Masukด้านเมิ่งอ้ายเยว่นั้นหลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็มุ่งหน้ากลับจวนตระกูลเมิ่งในทันที เดิมทีนางไม่อยากจะกลับไปเหยียบสถานที่แห่งนั้นอีก แต่ทว่านางเพิ่งทะลุมิติมาที่นี่เป็นครั้งแรก และยังไม่มีหนทางไป อย่างไรย่อมต้องคิดให้ละเอียดรอบคอบเสียก่อน แล้วค่อยหาหนทางอีกครั้ง
นางมุดลอดช่องสุนัขเข้ามาอย่างยากลำบาก เมื่อเข้ามาแล้วก็รีบหันมองซ้ายขวาเมื่อพบว่าไม่มีคนมาเห็นจึงโล่งใจไปเปราะหนึ่ง
อยู่ๆ นางก็คิดถึงเด็กหนุ่มนามว่าอาอี้ขึ้นมา และยังเสียดายเงินหนึ่งพันตำลึงที่เขาเสนอให้ไม่น้อยเลย แต่ทว่าคุณธรรมในจิตใจของนางมันแรงกล้ามากกว่าตัวเงิน นางจึงไม่อยากตกปากรับคำเขา
สายเลือดคนดีของนางนี่มันช่างเข้มข้นดีจริงๆ
หญิงสาวส่ายหน้าไปมาพลางยิ้มเล็กน้อยแล้วรีบกลับเรือนพักทันที ระหว่างทางทางนางแวะซื้อของกินหลายอย่างมาฝากอาหมี่สาวใช้ด้วย อย่างไรเสียคนที่นางพอจะพึ่งพาและไว้ใจได้เห็นทีก็จะมีแต่อาหมี่เสียแล้ว ผูกมิตรกับอาหมี่เอาไว้เสียหน่อย เพียงเท่านี้ก็จะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขแล้ว
เมิ่งอ้ายเยว่กลับมาถึงจวนในตอนบ่ายแก่ๆ เมื่อมาถึงก็พบว่าอาหมี่กำลังรอนางอย่างร้อนใจ เมื่อเห็นว่านางกลับมาแล้วก็รีบวิ่งเข้ามาหา เมิ่งอ้ายเยว่ที่เห็นว่าอาหมี่ดูมีท่าทีลุกลี้ลุกลนก็เริ่มสงสัย
"อาหมี่ มีอันใดหรือ?"
"คุณหนู ท่านกลับมาเสียที เมื่อครู่เถียนฮูหยินส่งคนมา แต่บ่าวหาทางบ่ายเบี่ยงตามที่ท่านสั่งแล้วเจ้าค่ะ บ่าวตกใจแทบตาย ดีที่คุณหนูกลับมาทันเวลา"
เมิ่งอ้ายเยว่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าคราหนึ่ง แล้วจึงดึงตัวอาหมี่เข้ามาในห้อง
“อาหมี่ ข้าซื้อของกินมาฝากเจ้าด้วย ต่อไปนี้ข้าสัญญาว่าจะไม่ทุบตีและด่าทอเจ้าอีกแล้ว และจะหาของอร่อยๆ มาให้เจ้ากินบ่อยๆ ดีไหม?”
อาหมี่มองเจ้านายตนเหมือนเห็นผี เมื่อคลายความตกใจได้แล้ว นางก็ยิ้มให้เมิ่งอ้ายเยว่พร้อมกับพยักหน้าถี่ๆ
“เจ้าค่ะ บ่าวเองก็จะตั้งใจรับใช้คุณหนูเช่นเดียวกัน”
สองนายบ่าวยิ้มให้กัน เมิ่งอ้ายเยว่กินขนมไปด้วยและป้อนอาหมี่ไปด้วย เมื่อกินอิ่มแล้วนางก็ไปนอนพัก รอจนเวลาเย็นย่ำจึงออกมาเดินเล่นรับลมที่ด้านนอก ระหว่างที่กำลังเดินเล่นรับลมเย็นอยู่นั้น นางก็ได้พบกับเมิ่งลี่หรูและเมิ่งซานเข้าพอดี สองพี่น้องก็ออกออกมาเดินเล่นเช่นเดียวกัน เมิ่งลี่หรูที่เห็นนางก็มองมาด้วยแววตาไม่เป็นมิตร ราวกับมีแค้นล้ำลึกต่อกันมาแปดร้อยชาติเสียอย่างนั้น
"เหอะ พี่ใหญ่ท่านดูเอาเถอะ คนบางคนคงแกล้งป่วยเพื่อหวังจะเรียกร้องความสนใจจากท่านโหว แต่น่าเวทนานัก เพราะสุดท้ายท่านโหวก็ไม่เหลียวแล! ยามนี้ออกมาเดินเหินได้แล้วหรือ คงเพราะรู้ตัวว่าแผนล่อจับพยัคฆ์ไม่ได้ผลสินะ หึ! นับวันเจ้ายิ่งทำตัวน่าไม่อายหนักข้อขึ้นทุกวัน น่าขายหน้าชะมัด ข้าละอับอายจนไม่อยากจะนับญาติกับเจ้า"
เมิ่งซานเองก็เอ่ยผสมโรงคำพูดน้องสาวตนทันที
"นั่นสิ ชาติกำเนิดต่ำตมไม่พอ จิตใจยังต่ำตมไปด้วยอีก น่ารังเกียจนัก ไม่เจียมกะลาหัวเอาเสียเลย ตนเองเป็นเพียงลูกชาวนาที่ท่านแม่เอามาชุบเลี้ยงเป็นคุณหนู กลับยังคิดจะเทียบเคียงลี่หรูน้องรักของข้าเสียได้!"
สองพี่น้องเอ่ยวาจาดูแคลนเมิ่งอ้ายเยว่อย่างสนุกปาก แต่เมิ่งอ้ายเยว่กลับยืนนิ่งๆ ไม่ได้แสดงท่าทีโกรธเคืองหรือโมโหเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังทำราวกับว่าสองพี่น้องบัดซบคู่นี้เป็นเพียงอากาศธาตุเสียอย่างนั้น เมิ่งลี่หรูและเมิ่งซานหันมาสบตากันหนหนึ่งด้วยความแปลกใจ เป็นเมิ่งลี่หรูที่เอ่ยถามเพราะทนไม่ไหว
"อ้ายเยว่ เจ้าไม่ได้ยินหรือว่าพวกข้ากำลังด่าเจ้าอยู่น่ะ!"
เมิ่งอ้ายเยว่หันมามองเมิ่งลี่หรูแล้วจึงเอ่ยถามด้วยสีหน้างุนงง
"อ้าว ที่แท้กำลังด่าข้าหรือ ให้ตายเถอะ ข้าก็คิดว่าพวกเจ้าสองพี่น้องกำลังด่ากันเองเสียอีก?"
"นี่เจ้า!"
"อย่าหาว่าข้าสอนเลยนะ เดิมทีข้าไม่อยากจะมีปัญหากับพวกเจ้า เพราะข้ารู้ตัวว่าข้าเป็นเพียงผู้อาศัย ชาติกำเนิดก็ต่ำต้อย แต่แล้วมันอย่างไรเล่า ชาติกำเนิดมันวัดค่าความเป็นคนไม่ได้หรอกนะ เพราะคนบางคนก็สูงแค่ชาติกำเนิด แต่จิตใจกลับต่ำเสียยิ่งกว่าโคลนตมเสียอีก เห้อ ข้าต้องไปนอนแล้ว ขอตัวนะ บายจ๊ะ"
เอ่ยจบนางก็คิดจะเดินกลับเรือนตน แต่เมิ่งลี่หรูมีหรือจะยอมปล่อยนางไป สองพี่น้องคิดจะยกเท้าถีบนางจากด้านหลัง แต่เมิ่งอ้ายเยว่เหมือนกับมีตาทิพย์ นางไหวตัวทัน และยังเบี่ยงกายหลบไปอีกทางอย่างรวดเร็ว สองพี่น้องที่ถีบได้เพียงอากาศจึงล้มหน้าคะมำลงไปกับพื้นหญ้าทันที เมิ่งอ้ายเยว่ที่เห็นเช่นนั้นก็ยกมือขึ้นทาบอก พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงขบขัน
“อ้าว ชอบกินหญ้าก็ไม่บอก ค่อยๆ กินไปนะ พอดีข้าง่วงเลยไม่ว่างอยู่กินด้วย ไปนอนดีกว่า”
เอ่ยจบเมิ่งอ้ายเยว่ก็เดินกลับเรือนตนไปทันที เมิ่งลี่หรูและเมิ่งซานกัดฟันกรอด รีบกลับเรือนหลักไปฟ้องมารดาตนทันที เถียนฮูหยินที่ได้ยินว่าลูกรักสองคนถูกรังแกจึงเรียกเมิ่งอ้ายเยว่มาด่า แต่เด็กนั่นกลับทำเหมือนทองไม่รู้ร้อน ฟังเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา เถียนอูหยินด่าจนรู้สึกเหนื่อยหอบ จวนเจียนจะเป็นลมแล้วเป็นลมอีกเมิ่งอ้ายเยว่ก็ยังทำตัวเหมือนปลาเค็มนอนตาย สุดท้ายกลายเป็นเถียนฮูหยินเสียเองที่ยอมแพ้ เมิ่งอ้ายเยว่เองก็ไม่สนใจ สิ่งที่นางถนัดที่สุดคือการฟังคนด่า เพราะตอนทำงานอยู่ออฟฟิศนางก็โดนเจ้านายด่าไม่เว้นแต่ละวัน แค่เถียนฮูหยินบ่นเท่านี้นางสบายมาก
นางไม่เถียงเพียงปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามด่าจนหมดแรงไปเอง ส่วนนางเก็บแรงไว้นอนก็พอ
บ่นไปสิ คนที่คอแห้งไม่ใช่นางเสียหน่อย!
เมื่อรู้ว่าด่าไปก็ไร้ผลเถียนฮูหยินจึงไล่นางกลับเรือนไปเสีย หลังจากกลับมาถึงเรือนของตนเมิ่งอ้ายเยว่ก็ทิ้งกายลงนอนบนเตียงอย่างรวดเร็ว นางมีปณิธานในใจแน่วแน่มาโดยตลอดว่าการนอนนั้นจะทำให้คนเราสมองปลอดโปร่ง อาหมี่ที่เห็นว่าเจ้านายตนพอกลับมาถึงเรือนก็ดูเหนื่อยล้าจึงรีบเข้ามาเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“คุณหนู ท่านอย่าคับแค้นใจเลยนะเจ้าคะ ดูสิ ท่านดูอ่อนล้ามากเลย เถียนฮูหยินคงทำท่านเหนื่อยใจอีกแล้วใช่หรือไม่?”
เมิ่งอ้ายเยว่ที่นอนหลับตาอยู่เมื่อได้ยินอย่างนั้นก็เอ่ยตอบสาวใช้อย่างเกียจคร้าน
“ไม่หรอก ข้าไม่เป็นอันใด ข้าเพียงง่วงเท่านั้น”
อาหมี่พยักหน้าหนหนึ่ง ก่อนจะนั่งเฝ้าเจ้านายตนเองนอนหลับไม่ยอมจากไปไหน
วันคืนในจวนตระกูลเมิ่งนับว่าไม่ดีเท่าใดนัก เดิมทีนางยังคิดว่าเถียนฮูหยินจะต้องรู้เป็นแน่ว่านางหนีออกจากจวนไปเที่ยวเล่น แต่ผ่านมาสองวันแล้วกลับไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น เช่นนั้นก็คงไม่มีปัญหาแล้ว
นางจำได้ว่าวันนี้คือวันที่ตนจะต้องไปพบกับอาอี้ตามนัดแล้ว นางจึงรีบล้างหน้าและเปลี่ยนชุดใหม่เพื่อไปพบเขา
“คุณหนู ท่านจะไปอีกแล้วหรือเจ้าคะ?”
“ข้ามีนัดกับคนผู้หนึ่ง ไว้เสร็จธุระแล้วจะรีบกลับ เจ้าไม่ต้องกังวล หากมีคนมาถามหาข้าก็บอกว่าข้านอนหลับ ไม่ต้องการให้คนเข้ามารบกวน”
อาหมี่พยักหน้าอย่างจำใจ เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เมิ่งอ้ายเยว่ก็มุดช่องลอดสุนัขออกมาจากจวนตระกูลเมิ่งเหมือนเช่นคราวก่อน
โรงน้ำชาหงหลัว
เมิ่งอ้ายเยว่เดินมาหยุดอยู่ที่ด้านหน้าโรงน้ำชาหงหลัวด้วยท่าทีเก้ๆ กัง อาอี้ไม่ได้บอกนางว่าเขาจองห้องแบบไหนเอาไว้ นางจึงยืนงงอยู่ครู่หนึ่ง จวบจนกระทั่งมีชายหนุ่มผู้หนึ่งเข้ามาหานาง และบอกว่าจะพานางไปพบอาอี้ นางจึงยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร คาดว่าคนผู้นี้คงจะเป็นบ่าวรับใช้ของอาอี้กระมัง
เมื่อเข้ามาในโรงน้ำชาหงหลัว เมิ่งอ้ายเยว่ก็รู้สึกตื่นเต้นมาก โรงน้ำชาแห่งนี้ใหญ่โตกว้างขวาง การตกแต่งก็หรูหรายิ่งนัก นอกจากจะเป็นสถานที่สำหรับนัดพบปะพูดคุยของผู้คนแล้ว ยังมีทั้งการแสดงและละครให้ชมเพื่อความบันเทิงอีกด้วย
นางเดินตามคนรับใช้ของอาอี้ขึ้นมาบนชั้นสอง และมองทุกสิ่งรอบตัวด้วยความสนใจ
ด้านซือหม่าอี้เฉินนั้นยามนี้เขากำลังนั่งจิบชาชั้นดีอย่างสบายอารมณ์ ฟ่านกงกงที่ยืนรับใช้อยู่ข้างๆ รู้สึกปวดขมับตุบๆ นิสัยเอาแต่ใจและทำตามใจชอบของฝ่าบาทนั้นแก้ไม่หายเสียที อีกทั้งวันนี้ยังไม่รู้ว่านึกพิเรนท์อันใดขึ้นมา จึงสั่งให้เขาไปหาเสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ มาชุดหนึ่ง เมื่อเขาเอ่ยถามก็ได้คำตอบว่า
ข้าเป็นฮ่องเต้จนเบื่อแล้ว อยากลองเป็นยาจกสักวันหนึ่ง ไหนเจ้าลองเรียกข้าว่าไอ้ยาจกดูสิ เร็วๆ เข้า ข้ารอฟังอยู่!
ฟ่านกงกงถึงกับกุมขมับจนแทบบ้า ฮ่องเต้น้อยของเขาถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามใจจนเสียคน หลี่ไทเฮาเองก็ทรงรักใคร่เป็นอย่างมาก ตอนที่ยังเป็นเพียงองค์ชายก็เอาแต่ใจจนข้ารับใช้ท้อแท้
ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงคนจากด้านนอกบอกว่าเมิ่งอ้ายเยว่มาถึงแล้ว ซือหม่าอี้เฉินจึงบอกว่าให้นางเข้ามาได้ เมิ่งอ้ายเยว่เปิดประตูเข้ามาอย่างรวดเร็ว วันนี้นางแต่งกายเรียบง่ายแต่น่ามองอย่างยิ่ง ซือหม่าอี้เฉินถึงกับครุ่นคิดในใจ ดูๆ ไปแล้ว เขาในตอนนี้เหมือนกับชายตกอับที่ลอบมาพลอดรักกับคุณหนูผู้สูงศักดิ์เลย
น่าตื่นเต้นที่สุด!
“พี่สาว ท่านมาแล้วหรือ รีบมานั่งเร็วเข้า”
ซือหม่าอี้เฉินยิ้มให้เมิ่งอ้ายเยว่เล็กน้อย แล้วจึงบอกให้นางเข้ามานั่ง เมิ่งอ้ายเยว่เองก็ทำตามอย่างว่าง่าย
"น้องชาย เจ้ารอนานหรือไม่ ขออภัยที่ข้ามาช้า ข้าไม่ค่อยได้ออกจากจวน จึงไม่คุ้นชินเส้นทางเท่าใดนัก เห้อ ข้าคอแห้งมาก ขอดื่มน้ำสักครู่"
ว่าจบนางก็เทชาใส่ถ้วยและยกขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมดถ้วย ซือหม่าอี้เฉินเองก็ไม่ได้ว่าอันใดกลับลอบมองนางอย่างสนใจเสียด้วยซ้ำ ด้านเมิ่งอ้ายเยว่ที่หายคอแห้งแล้ว ก็เงยหน้ามาส่งยิ้มให้ซือหม่าอี้เฉิน ก่อนจะต้องขมวดคิ้วมุ่น
เหตุใดวันนี้น้องชายหน้าหยกถึงสวมเสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ เช่นนี้เล่า
อ่า นางเข้าใจแล้ว เขาจะต้องเอาชุดราคาแพงไปจำนำเพื่อเล่นการพนันหมดแล้วเป็นแน่ เห้อ หนุ่มน้อยสุดหล่อทำไมเจ้าถึงหมกมุ่นในอบายมุขได้ถึงเพียงนี้!
ไม้เรียวในมือพี่สาวสั่นมาก!
เมิ่งอ้ายเยว่มีท่าทีครุ่นคิด เมื่อเห็นสภาพของเขาเช่นนี้นางก็ตัดสินใจได้แล้วว่าจะไม่สอนเขาเด็ดขาด นางล้วงหยิบตั๋วเงินสามร้อยตำลึงจากถุงเงินของตนไปวางลงตรงหน้าเขา ซือหม่าอี้เฉินที่เห็นเช่นนั้นก็เลิกคิ้วมองนางด้วยความสงสัย
“พี่สาว นี่คือ?"
"ยังจะถามอีก อาอี้ ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะไม่สอนเจ้าทำเรื่องไม่ดีเด็ดขาด ขนาดเจ้าเล่นไม่เก่งยังเอาเสื้อผ้าไปจำนำจนหมด หากข้าสอนเจ้าจนชำนาญขึ้นมา ข้าว่าเจ้าคงขายจวนทิ้งแน่นอน ข้าไม่อยากสอนเจ้าให้เสียคน น้องชาย นับว่าเจ้าโชคดีที่ได้เจอพี่สาวคนนี้ พี่สาวไม่เอาเปรียบเจ้าแน่นอน เจ้ากลับตัวกลับใจเถอะนะ เลิกทำตัวไม่ได้เรื่องเสียที เชื่อพี่สาว พี่สาวอาบน้ำร้อนมาก่อนเจ้า"
ฟ่านกงกงที่ได้ยินเช่นนั้นก็หนังตากระตุกพรึบๆ พลางเหล่มองเจ้านายตนไม่หยุด
แต่ทว่าซือหม่าอี้เฉินกลับไม่โกธร อีกทั้งยังรู้สึกชอบใจเสียอีก ชีวิตที่ผ่านมาเขาเจอแต่พวกประจบประแจงเพื่อหวังผลประโยชน์ ผู้คนทั้งใต้หล้าต่อให้เห็นว่าเขาแต่งตัวสภาพน่าเวทนาเพียงไร สุดท้ายแล้วก็ยังต้องก้มหัวให้เขาอยู่ดี เพราะว่าเขาคือเจ้าแผ่นดิน
แต่เมิ่งอ้ายเยว่กลับมองว่าเขาน่าสงสาร ซ้ำยังไม่คิดเอาเปรียบเขา
ปลาตัวนี้ช่างน่าสนใจดีจริงๆ!
เขาบิดกายไปมาอย่างเกียจคร้านแล้วจึงหันมาเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงยียวน
“พี่สาว ข้าอยู่ที่จวนก็อาบน้ำร้อนทุกวัน ท่านมั่นใจได้เช่นไรว่าอาบก่อนข้า บางคราข้าอาจจะอาบก่อนท่านก็ได้”
เมิ่งอ้ายเยว่” ....”
นางถึงกับหมดคำจะพูด มันคือสำนวนเปรียบเปรยของคนมีอายุที่เอาไว้สอนพวกเด็กๆ แต่เขากลับไม่เข้าใจ เห้อ!
"น้องชาย เอาเป็นว่าเจ้าเชื่อข้าเถอะ เอาอย่างนี้ เป็นข้าที่ให้ความหวังเจ้าและไม่ยินดีสอนเจ้าเอง ข้าจะถือว่าตนเองเป็นคนผิดที่ทำให้เจ้าเสียเวลา เช่นนั้นข้าขอเลี้ยงน้ำชาและขนมเจ้าเพื่อเป็นการไถ่โทษดีหรือไม่?"
นางพยายามเอาใจหนุ่มน้อยตรงหน้าอย่างสุดกำลัง ซือหม่าอี้เฉินไม่ตอบ แต่กลับมองหน้าเมิ่งอ้ายเยว่ด้วยแววตาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เขามองจนนางรู้สึกขนลุกขึ้นมาเสียดื้อๆ
หรือว่าเขาจะโมโหนางเข้าให้แล้ว?
ไม่ได้การ ทำเด็กหน้าหล่อโมโหอาจจะมีบาปติดตัวเอาได้!
"อาอี้ เจ้าอย่าโมโหไปเลยน่า พี่สาวหวังดีกับเจ้านะ พี่สาวไม่อยากให้เจ้ายุ่งเกี่ยวกับสิ่งไม่ดี งั้นเอาอย่างนี้ เจ้าอยากไปที่ใด พี่สาวจะพาเจ้าไปทุกที่ แต่ให้เวลาเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้นนะ เจ้าห้ามดื้อเล่า"
ซื่อหม่าอี้เฉินยกถ้วยชาขึ้นดื่ม แล้วจึงปรายตามองนางอย่างเจ้าเล่ห์
"จริงหรือ ไปทุกที่ได้เลยหรือ?"
"อืม"
"เช่นนั้นก็ไปกันเลย"
เอ่ยจบซือหม่าอี้เฉินก็ลุกขึ้นยืน ก่อนจะคว้าจับแขนของนางให้ลุกขึ้นเดินตามเขาออกไป เมิ่งอ้ายเยว่ที่เห็นเช่นนั้นจึงรีบแกะมือเขาออกทันที หากยอมให้เขาจับมือถือแขนนางออกไปแบบนี้ย่อมไม่ดีแน่ อย่างไรชายหญิงก็ไม่ควรชิดใกล้กันมิใช่หรือ?
แต่เด็กอายุสิบแปดตรงหน้านางในยามนี้ มันก็หล่อเหลาน่าเข้าใกล้จริงๆ
ถุย!กับเด็กหนุ่มๆ ยังไม่เว้นนะยัยป้านี่!
เมิ่งอ้ายเยว่พยายามไล่ความคิดไม่ดีในหัวออกไป แล้วรีบเอ่ยถามซือหม่าอี้เฉินทันที
"ช้าก่อน น้องชายเจ้าจะไปที่ใด บอกข้ามาก่อน"
ซือหม่าอี้เฉินหันกลับมามองเมิ่งอ้ายเยว่ แล้วจึงเอ่ยตอบนางด้วยอารมณ์สุนทรีย์
"หอนางโลม"
"ห๊ะ?"
เมิ่งอ้ายเยว่สมองมึนงงไปชั่วขณะ ไม่นานนางก็ตั้งสติได้ นี่มันเรื่องบ้าบอใดกัน นางเพิ่งสั่งสอนเขาไปหยกๆ ว่าอย่าไปยุ่งเกี่ยวกับอบายมุข แต่นี่เขากลับเปลี่ยนทิศเบนเข็มไปยังหอนางโลมแทน?
ให้ตายเถอะ ทำไมนางจะต้องมาเจอลูกลิงจอมเสเพลในตำนานด้วยนะ ปวดสมองไปหมดแล้ว!
หลังจากพิธีฉลองการอภิเษกสมรสผ่านพ้นไปแล้ว ทุกคนก็กลับไปใช้ชีวิตเฉกเช่นปกติตามเดิม หลังจากที่ซือหม่าอี้เฉินแต่งงานกับอวี๋อ้ายเยว่ได้ไม่นาน ซือหม่าตงและอวี๋ลู่เหลียนก็เข้าพิธีแต่งงานกันทันที หลังจากผ่านงานแต่งงานมาแล้วคนทั้งสองก็เดินทางเข้าวังหลวงมาเพื่อสนทนาพูดคุยกับซือหม่าอี้เฉินและอวี๋อ้ายเยว่อวี๋อ้ายเยว่และอวี๋ลู่เหลียนนั้นนั่งสนทนากันกันอยู่อีกมุมหนึ่งของตำหนัก ส่วนซือหม่าอี้เฉินและซือหม่าตงก็นั่งสนทนากันอยู่ที่โต๊ะทรงอักษรไม่ไกลจากสตรีทั้งสองมากนัก"อาตงข้าจะมอบตำแหน่งชินอ๋องให้กับเจ้า"ซือหม่าตงที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับพ่นชาร้อนออกจากปากทันที เขาวางถ้วยชาลงก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองพี่ชายตนอย่างหมดอาลัยตายอยาก"เสด็จพี่ ข้าไม่อยากเป็นชินอ๋องท่านก็รู้นี่ ข้าไม่อยากทำงานในราชสำนัก ข้าไม่อยากร่วมประชุมยามเช้า ข้าอยากอยู่แต่กับเมียข้า""ค่าจ้างเป็นชินอ๋องเดือนละหนึ่งพันตำลึง ไม่ต้องประชุมยามเช้า อยากไสหัวไปทำอันใดก็ไป เพียงแค่เป็นชินอ๋องหุ่นเชิดให้ข้าก็พอ ไม่เช่นนั้นคนนอกจะหาว่าข้าตระหนี่แม้กระทั่งตำแหน่งชินอ๋องที่ควรจะเป็นของน้องชาย ข้าไม่อยากถูกคนเอาข้าไปนินทาว่าไม่รักพี่รักน้อง"ซือห
เมื่อสงครามจบสิ้นลง บ้านเมืองก็กลับสู่ความสงบสุขอีกครั้งหนึ่ง คนชั่วถูกปราบปรามจนสิ้นซากไม่เหลือรอดแม้เพียงคนเดียว เหล่าช่าวบ้านต่างกู่ร้องยินดีกันถ้วนหน้าซือหม่าอี้เฉินทิ้งทหารเอาไว้ที่ชายแดนทางทิศเหนือหลายหมื่นนายเพื่อคอยดูแลความปลอดภัยของชาวบ้าน ส่วนราษฎรแคว้นฉีนั้นต่างยอมสวามิภักดิ์ต่อเขาอย่างไม่มีข้อแม้ อีกทั้งยังบอกว่าซือหม่าอี้เฉินเปรียบเสมือนเทพเซียนมาโปรด ที่ช่วยสังหารฉีอ๋องจนตกตายไปได้ เพราะที่ผ่านมาฉีอ๋องเอาเปรียบราษฎรไม่หยุดหย่อน อีกทั้งยังทำชั่วเอาไว้มาก ที่ผ่านมาก็ปกครองบ้านเมืองด้วยความอำมหิต เมื่อฉีอ๋องตกตายไป พวกเขาก็ถือว่าได้หลุดพ้นจากนรกขุมนี้เสียทีเมิ่งอ้ายเยว่รู้สึกดีใจยิ่งนักที่สงครามครานี้จบลงด้วยการที่แคว้นเยี่ยเป็นฝ่ายกุมชัยชนะ เมฆหมอกดำได้ผ่านพ้นไปจนหมดสิ้นแล้ว ยามนี้ได้เวลาเริ่มต้นใหม่เสียทีเมื่อสะสางเรื่องที่ชายแดนจบสิ้น ซือหม่าอี้เฉินและเมิ่งอ้ายเยว่ก็เดินทางกลับเมืองหลวงในทันที เมื่อกลับมาถึงเขาก็ปูนบำเหน็จให้กับเหล่าขุนนางที่มีความดีความชอบอย่างสมเกียรติ ส่วนขุนนางที่ได้รับผลกระทบก็ได้รับการปลอบประโลมเช่นเดียวกัน ไป๋จิ่งหยวนและหลี่หรงได้รับการปูนบำเหน
กลางดึกเขาสั่งให้คนลอบไปเผาคลังเสบียงในค่ายทหารของฉีอ๋อง ทั้งค่ายพลันวุ่นวายขึ้นมาทันที ซือหม่าอี้เฉินจึงใช้โอกาศนี้ไปแย่งชิงตัวซือหม่าตงกลับมา แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ง่ายนัก กว่าจะแย่งตัวคนมาได้ ฉีอ๋องก็รู้ตัวเสียแล้ว และได้ส่งทหารจำนวนหนึ่งออกมาจัดการกับซือหม่าอี้เฉิน ซือหม่าอี้เฉินรีบสั่งให้คนพาซือหม่าตงกลับเข้าชายแดนแคว้นเยี่ยโดยเร็วส่วนเขาและหลี่หรงก็รับมือกับทหารของฉีอ๋องเพื่อถ่วงเวลาให้น้องชายกลับเข้าเมืองไปได้อย่างปลอดภัยเมิ่งอ้ายเยว่และอวี๋ลู่เหลียนที่รออยู่ก่อนแล้วเมื่อเห็นว่าซือหม่าตงถูกช่วยกลับมาได้แล้วจึงสั่งให้คนตามท่านหมอมารักษาเขาทันที ด้านซือหม่าตงและหลี่หรงก็อาศัยโอกาสนี้โจมตีฉีอ๋องไม่หยุด ยามนี้ทหารของฉีอ๋องถูกสังหารไปไม่น้อย อีกทั้งคลังเสบียงก็มาถูกไฟเผา ฉีอ๋องจึงโกธรแค้นมาก และประกาศก้องว่าจะออกรบสังหารซือหม่าอี้เฉินและหลี่หรงด้วยตนเอง!ซือหม่าตงถูกพาตัวมารักษาโดยมีอวี๋ลู่เหลียนคอยจับมือเขาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ซือหม่าตงแม้จะเจ็บหนักแต่ยังพอมีสติอยู่บ้าง เขาหันมามองอวี๋ลู่เหลียนและยิ้มให้นางอย่างอ่อนล้า"ลู่เหลียน""ข้าอยู่นี่แล้ว ฮึก เจ้าอย่าเพิ่งพูดอันใดให้มากความเลย
เมื่อมีเรื่องดี ย่อมต้องมีเรื่องร้ายตามมายามนี้ชายแดนทางเหนือกำลังเกิดสงครามประทุขึ้นอย่างหนัก ส่วนชายแดนทางใต้ก็มีคนของอู่อ๋องที่รอดชีวิตจากสงครามหลายปีก่อนกำลังก่อความไม่สงบหมายจะช่วงชิงชายแดนคืน ซือหม่าอี้เฉินที่แต่ไหนแต่ไรมักทำตัวตามสบายมาโดยตลอด กลับมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขาเรียกให้ขุนนางฝ่ายบุ๋นเข้าร่วมประชุมอย่างเร่งด่วนมาหลายวันติดแล้ว แม่ทัพใหญ่หลี่และไป๋จิ่งหยวนแทบจะกินนอนอยู่ในวังหลวง หลังจากปรึกษาหารือกันอย่างดุเดือดในที่สุดก็ได้ข้อสรุปเสียทีซือหม่าอี้เฉินเห็นชอบให้ไป๋จิ่งหยวนนำกำลังทหารหลายแสนนายไปทำสงครามที่ชายแดนทางทิศใต้ และปราบปรามสุนัขรับใช้ที่เหลืออยู่ของอู่อ๋องให้สิ้นซาก ไป๋จิ่งหยวนรับคำและเร่งระดมพลออกค้นหาทันทีว่ามีคนของอู่อ๋องหลงเหลืออยู่อีกหรือไม่ หากมีก็ให้สังหารทิ้งให้สิ้นซาก จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังชายแดนทางใต้อย่างรวดเร็วส่วนซือหม่าอี้เฉินและหลี่หรงเดินทางไปยังชายแดนทิเหนือเพื่อต่อสู่กับกองทัพของฉีอ๋อง วันที่พวกเขาออกเดินทางมีชาวบ้านมายืนส่งตลอดทางและอวยพรให้พวกเขากลับมาพร้อมชัยชนะส่วนเมิ่งอ้ายเยว่และอวี๋ลู่เหลียนก็ติดตามซือหม่าอี้เฉินไปด
"ฝ่าบาท บุญคุณครานี้กระหม่อมจะไม่มีวันลืมเลย"ซือหม่าอี้เฉินเข้ามาประคองราชครูอวี๋ให้ลุกขึ้น ก่อนจะเอ่ย“สำนึกบุญคุณก็ดี ตาแก่อวี๋ หากอยากตอบแทนบุญคุณข้า ก็ยกบุตรสาวเจ้าให้แต่งกับข้า เป็นอย่างไร ได้ข้าเป็นลูกเขย เจ้านี่ทำบุญมาดีจริงๆ”ราชครูอวี๋ลอบเบ้ปากคราหนึ่ง ก่อนจะยิ้มเล็กน้อย"ฝ่าบาท เช่นนั้นกระหม่อมขอพาตัวบุตรสาวกลับจวนได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมอยากพานางไปทำความคุ้นเคยกับบ้านของนาง และกลับไปดูเรือนของแม่นาง แล้วกระหม่อมจะพานางกลับมาส่งให้ฝ่าบาท""ได้ ไปเถอะ คิดซะว่าชดเชยช่วงเวลาที่ไม่ได้พบเจอหน้ากันมานาน""ขอบพระทัยฝ่าบาท"เมื่อซือหม่าอี้เฉินอนุญาต เมิ่งอ้ายเยว่จึงติดตามราชครูอวี๋กลับจวน ซือหม่าอี้เฉินเพียงยิ้มเล็กน้อย เดิมทีเขาอยากตามนางไปด้วย แต่คิดอีกทีเขาไม่ไปดีกว่า อย่างไรควรจะให้สองพ่อลูกได้ใช้เวลาร่วมกันจะดีกว่าราชครูอวี๋พาเมิ่งอ้ายเยว่มาที่จวนของตนทันที เมื่อเข้าจวนมาแล้วเมิ่งอ้ายเยว่ก็พบว่าการตกแต่งของจวนราชครูอวี๋ช่างงดงามมากนัก แต่เพราะนางอยู่ในวังจนเคยชิน เห็นความงดงามมามากนัก จึงไม่ได้แสดงท่าทีตื่นเต้นจนเกินงาม"เรือนนี้เป็นเรือนของแม่เจ้า พ่อปิดตายเอาไว้ไม่ให้คน
ท้ายที่สุดคนตระกูลเมิ่งก็ถูกประหารตกตายไปตามกัน ของมีค่าทั้งหมดถูกยึดเข้าท้องพระคลังหลวง ข้ารับใช้ถูกขายไปที่โรงขายทาส ความชั่วที่พวกเขาเคยกระทำถูกเปิดเผยต่อสาธารณะชน สร้างความเกลียดชังให้แก่เหล่าชาวบ้านไม่น้อยเลยวันที่พวกเขาถูกประหารเมิ่งอ้ายเยว่ไม่ได้ไปร่วมดูด้วย นางเพียงนอนหลับพักผ่อนอยู่ในตำหนักมังกรสวรรค์ โดยมีซือหม่าอี้เฉินนั่งเฝ้าอยู่ข้างๆหลังจากจบสิ้นเรื่องของตระกูลเมิ่ง ก็มีเรื่องใหม่อีกเรื่องหนึ่งที่สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ผู้คนไปทั่วทั้งเมืองหลวงก่อนเดินทางไปชายแดนองค์รักษ์ลับที่ซือหม่าอี้เฉินส่งไปสืบเรื่องราวภูมิหลังของเมิ่งอ้ายเยว่เมื่อหลายเดือนก่อนก็กลับมารายงานงานผลลัพธ์ที่ได้แท้จริงแล้วเมิ่งอ้ายเยว่คือบุตรสาวคนโตที่เกิดจากภรรยาเอกของราชครูอวี๋ที่ถูกโจรป่าลักพาตัวไป คนของซือหม่าอี้เฉินสืบลึกลงไปอีกจนหาตัวสาวใช้ของอดีตฮูหยินนามว่าอาหลวนพบ ยามนี้นางเริ่มอายุมากแล้ว และยังแต่งงานกับชาวนาผู้หนึ่งและใช้ชีวิตอยู่ในชนบท นางบอกว่าตนเองและฮูหยินหนีตายไปด้วยกัน และยังเล่าความจริงทั้งหมดว่าย้อนกลับไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน ภรรยาเอกของราชครูอวี๋ถูกโจรป่าลักพาตัวไป ยามนั้นฮูหยินกำล







