครอบครัวเราอย่างไรเล่า” “ว่ามาสิ!” แม่ทัพสาวมิใช่ไม่รู้ว่าตอนนี้ สามีของนางกำลังต้องการสื่อถึงอะไร หากนางไร้ความทรงจำในอีกโลก อาจยังไม่รู้ประสากับความรัก แต่เพราะนางเคยมีมันมาก่อนแล้ว จึงรู้ว่าตอนนี้สามี กำลังรู้สึกเยี่ยงไรต่อนาง “อื้อ!” ไม่มีคำพูดใดนอกจากเสียงครางเบา ๆ เมื่อริมฝีปากหนาประกบลงบนเรี
จ้าวลู่เชียนไม่คิดเอ่ยถามหาความกระจ่างแล้ว สิ่งที่ผู้คนมากมายต้องการรู้ เขาก็ได้เห็นชัดแก่สายตาแล้ว ว่าใครคือนายแห่งวิหกฟ้า หยวนไป่หลิงรีบเดินเข้าไปหามารดา ก่อนจะสวมกอดเอาไว้แน่น นางอยู่กับแม่มากกว่าน้องสาวและพี่ชาย ตอนที่เห็นคมมีดกดลงใบบนผิวอ่อนนุ่มของมารดา นางแทบอยากจะฉีกสตรีผู้นั้นออกเป็นชิ้น ๆ เสียในทันที “เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย แม่ดีใจเหลือเกิน” “จะมาเมืองหลวงไยมิรอข้าก่อน” “เป็นพี่เองที่อยากมาดูหน้าน้องเขย ท่านแม่เลยติดตามมาด้วยเพราะพี่จะทำตัวมุทะลุ” “ข้านึกว่าพี่เฟยจะคอยออกรับแทนข้ากับหลินเอ๋อร์เท่านั้น แล้วไยวันนี้ท่านกลับออกรับแทนท่านแม่เสียได้” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอดกับพี่ชาย แน่นอนว่าเฟยไม่อาจต้านทานอาการนี้ของน้อง ๆ ได้ จึงทำเพียงยิ้มแห้ง ๆ แก้เก้อ ก่อนจะมองไปที่ผู้เป็นแม่ “แม่เรียกพี่ชายเจ้ามา เพื่อเข้าเมืองหลวงเอง เจ้ารู้นิสัยของหลินเอ๋อร์ดีมิใช่หรือ ไม่มีเจ้าอยู่ด้วย แม่เกรงนางจะทำให้ตนเองไม่สบายใจไปชั่วชีวิต” เมื่อพูดถึงตรงนี้ สายตาคู่งามก็หันมองไปยั
“สิ่งใดเช่นนั้นรึพ่ะย่ะค่ะ ทรงเห็นความดีของข้าบ้างไหม หรือคิดแค่ว่าตัวข้าอ่อนแอไร้สามารถ ตำแหน่งที่คู่ควรจึงไม่คิดจะมอบให้” “ความดีอย่างนั้นเหรอ เจ้าเห็นข้าเป็นลารึยังไง เจ้าคิดว่าพ่ออย่างข้ามองลูกตัวเองไม่ออกสักคนเลยรึ! เจ้าฆ่าพี่ชายหวังชิงตำแหน่ง หาหนส่งหลานตัวเองไปตายใต้คมดาบศัตรู แม้แต่พี่สาวน้องสาวที่มิอาจครองบัลลังก์ ก็เป็นเจ้าที่ทำให้พวกนางต้องแต่งไปแคว้นอื่น ไยมิเอาความฉลาดของเจ้าช่วยเหลือบ้านเมืองของเราให้รุ่งเรือง” “เพราะข้าอยากนั่งแทนที่ท่านอย่างไรเล่า!” ลั่วเจี๋ยกวาดสายตามองศัตรู ที่ซ้อนแผนเขาได้อย่างแนบเนียน ถึงว่าทำไมบิดายอมทำตามคำของมารดาง่ายดายเช่นนั้น ไม่ว่าจะเรื่องแต่งงานของกั๋วเชียวหลางและหยวนไป่หลิน แม้แต่การส่งลั่วหยางไปชายแดน ทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นกับดักที่วางเอาไว้ แค่รอเขาวิ่งมาติดกับ แต่ไม่ว่ายังไงวันนี้ เขาเท่านั้นที่จะกลายเป็นฮ่องเต้คนใหม่ ที่ไร้มลทินจากคำว่ากบฏ “คิดว่าจะมีใครรอดออกจากประตูวังหลวงไปได้อย่างนั้นรึ!” “หากจะรอกองกำลังที่ท่านอาเตรียมการไว้นั้น อย่ารอเลยพ่ะย่ะค่ะ เพ
“มุทะลุได้ใจดีองค์ชายเจ็ด” แม่ทัพสาวก้าวเข้ามายืนขวางระหว่างผู้เป็นนาย กับสองแม่ลูกที่หมายช่วงชิงอำนาจ “ข้าอยากรู้นัก ที่ผู้คนยำเกรงเจ้าที่มากด้วยฝีมือ จะเอาชีวิตรอดจากตรงนี้ไปได้ไหม” ลั่วเจี้ยนวาดแขนกันมารดาให้ไปอยู่เบื้องหลังของตนเอง ก่อนจะพุ่งเข้าหาแม่ทัพหญิง เขาชิงชังสตรีที่คิดว่าตนเองเทียบเท่าบุรุษยิ่งนัก หยวนไป่หลินยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะขยับเท้าเข้าหาองค์ชายเจ็ดการต่อสู้ของผู้ที่อยากนั่งบัลลังก์กับผู้พิทักษ์บัลลังก์ เป็นไปอย่างดุเดือด เสียงอาวุธกระทบกันดังขึ้นรอบด้าน แผนการที่วางไว้ พลันต้องเปลี่ยนแปลงไป เพราะความคับแค้นใจของหญิงสาวผู้หนึ่ง ที่ทนนิ่งเงียบเพื่อรอวันนี้ ชูเยี่ยนมองหน้ามารดาด้วยความรู้สึกเจ็บแปลบ นางคิดเสมอว่าตนเองเหนือกว่าใคร ๆ แต่วันนี้นางเห็นชัดเจนแล้ว ว่าชาติกำเนิดไม่ได้การรันตีว่านางคือที่หนึ่ง ที่ผ่านมานางเสมือนเงา ไม่เคยมีตัวตนในสายตาของชายคนรัก เป็นนางเองที่พยายามจะไขว่คว้า ทว่าอีกฝ่ายกลับหวังเพียงผลประโยชน์เท่านั้น “ท่านแม่ ข้าเข้าใจแล้วว่ามารดาที่อุ้มท้องลูก โดยบุรุษไม่ยอมรั
“พี่ชายของข้า รู้จักเพียงการปกป้องครอบครัว”แม่ทัพสาวเอ่ยขึ้นอีกครั้ง พร้อมรอยยิ้มอันอ่อนโยน ชีวิตของคนอื่นอาจราบรื่นเพราะร่ำรวย แต่ชีวิตของลูกหญิงหม้ายนั้นล้วนต้องต่อสู้ การที่พี่ชายบุญธรรมไม่ค่อยแสดงตัว มิใช่เขาถูกลืม แต่เพราะเขาเลือกทำหน้าที่เป็นปีกที่กางปกป้องครอบครัวอยู่เบื้องหลัง เขาคือเงาที่ไม่เคยหายไปไหน แค่ไม่ชื่นชอบเปิดเผยตัวก็เท่านั้น“ข้าไม่แปลกใจเลยว่าทำไม การค้าของมวลเมฆาถึงมั่นคงนัก”“การให้ใจคนใช่ว่าเราจะได้ใจตอบแทนเสมอ ทุกอย่างล้วนเสี่ยงทั้งสิ้น”“วันนี้เจ้าเหนื่อยมากแล้ว เราเข้านอนกันเถอะ”กั๋วเชียวหลางจูงมือภรรยาเข้าเรือน เขาไม่สนว่าตอนนี้จะมีสายตาของศัตรูคนไหนซุ่มมองอยู่ เพราะอีกไม่กี่วันทุกอย่างก็จะต้องจบสิ้น มิว่าจะเป็นฝ่ายไหนกำชัย ขอแค่เวลาที่ยังเหลืออยู่ในตอนนี้ เขาได้ใช้มันให้คุ้มค่าก็ดีมากแล้วสิบห้าวันต่อมา วังหลวง เสียงดนตรีดังก้องไปทั้งลานหน้าท้องพระโรง เพื่อเฉลิมฉลองสำหรับงานอภิเษกสมรสขององค์ชายเจ็ด แขกจากต่างเมืองที่มาถึงก่อนหน้า ได้เข้าร่วมแสดงความยินดีกันอย่างคับคั่ง พระนางกุ้ยเฟยคลี่ยิ้มกว้าง เมื่อเห็นโอรสคนโปรด กำลังจะก้าวสู่อำน
ชูถงมองหน้าชายหนุ่ม ที่อ้างตัวเป็นบุตรชายคนโตของอดีตภรรยา ความสับสนเกิดขึ้นมาในทันที หากเป็นคู่แฝดอายุของพวกนาง คือลูกของเขาอย่างแน่นอน แต่ชายหนุ่มตรงหน้าย่อมไม่ใช่บุตรชายของเขา ด้วยวัยที่มันเกินจากที่เขาคิดคำนวณ“เจ้าคิดจะหลอกลวงข้าสินะ!”“ข้ามีนามว่าหยวนเฟย ท่านจะถามใครในเมืองหน้าด่านชายแดนตะวันออกก็ได้ ทุกคนรู้หมดว่าข้าคือบุตรชายคนโตของนายหญิงใหญ่หยวนไป่หลี”“หากเจ้าเป็นบุตรชายของนางจริง ไยจึงได้ยินยอมให้น้องสาวออกเรือนก่อนได้เล่า”“การออกเรือนก่อนหลังมันจะเป็นอะไรไป ในเมื่อข้าพอใจที่จะอยู่แบบนี้ ไยข้าต้องรั้งชีวิตน้อง ๆ ไว้กับตัวเอง เพียงเพราะข้ายังไม่ออกเรือน แล้วอีกอย่างท่านรู้ได้อย่างไร ว่าข้ายังไม่ออกเรือน เป็นเห็บเกาะตัวข้าอยู่รึ! รู้จักกันหรือก็มิเคย ยังมาสู่รู้เรื่องครอบครัวคนอื่นอยู่อีก”กั๋วเชียวหลางที่เดินมาตามภรรยา ได้แต่กลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ เมื่อได้ยินฝีปากของหยวนเฟย เขาต้องทำตัวให้คุ้นชินกับคำเลาะร้ายของคนสกุลนี้ให้มากกว่าเดิม“ท่านเสนาบดี มาทำอะไรที่นี่หรือขอรับ ข้าไม่เห็นมีบ่าวมารายงานเลยว่าท่านมาเยือนกลางดึก”“ข้ามาทักทายคนรู้จัก”“ใครกันที่ท่านรู้จัก”กั๋วเชียว