LOGINท้ายที่สุดซือหม่าอี้เฉินก็ลากตัวเมิ่งอ้ายเยว่ให้ตามเขามาที่หอนางโลมจนได้
หอนางโลมแห่งนี้นี้มีชื่อว่า หอโคมแดงฮวาโหลว เมิ่งอ้ายเยว่เมื่อได้มาเห็นหอนางโลมของจริงตรงหน้าก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก หอโคมแดงฮวาโหลแห่งนี้เป็นตึกไม้สองชั้น ทั้งชั้นบนชั้นล่างล้วนประดับโคมไฟสีแดงหรูหรา มีม่านผ้าไหมชั้นดีประดับตกแต่งหน้าต่างทุกบาน ชั้นล่างเป็นที่ต้อนรับแขกเหรื่ื่อ มีเวทีดนตรีและการแสดง ส่วนชั้นบนจะเป็นห้องพักนางโลมและห้องจัดเลี้ยงส่วนตัว
เมื่อมาถึงหน้าประตูหอโคมแดงฮวาโหลวก็มีมามาออกมาต้อนรับอย่างกระตือลือล้น อีกทั้งยังมองเมิ่งอ้ายเยว่และซือหม่าอี้เฉินอย่างสนอกสนใจ ซือหม่าอี้เฉินหันมาส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้เมิ่งอ้ายเยว่ จนนางรู้สึกขนลุกขึ้นมาอีกหน แต่ทว่าประโยคต่อมาของเขากลับทำนางเข่าแทบทรุด
"พี่สาว วันนี้ท่านต้องไถ่โทษด้วยการตามใจข้า ในเมื่อท่านพูดเองว่าให้ข้าเลือกไปที่ใดก็ได้ตามที่ข้าชอบ บังเอิญว่าข้าชอบที่นี่ อีกทั้งข้ายังอยากได้ห้องจัดเลี้ยงอย่างหรูหรา และนางรำมาร่ายรำให้ชมด้วย หวังว่าพี่สาวจะไม่ขัดใจข้า"
เมิ่งอ้ายเยว่ถึงกับเหงื่อตก เมื่อสอบถามมามาถึงราคาห้องจัดเลี้ยงและนางรำชั้นดีอย่างละเอียดนางก็ถึงกับซวนเซเล็กน้อย แต่นางจะผิดคำพูดไม่ได้เด็ดขาด
ซือหม่าอี้เฉินอารมณ์ดียิ่งนัก เขาดื่มกินอย่างสำราญใจ ฟ่านกงกงถึงกับทอดถอนใจครั้งแล้วครั้งเล่า ฝ่าบาทยามนี้เหมือนเด็กหนุ่มเสเพลที่ชมชอบความสำราญไม่สิ้นสุด ยิ่งเจอสหายถูกใจยิ่งติดลมจนกู่ไม่กลับ
เมิ่งอ้ายเยว่ดื่มสุราไปหลายจอกแต่กลับไม่รู้สึกเมาเลยแม้แต่น้อย ตอนอยู่ในยุคปัจจุบัน ที่บริษัทของนางจะจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ปีใหม่อยู่เสมอ นางเคยได้ฉายาว่า เทพแห่งการดื่ม เพราะดื่มเท่าใดก็ไม่เมาง่ายๆ เพราะฉนั้นสุราเพียงไม่กี่จอกย่อมทำอันใดนางไม่ได้อยู่แล้ว
ซือหม่าอี้เฉินที่เห็นเช่นนั้นก็ยิ่งถูกใจในตัวสตรีตรงหน้าเข้าไปใหญ่ นางช่างเป็นคนที่น่าสนใจโดยแท้
ด้านเมิ่งอ้ายเยว่ก็ไม่ได้เอ่ยปรามซือหม่าอี้เฉิน อย่างไรเสียการดื่มสุราในวัยหนุ่มก็เป็นเรื่องปกติ ขอเพียงให้อยู่ในขอบเขตและไม่เมามายจนขาดสติเป็นพอ
ทั้งสองคนกินดื่มกันจนเวลาล่วงเลยมาถึงยามเย็น เมิ่งอ้ายเยว่มัวแต่เพลิดเพลินจนลืมเวลากลับจวน เมื่อได้สติก็เริ่มลนลาน ไม่รู้ว่ายามนี้อาหมี่จะออกหน้ารับแทนนางเช่นไร นางควรต้องรีบกลับจวนได้แล้ว หากถูกเถียนฮูหยินจับได้ เกรงว่าเรื่องราวคงจะยุ่งยากมากกว่านี้
"น้องชาย หวังว่าต่อไปเจ้าจะตั้งใจเล่าเรียน ใช้ชีวิตให้ดี เป็นคนดีของบิดามารดา และอย่าทำตัวเสเพลอีก หาสตรีดีดีสักคนแล้วแต่งงานซะ จะได้รู้รสชาติของการเป็นผู้ใหญ่เสียที ยามนี้ข้าต้องกลับจวนแล้ว ขืนชักช้ากว่านี้อาจจะโดนด่าจนหูชาได้"
ซือหม่าอี้เฉินยกยิ้มมุมปาก สตรีใจกล้านางนี้ถึงกับสั่งสอนเขาไม่เลิกไม่รา ซ้ำยังยุยงให้เขาแต่งภรรยาอีกด้วย
"พี่สาวกลับดีดีเล่า"
“อืม”
เอ่ยจบนางก็ตั้งท่าจะเดินจากไป แต่ทว่าอยู่ๆ กลับได้ยินเสียงร้องไห้ปานจะขาดใจของสตรีนางหนึ่งเข้าเสียก่อน เมื่อเมิ่งอ้ายเยว่หันไปมองก็พบว่าที่หน้าโรงหมอไม่ไกลจากที่นางยืนอยู่มากนัก มีสตรีนางหนึ่งกำลังอุ้มบุตรชายวัยสามขวบพาดเอาไว้บนบ่า และร้องไห้ออกมาเสียงดัง จนผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาอดเวทนาไม่ได้
"ท่านหมอ โปรดช่วยลูกข้าด้วยเถิด ฮือ ตอนนี้ข้าไม่มีเงินติดตัวเลยเจ้าค่ะ แต่ลูกข้ามีไข้สูงมาก อาการของเขาไม่ดีขึ้นเลย หากท่านไม่ช่วยเหลือเห็นทีเขาคงต้องป่วยตายเป็นแน่ ฮือ ท่านหมอโปรดเมตตาพวกเราด้วยเถิด!"
"ไสหัวไป ที่นี่คือโรงหมอไม่ใช่โรงทาน ไม่มีเงินก็กลับไปตายที่บ้านซะ!"
ซืิอหม่าอี้เฉินเมื่อได้ยินเช่นนั้นดวงตาก็ฉายแววเย็นเยียบ การที่เขาปลอมตัวมาใช้ชีวิตปะปนกับชาวบ้านเช่นนี้ไม่ใช่เพราะอยากเที่ยวสนุกเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะต้องการมาดูความเป็นไปของราษฎรด้วยตาของตนเอง ชาวบ้านตัวเล็กๆ เหล่านี้ย่อมไม่เคยเห็นหน้าเขา จึงไม่ได้ให้ความสนใจเขาเท่าใดนัก
ในขณะที่ซือหม่าอี้เฉินกำลังจะหันไปสั่งให้ฟ่านกงกงไปช่วยเหลือสองแม่ลูกคู่นั้น เมิ่งอ้ายเยว่กลับมุ่งตรงเข้าไปช่วยเหลือคนก่อนแล้ว
"แม่นาง ท่านใจเย็นๆ ก่อน บุตรของท่านยังได้สติอยู่ เขาจะต้องไม่ตายง่ายๆ แน่"
สตรีนางนั้นหันมามอง เมื่อเห็นว่าเป็นเมิ่งอ้ายเยว่ก็ลนลานขึ้นมาทันที
"คุณหนูใหญ่เมิ่ง ท่านอย่ารังแกข้าเลยนะเจ้าคะ คราก่อนที่ข้าเอ่ยวาจาเสียดสีท่าน ข้าผิดไปแล้ว ยามนี้บุตรชายข้าป่วย ท่านโปรดละเว้นพวกเราสองแม่ลูกด้วยเถอะ!"
เมิ่งอ้ายเยว่ชะงักไปในทันที นางพอจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้ในเวลาอันรวดเร็ว เมิ่งอ้ายเยว่คนเก่านิสัยไม่ดีและชอบมีเรื่องไปทั่วยามออกจากจวน ไม่แปลกที่คนเหล่านี้จะหวาดกลัวนาง
"แม่นางเจ้าไม่ต้องกังวล ข้าไม่ได้มารังแกท่าน แต่ข้าจะช่วยออกค่ารักษาให้บุตรชายของท่านเจ้าค่ะ เงินนี่ท่านไม่ต้องใช้คืนให้้ข้า ข้ายินดีช่วยเหลือท่าน และไม่นับว่าเป็นบุญคุณอะไร หวังว่าแม่นางจะไม่ขัดข้อง"
สตรีนางนั้นมองเมิ่งอ้ายเยว่อย่างลังเล แต่เมื่อคิดถึงบุตรชายที่ป่วยหนักขึ้นมานางก็คิดว่าคงไม่มีหนทางอื่นแล้ว ยามนี้เมิ่งอ้ายเยว่เปรียบเสมือนฟางเส้นสุดท้ายที่จะช่วยรักษาชีวิตของบุตรชายนางเอาไว้ได้ แม้สุดท้ายเมิ่งอ้ายเยว่จะกลับมารังแกนางอีก นางก็ยินดี ขอเพียงบุตรชายอยู่รอดปลอดภัยก็พอ
"ที่บอกว่าจะช่วยบุตรชายข้า ท่านพูดจริงหรือ?"
"เจ้าค่ะ ท่านรีบพาบุตรชายกลับเข้าไปที่โรงหมอก่อนเถอะ ข้าจะออกค่ารักษาให้เอง"
"ช้าก่อน!"
เมิ่งอ้ายเยว่ที่กำลังจะช่วยอุ้มเด็กน้อยเข้าไปในโรงหมอพลันชะงัก แล้วจึงหันมามอง เมื่อพบว่าเป็นซือหม่าอี้เฉินนางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เจ้ายังไม่กลับจวนอีกหรือ? ข้าคิดว่าเจ้ากลับไปแล้วเสียอีก”
"พาพวกนางไปที่โรงหมออีกฝั่งหนึ่งเถอะ ที่นั่นท่านหมอใจดีและมีเมตตากว่าโรงหมอแห่งนี้มากนัก ข้าจะพาพวกเจ้าไปเอง"
ซือหม่าอี้เฉินเอ่ยจบก็รีบนำทางพวกนางไปทันที เมิ่งอ้ายเยว่เมื่อได้ยินอย่างนั้นจึงรีบพาสองแม่ลูกตามไปยังโรงหมอที่เขาบอกอย่างรวดเร็ว
เมื่อมาถึงเด็กน้อยก็ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ท่านหมอใจดีมากจริงๆ อีกทั้งยังดูจะคุ้นเคยกับซือหม่าอี้เฉินเป็นอย่างดี ท่าทีที่เขามีต่อซือหม่าอี้เฉินนั้นทั้งเกรงใจและเคารพนบนอบจนเมิ่งอ้ายเยว่อดแปลกใจไม่ได้ เจ้าเด็กลิงนี้เห็นเสเพลไม่เอาไหนแต่ก็มีคอนเนคชั่นดีเยี่ยมเหมือนกันนะเนี่ย
เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยอาการดีขึ้นมากแล้ว เมิ่งอ้ายเยว่ก็พลอยดีใจไปกับมารดาของเด็กผู้นั้นด้วย สตรีนางนั้นหันมาเอ่ยขอบคุณนางและซือหม่าอี้เฉิน อีกทั้งยังขอโทษเมิ่งอ้ายเยว่อย่างรู้สึกผิดที่เคยลอบนินทานาง แต่เมิ่งอ้ายเยว่กลับไม่ได้ติดใจเอาความเลยแม้แต่น้อย
"แม่นาง เจ้ารับเงินนี่ไปนะ ส่วนค่ารักษาข้าจะรับผิดชอบเอง ข้าบอกท่านหมอเอาแล้ว หากพวกท่านมาอีกก็ให้รักษาอย่างเต็มที่ แล้วให้ส่งคนไปแจ้งข้าที่ตระกูลเมิ่ง ท่านไม่ต้องกังวล ดูแลบุตรชายให้ดีดีเล่า"
"ขอบคุณท่านมาก บุญคุณนี้ข้าจะไม่มีวันลืมเลย"
"บุญคุณอันใดกันช่างมันเถอะ ชีวิตลูกชายของท่านย่อมสำคัญกว่า"
สตรีนางนั้นยิ้มทั้งน้ำตา ก่อนจะบอกลาและอุ้มบุตรชายที่อาการดีขึ้นมากแล้วกลับบ้านของตนไป เมิ่งอ้ายเยว่มองส่งสองแม่ลูกไปจนลับสายตา ชาวบ้านที่ผ่านไปผ่านมาบางคนก็เอ่ยชมนาง บางคนก็บอกว่านางแสร้งทำตัวเป็นคนดีเพื่ออยากเทียบรัศมีเมิ่งลี่หรู แต่เมิ่งอ้ายเยว่กลับไม่ได้สนใจคำพูดเหล่านั้น นางช่วยคนเพราะอยากช่วยจริงๆ ไม่ได้หวังเอาหน้าเลยแม้แต่น้อย
เมื่อคนจากไปแล้ว นางจึงล้วงหยิบถุงเงินออกมาเปิดดู เมื่อเห็นว่าเงินในถุงเหลือเพียงไม่กี่อีแปะนางก็ทอดถอนใจหนหนึ่ง ด้านซือหม่าอี้เฉินที่เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยถามหยั่งเชิง
"ทำไม พี่สาวช่วยคนแล้วนึกเสียดายภายหลังหรือ?"
เมิ่งอ้ายเยว่เมื่อได้ยินจึงหันมามองเขาทันที
"ใช่ที่ไหนกัน ข้าเพียงคิดว่าวันนี้นำเงินมาน้อยเกินไป หากมีเงินมากกว่านี้ข้าจะมอบให้สองแม่ลูกนั่นเพิ่มอีกสักหน่อย แต่ตอนนี้ข้าไม่มีเงินแล้ว คงต้องเริ่มต้นหาเงินมาเพิ่มอีกสักหน่อย"
"จะไปหาจากที่ใด?"
"ไม่รู้สิ ยังคิดไม่ออก ไว้ข้ากลับไปนอนหลับสักงีบ ตื่นมาเดี๋ยวก็คงคิดออกเอง"
ซือหม่าอี้เฉินเลิกคิ้วข้างหนึ่ง แล้วเอ่ยถามนางอย่างสนใจ
“พี่สาวชอบนอนขนาดนั้นเลยหรือ?”
"ก็ใช่น่ะสิ หากคุณภาพการนอนดี แน่นอนว่าสมองก็จะดีตามไปด้วย อ้อ ข้ายังชอบกินด้วยนะ”
เอ่ยจบนางก็แหงนหน้ามองท้องฟ้าแล้วหันมาเอ่ยกับซือหม่าอี้เฉินอีกหน
“นี่ก็ค่ำมืดแล้ว ข้าต้องกลับจวนก่อนล่ะ ไปละนะ"
เอ่ยจบนางก็เดินจากไปอย่างรวดเร็ว ซือหม่าอี้เฉินมองตามนางไปจนลับสายตา ความรู้สึกซับซ้อนพลันปรากฏขึ้นในดวงตาคมกล้าของเขา
“ตาแก่ฟ่าน ส่งคนไปสืบเรื่องของสตรีนางนั้นมาอย่างละเอียด”
ฟ่านกงกงพยักหน้ารับคำ แล้วจึงเอ่ยเตือนเจ้านายตนหนหนึ่ง
"ฝ่าบาท รีบกลับวังหลวงเถอะพ่ะย่ะค่ะ ยิ่งมืดยิ่งอันตราย"
ซือหม่าอี้เฉินเพียงพยักหน้าเล็กน้อย เมื่อได้ยินฟ่านกงกงบอกว่ายิ่งมืดยิ่งอันตราย ชายหนุ่มก็แค่นเสียงหึขึ้นจมูกอย่างเยาะหยัน
ยิ่งมืด พวกหมาป่ากากเดนก็ยิ่งจ้องจะตะครุบเขาสินะ?
ชายหนุ่มมองไปโดยรอบด้วยแววตาเย็นชา เขาก้าวเดินไปข้างหน้าได้เพียงสองก้าว ก็หันมาเอ่ยกับฟ่านกงกงอีกรอบ
"คืนนี้เจ้าจงส่งคนมาเผาโรงหมอนี่ซะ ในเมื่อโลภมาก เห็นชีวิตคนเป็นผักปลา เช่นนั้นก็อย่าเปิดรักษาคนอีกต่อไปเลย!"
ฟ่านกงกงพยักหน้ารับคำ และกลางดึกคืนนั้นโรงหมอที่ว่าก็มอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน แม้แต่ท่านหมอยังไม่อาจรอดชีวิตออกมาได้ เรื่องนี้กลายเป็นที่โจษจันท์ไปทั่วทั้งเมืองหลวงในเวลาอันรวดเร็ว
หลังจากพิธีฉลองการอภิเษกสมรสผ่านพ้นไปแล้ว ทุกคนก็กลับไปใช้ชีวิตเฉกเช่นปกติตามเดิม หลังจากที่ซือหม่าอี้เฉินแต่งงานกับอวี๋อ้ายเยว่ได้ไม่นาน ซือหม่าตงและอวี๋ลู่เหลียนก็เข้าพิธีแต่งงานกันทันที หลังจากผ่านงานแต่งงานมาแล้วคนทั้งสองก็เดินทางเข้าวังหลวงมาเพื่อสนทนาพูดคุยกับซือหม่าอี้เฉินและอวี๋อ้ายเยว่อวี๋อ้ายเยว่และอวี๋ลู่เหลียนนั้นนั่งสนทนากันกันอยู่อีกมุมหนึ่งของตำหนัก ส่วนซือหม่าอี้เฉินและซือหม่าตงก็นั่งสนทนากันอยู่ที่โต๊ะทรงอักษรไม่ไกลจากสตรีทั้งสองมากนัก"อาตงข้าจะมอบตำแหน่งชินอ๋องให้กับเจ้า"ซือหม่าตงที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับพ่นชาร้อนออกจากปากทันที เขาวางถ้วยชาลงก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองพี่ชายตนอย่างหมดอาลัยตายอยาก"เสด็จพี่ ข้าไม่อยากเป็นชินอ๋องท่านก็รู้นี่ ข้าไม่อยากทำงานในราชสำนัก ข้าไม่อยากร่วมประชุมยามเช้า ข้าอยากอยู่แต่กับเมียข้า""ค่าจ้างเป็นชินอ๋องเดือนละหนึ่งพันตำลึง ไม่ต้องประชุมยามเช้า อยากไสหัวไปทำอันใดก็ไป เพียงแค่เป็นชินอ๋องหุ่นเชิดให้ข้าก็พอ ไม่เช่นนั้นคนนอกจะหาว่าข้าตระหนี่แม้กระทั่งตำแหน่งชินอ๋องที่ควรจะเป็นของน้องชาย ข้าไม่อยากถูกคนเอาข้าไปนินทาว่าไม่รักพี่รักน้อง"ซือห
เมื่อสงครามจบสิ้นลง บ้านเมืองก็กลับสู่ความสงบสุขอีกครั้งหนึ่ง คนชั่วถูกปราบปรามจนสิ้นซากไม่เหลือรอดแม้เพียงคนเดียว เหล่าช่าวบ้านต่างกู่ร้องยินดีกันถ้วนหน้าซือหม่าอี้เฉินทิ้งทหารเอาไว้ที่ชายแดนทางทิศเหนือหลายหมื่นนายเพื่อคอยดูแลความปลอดภัยของชาวบ้าน ส่วนราษฎรแคว้นฉีนั้นต่างยอมสวามิภักดิ์ต่อเขาอย่างไม่มีข้อแม้ อีกทั้งยังบอกว่าซือหม่าอี้เฉินเปรียบเสมือนเทพเซียนมาโปรด ที่ช่วยสังหารฉีอ๋องจนตกตายไปได้ เพราะที่ผ่านมาฉีอ๋องเอาเปรียบราษฎรไม่หยุดหย่อน อีกทั้งยังทำชั่วเอาไว้มาก ที่ผ่านมาก็ปกครองบ้านเมืองด้วยความอำมหิต เมื่อฉีอ๋องตกตายไป พวกเขาก็ถือว่าได้หลุดพ้นจากนรกขุมนี้เสียทีเมิ่งอ้ายเยว่รู้สึกดีใจยิ่งนักที่สงครามครานี้จบลงด้วยการที่แคว้นเยี่ยเป็นฝ่ายกุมชัยชนะ เมฆหมอกดำได้ผ่านพ้นไปจนหมดสิ้นแล้ว ยามนี้ได้เวลาเริ่มต้นใหม่เสียทีเมื่อสะสางเรื่องที่ชายแดนจบสิ้น ซือหม่าอี้เฉินและเมิ่งอ้ายเยว่ก็เดินทางกลับเมืองหลวงในทันที เมื่อกลับมาถึงเขาก็ปูนบำเหน็จให้กับเหล่าขุนนางที่มีความดีความชอบอย่างสมเกียรติ ส่วนขุนนางที่ได้รับผลกระทบก็ได้รับการปลอบประโลมเช่นเดียวกัน ไป๋จิ่งหยวนและหลี่หรงได้รับการปูนบำเหน
กลางดึกเขาสั่งให้คนลอบไปเผาคลังเสบียงในค่ายทหารของฉีอ๋อง ทั้งค่ายพลันวุ่นวายขึ้นมาทันที ซือหม่าอี้เฉินจึงใช้โอกาศนี้ไปแย่งชิงตัวซือหม่าตงกลับมา แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ง่ายนัก กว่าจะแย่งตัวคนมาได้ ฉีอ๋องก็รู้ตัวเสียแล้ว และได้ส่งทหารจำนวนหนึ่งออกมาจัดการกับซือหม่าอี้เฉิน ซือหม่าอี้เฉินรีบสั่งให้คนพาซือหม่าตงกลับเข้าชายแดนแคว้นเยี่ยโดยเร็วส่วนเขาและหลี่หรงก็รับมือกับทหารของฉีอ๋องเพื่อถ่วงเวลาให้น้องชายกลับเข้าเมืองไปได้อย่างปลอดภัยเมิ่งอ้ายเยว่และอวี๋ลู่เหลียนที่รออยู่ก่อนแล้วเมื่อเห็นว่าซือหม่าตงถูกช่วยกลับมาได้แล้วจึงสั่งให้คนตามท่านหมอมารักษาเขาทันที ด้านซือหม่าตงและหลี่หรงก็อาศัยโอกาสนี้โจมตีฉีอ๋องไม่หยุด ยามนี้ทหารของฉีอ๋องถูกสังหารไปไม่น้อย อีกทั้งคลังเสบียงก็มาถูกไฟเผา ฉีอ๋องจึงโกธรแค้นมาก และประกาศก้องว่าจะออกรบสังหารซือหม่าอี้เฉินและหลี่หรงด้วยตนเอง!ซือหม่าตงถูกพาตัวมารักษาโดยมีอวี๋ลู่เหลียนคอยจับมือเขาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ซือหม่าตงแม้จะเจ็บหนักแต่ยังพอมีสติอยู่บ้าง เขาหันมามองอวี๋ลู่เหลียนและยิ้มให้นางอย่างอ่อนล้า"ลู่เหลียน""ข้าอยู่นี่แล้ว ฮึก เจ้าอย่าเพิ่งพูดอันใดให้มากความเลย
เมื่อมีเรื่องดี ย่อมต้องมีเรื่องร้ายตามมายามนี้ชายแดนทางเหนือกำลังเกิดสงครามประทุขึ้นอย่างหนัก ส่วนชายแดนทางใต้ก็มีคนของอู่อ๋องที่รอดชีวิตจากสงครามหลายปีก่อนกำลังก่อความไม่สงบหมายจะช่วงชิงชายแดนคืน ซือหม่าอี้เฉินที่แต่ไหนแต่ไรมักทำตัวตามสบายมาโดยตลอด กลับมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขาเรียกให้ขุนนางฝ่ายบุ๋นเข้าร่วมประชุมอย่างเร่งด่วนมาหลายวันติดแล้ว แม่ทัพใหญ่หลี่และไป๋จิ่งหยวนแทบจะกินนอนอยู่ในวังหลวง หลังจากปรึกษาหารือกันอย่างดุเดือดในที่สุดก็ได้ข้อสรุปเสียทีซือหม่าอี้เฉินเห็นชอบให้ไป๋จิ่งหยวนนำกำลังทหารหลายแสนนายไปทำสงครามที่ชายแดนทางทิศใต้ และปราบปรามสุนัขรับใช้ที่เหลืออยู่ของอู่อ๋องให้สิ้นซาก ไป๋จิ่งหยวนรับคำและเร่งระดมพลออกค้นหาทันทีว่ามีคนของอู่อ๋องหลงเหลืออยู่อีกหรือไม่ หากมีก็ให้สังหารทิ้งให้สิ้นซาก จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังชายแดนทางใต้อย่างรวดเร็วส่วนซือหม่าอี้เฉินและหลี่หรงเดินทางไปยังชายแดนทิเหนือเพื่อต่อสู่กับกองทัพของฉีอ๋อง วันที่พวกเขาออกเดินทางมีชาวบ้านมายืนส่งตลอดทางและอวยพรให้พวกเขากลับมาพร้อมชัยชนะส่วนเมิ่งอ้ายเยว่และอวี๋ลู่เหลียนก็ติดตามซือหม่าอี้เฉินไปด
"ฝ่าบาท บุญคุณครานี้กระหม่อมจะไม่มีวันลืมเลย"ซือหม่าอี้เฉินเข้ามาประคองราชครูอวี๋ให้ลุกขึ้น ก่อนจะเอ่ย“สำนึกบุญคุณก็ดี ตาแก่อวี๋ หากอยากตอบแทนบุญคุณข้า ก็ยกบุตรสาวเจ้าให้แต่งกับข้า เป็นอย่างไร ได้ข้าเป็นลูกเขย เจ้านี่ทำบุญมาดีจริงๆ”ราชครูอวี๋ลอบเบ้ปากคราหนึ่ง ก่อนจะยิ้มเล็กน้อย"ฝ่าบาท เช่นนั้นกระหม่อมขอพาตัวบุตรสาวกลับจวนได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมอยากพานางไปทำความคุ้นเคยกับบ้านของนาง และกลับไปดูเรือนของแม่นาง แล้วกระหม่อมจะพานางกลับมาส่งให้ฝ่าบาท""ได้ ไปเถอะ คิดซะว่าชดเชยช่วงเวลาที่ไม่ได้พบเจอหน้ากันมานาน""ขอบพระทัยฝ่าบาท"เมื่อซือหม่าอี้เฉินอนุญาต เมิ่งอ้ายเยว่จึงติดตามราชครูอวี๋กลับจวน ซือหม่าอี้เฉินเพียงยิ้มเล็กน้อย เดิมทีเขาอยากตามนางไปด้วย แต่คิดอีกทีเขาไม่ไปดีกว่า อย่างไรควรจะให้สองพ่อลูกได้ใช้เวลาร่วมกันจะดีกว่าราชครูอวี๋พาเมิ่งอ้ายเยว่มาที่จวนของตนทันที เมื่อเข้าจวนมาแล้วเมิ่งอ้ายเยว่ก็พบว่าการตกแต่งของจวนราชครูอวี๋ช่างงดงามมากนัก แต่เพราะนางอยู่ในวังจนเคยชิน เห็นความงดงามมามากนัก จึงไม่ได้แสดงท่าทีตื่นเต้นจนเกินงาม"เรือนนี้เป็นเรือนของแม่เจ้า พ่อปิดตายเอาไว้ไม่ให้คน
ท้ายที่สุดคนตระกูลเมิ่งก็ถูกประหารตกตายไปตามกัน ของมีค่าทั้งหมดถูกยึดเข้าท้องพระคลังหลวง ข้ารับใช้ถูกขายไปที่โรงขายทาส ความชั่วที่พวกเขาเคยกระทำถูกเปิดเผยต่อสาธารณะชน สร้างความเกลียดชังให้แก่เหล่าชาวบ้านไม่น้อยเลยวันที่พวกเขาถูกประหารเมิ่งอ้ายเยว่ไม่ได้ไปร่วมดูด้วย นางเพียงนอนหลับพักผ่อนอยู่ในตำหนักมังกรสวรรค์ โดยมีซือหม่าอี้เฉินนั่งเฝ้าอยู่ข้างๆหลังจากจบสิ้นเรื่องของตระกูลเมิ่ง ก็มีเรื่องใหม่อีกเรื่องหนึ่งที่สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ผู้คนไปทั่วทั้งเมืองหลวงก่อนเดินทางไปชายแดนองค์รักษ์ลับที่ซือหม่าอี้เฉินส่งไปสืบเรื่องราวภูมิหลังของเมิ่งอ้ายเยว่เมื่อหลายเดือนก่อนก็กลับมารายงานงานผลลัพธ์ที่ได้แท้จริงแล้วเมิ่งอ้ายเยว่คือบุตรสาวคนโตที่เกิดจากภรรยาเอกของราชครูอวี๋ที่ถูกโจรป่าลักพาตัวไป คนของซือหม่าอี้เฉินสืบลึกลงไปอีกจนหาตัวสาวใช้ของอดีตฮูหยินนามว่าอาหลวนพบ ยามนี้นางเริ่มอายุมากแล้ว และยังแต่งงานกับชาวนาผู้หนึ่งและใช้ชีวิตอยู่ในชนบท นางบอกว่าตนเองและฮูหยินหนีตายไปด้วยกัน และยังเล่าความจริงทั้งหมดว่าย้อนกลับไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน ภรรยาเอกของราชครูอวี๋ถูกโจรป่าลักพาตัวไป ยามนั้นฮูหยินกำล







