ตำหนักคุนหนิง
เย่วลี่อิงเดินออกมาจากตำหนักกุ้ยเฟยด้วยสภาพที่ผมเผ้าเปียกเสื้อผ้าอาภรณ์ยุ่งเหยิง กลิ่นสุราฟุ้งคละคลุ้ง เมื่อเหล่าข้าราชบริพารเห็นก็รีบก้มหน้าก้มตาไม่กล้าเงยหน้ามามอง ทุกคนต่างคาดเดาเรื่องราวด้านในกันไปต่างๆ นานา จากเสียงที่ดังออกมา และสภาพผู้เป็นนายหญิงแห่งวังหลังที่เดินออกจากประตู
ตลอดทางที่เดินทางกลับมาจนถึงตำหนักคุนหนิงเย่วลี่อิงไม่ได้กล่าวสิ่งใดและไม่มีท่าทางโมโหหรืออารมณ์เกรี้ยวกราดให้เหล่าขันทีและนางกำนัลได้เห็น แตกต่างจากทุกครั้งที่มีการลงไม้ลงมือหรือลงโทษนางสนม เพราะถึงจะลงโทษไปแล้วแต่เย่วลี่อิงก็ยังอารมณ์ขุ่นมัวไม่หาย ต่างจากวันนี้ที่มีท่าทีสงบเงียบทั้งที่ตนมีสภาพราวถูกทำร้ายมาเสียเอง
เมื่อมาถึงตำหนักคุนหนิงเย่วลี่อิงก็สั่งให้เหล่านางกำนัลเตรียมน้ำอุ่น เพื่อชำระร่างกายที่เต็มไปด้วยกลิ่นสุรา อี้หงเข้ามาช่วยปลดเครื่องประดับและถอดเสื้อผ้าให้เย่วลี่อิงหลังจากที่เหล่านางกำนัลทั้งหมดออกจากห้องไป ผู้ที่เห็นเรือนร่างของเย่วลี่อิงมีเพียงอี้หงคนเดียวเท่านั้น นอกนั้นเย่วลี่อิงไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาปรนนิบัตินางเป็นการส่วนตัว
อี้หงนางกำนัลที่ติดตามมาตั้งแต่ตระกูลเย่วเห็นทางท่าที่เปลี่ยนไปของเย่วลี่อิงจึงอดเป็นห่วงไม่ได้ แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยถามเรื่องที่เกิดขึ้นภายใน แต่สภาพที่เห็นก็รับรู้ได้ว่าเย่วลี่อิงถูกรังแกมาเป็นแน่ และคนที่ทำร้ายนายของตนได้มีเพียงห้าวเทียนฮ่องเต้ผู้เดียว เพราะสนมหลี่กุ้ยเฟยย่อมมิกล้ารังแกนายของตนเป็นแน่
เย่วลี่อิงก้าวเท้าลงในถังน้ำใบใหญ่ที่มีไอจากความร้อนลอยขึ้น พลางหลับตาลงและนั่งทิ้งกายลงอย่างสบายตัว โดยมีอี้หงคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกาย
“ฮองเฮาเพคะ เป็นอะไรหรือเปล่าเพคะ”
เย่วลี่อิงครุ่นคิดถึงนิมิตฝันที่ตนอาละวาดจนเผลอพลาดทำให้เล็บยาวของนางข่วนใบหน้าของเฟยห้าวเทียนจนโลหิตไหลซึม จึงถูกเฟยห้าวเทียนสั่งโบย20ไม้และไล่ให้ไปอยู่ในตำหนักเย็นเป็นเวลา1เดือน ถึงไทเฮาจะมาช่วยไว้ และลดโทษลงเหลือโบย10ไม้และกักบริเวณให้อยู่แต่ในตำหนักคุนหนิงเป็นเวลา1เดือน แต่โทษของท่านพ่อที่ไม่สั่งสอนบุตรสาวให้ดีจนทำให้โอรสสวรรค์หลั่งโลหิต รวมถึงนิสัยอิจฉาริษยาจนเสียกิริยาต่อหน้าพระพักตร์ทำให้ท่านพ่อโดนสั่งโบย50ไม้และยึดตราเคลื่อนทัพคืน นางคิดไตร่ตรองว่าหากนางไม่เดินออกมาเหตุการณ์เหล่านั้นจะเกิดขึ้นหรือไม่
อี้หงเมื่อเห็นนายของตนไม่โต้ตอบสิ่งใดได้แต่นั่งเหม่อลอยคล้ายคนไม่มีสติก็ทำเอาใจหวั่นกลัว ว่าเย่วฮองเฮาจะเสียสติเพราะเสียใจที่ถูกห้าวเทียนฮ่องเต้ทำร้ายเพื่อปกป้องนางสนมที่เป็นเพื่อนรักของตน
“ฮองเฮาเพคะ ฮองเฮา คุณหนู คุณหนู” เมื่อเรียกแล้วยังไม่มีเสียงตอบรับนางจึงเขย่าแขนผู้เป็นนาย
“อี้หงมีเรื่องอันใด เจ้าจึงเสียมรรยาทกับข้าเช่นนี้” น้ำเสียงกึ่งตะคอก
อี้หงนอกจากจะไม่รู้สึกเกรงกลัวในคำพูดของเย่วฮองเฮายังยิ้มพร้อมทั้งน้ำตาให้กับเย่วฮองเฮาอีกด้วย
“เจ้าเป็นบ้าอะไร ถึงได้ยิ้มทั้งน้ำตาแบบนี้”
“หม่อมฉันดีใจเหลือเกินเพคะ หม่อมฉันคิดว่าฮองเฮาเสียใจที่โดนฮ่องเต้รังแกจน.....” อี้หงไม่กล้าพูดต่อ
เย่วลี่อิงมองหน้าอี้หงที่หยุดนิ่งไม่ย่อมพูดให้จบ แต่คำที่นางจะพูดเย่วลี่อิงก็เดาได้ไม่ยาก
“เจ้าจะบอกว่า ข้าเสียใจจนเสียสติสินะ”
อี้หงหลุบตาต่ำไม่กล้ามองหน้าเย่วฮองเฮา เพราะตั้งแต่ที่คุณหนูของนางถูกแต่งตั้งเป็นฮองเฮาคุณหนูของนางก็เปลี่ยนไปมาก หลายครั้งที่นางห้ามหรือเตือนแล้วทำให้เย่วฮองเฮาไม่พอใจจนถูกสั่งโบยหรือถูกสิ่งของที่อยู่ในมือเย่วฮองเฮาเขวี้ยงปาอยู่บ่อยครั้ง ต่างจากตอนเป็นเพียงชายาเอกขององค์รัชทายาทและตอนที่เป็นเพียงคุณหนูของนางราวคนละคน แต่อย่างไรนางก็อยู่เคียงข้างเย่วฮองเฮามาตั้งแต่เด็กเรื่องเหล่านี้นางจึงไม่สนใจ คิดแต่เพียงว่านางต้องรับใช้ดูแลนายของตนให้ดีที่สุดเท่านั้น
“ช่างเถอะ” เย่วลี่อิงยิ้มกว้างก่อนหลับตาแล้วแช่น้ำต่อ
รอยยิ้มของเย่วฮองเฮาทำให้อี้หงแปลกใจ เพราะตั้งแต่ขึ้นเป็นฮองเฮารอยยิ้มเช่นนี้ก็หายไป นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นภายในตำหนักของสนมหลี่กุ้ยเฟย แต่นางรู้สึกดีใจที่ได้เห็นรอยยิ้มอันสดใสแบบวันวานที่คุณหนูของนางยิ้มให้นางเสมอ และหวังว่าต่อจากนี้นางจะได้เห็นรอยยิ้มแบบนี้บ่อยๆ
เหล่านางกำนัลที่อยู่ด้านนอกพยายามห้ามเฟยห้าวซุนแล้วแต่ก็ห้ามไม่ได้ เพราะทุกคนต่างรู้ว่าหากเฟยห้าวซุนได้ร้องไห้แล้วจะไม่หยุดง่ายๆ พวกเขาจึงไม่กล้าขัดใจมากนัก เฟยห้าวซุนเมื่อเห็นบิดาเปิดประตูให้ก็รีบวิ่งเข้าไปด้านในทันที เยว่ลี่อิงเห็นบุตรชายวิ่งมาด้วยน้ำตาก็รีบเข้าโอบกอดบุตรชายไว้แน่น แต่นางกลับต้องแปลกใจเพราะครั้งนี้บุตรชายของนางกลับไม่ร้องไห้โวยวายนานเท่ากับครั้งที่ผ่านๆมาเฟยห้าวซุนลูบท้องมารดาเบาๆอยู่หลายครั้ง พร้อมทั้งทำหน้าทำตาราวกับมีความสงสัยอยากถามแต่ไม่ยอมเอ่ย นางจึงเป็นคนเอ่ยถามบุตรชายก่อน“เจ้าลูบท้องแม่เพราะอะไรอย่างนั้นหรือ”“ท่านอาฟางซินให้ลูกลูบท้องตอนน้องดิ้น ลูกเลยมาลองลูบท้องเสด็จแม่บ้าง เพื่อน้องจะดิ้น”เยว่ลี่อิงอดเอ็นดูในความใสซื่อของบุตรชายไม่ได้ จึงส่งยิ้มหวานให้เขา“ในท้องของแม่ไม่มีน้องอยู่ แล้วน้องจะดิ้นได้อย่างไร” นางเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม แต่บุตรชายกลับร้องไห้เสียงดังขึ้นมา ทำเอานางถึงกับตกใจเฟยห้าวเทียนรีบเข้ามาหาบุตรชายของตนเมื่อได้ยินคำสนทนาของแม่ลูก เขาใช้มือลูบหัวลูกชายเบาๆ แต่เขาก็ไม่ยอมหยุดร้อง“เจ้าอยากมีน้องอย่างนั้นหรือ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ค
4 ปีต่อมาเขานั่งมองบุตรชายที่วิ่งเล่นไปมากับเฟยห้าวเทียนก่อนที่จะหันมาหาภรรยาเพื่อจะชวนนางให้ออกไปจากอุทยานด้วยกันสองคน เพราะตั้งแต่เจ้าก้อนแป้งตัวน้อยลืมตาดูโลกเขากับนางก็แทบจะไม่ได้ร่วมหอกันเลยช่วงแรกๆเป็นเพราะนางอยากให้นมบุตรด้วยตนเองจึงเอาลูกเข้านอนด้วย ช่วงนั้นเขาก็มัวแต่ยุ่งกับการจัดการตระกูลฉินจึงไม่มีเวลามาคอยดูแลนางมากนัก เมื่อกลับมาเห็นนางอ่อนเพลียเขาจึงไม่กล้ารบกวนนาง ต่อมาเมื่อลูกชายโตขึ้นก็เริ่มติดแม่จนไม่ยอมออกห่างแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังพอมีเวลาที่บุตรชายหลับในการออดอ้อนนางบ้าง แต่ปีกว่าๆมานี้ลูกชายของเขาไม่ยอมให้เขาได้เข้าใกล้นางเลย แม้แต่เขาจะโดนเนื้อต้องตัวนางก็ยังยากต้องรอให้บุตรชายของเขาไม่เห็นเท่านั้นจึงจะสามารถทำได้ไม่ว่าเขาจะปะเหลาะบุตรชายอย่างไร เขาก็ไม่สามารถแตะต้องตัวภรรยาของเขาได้เสียที หากบุตรของเขาเห็นว่าเขาโดนเนื้อตัวมารดาก็มักจะร้องไห้ไม่หยุดไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ต้องหาวิธีปลอบใจอยู่นานถึงจะยอมเงียบได้“เสด็จแม่ ท่านจะไปไหน” เสียงเด็กน้อยดังขึ้น เมื่อเห็นเยว่ลี่อิงกำลังจะลุกจากตั่งนั่งเฟยห้าวเทียนได้แต่ถอนหายใจยาว เมื่อได้ยินเสียงบุตรชายเอ่ยเรียกภรรย
เฟยห้าวเทียนได้ยินคำพูดของนางก็แทบจะอดกลั้นอารมณ์ของตนเองไว้ไม่ไหว เขาพยายามผ่อนลมหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ เพื่อระงับความตื่นตัวของแก่นกายที่ตอนนี้ไม่รับฟังคำสั่งของเขาเสียเลยแต่เขากลับต้องสะดุ้งจนขนตามตัวลุกชันเมื่อมีมือน้อยๆสัมผัสโดนสิ่งที่พองโตอยู่ด้านล่าง เขารีบคว้ามือน้อยนั้นไว้ทันทีเพราะหากลูบคลำไปมากกว่านี้เขาเองคงต้านความปรารถนาไว้ไม่ไหว“ไม่ใช่ว่าข้าไม่ต้องการเจ้า แต่เพราะข้ากลัวจะทำรุนแรงเกินไปจนเป็นอันตรายต่อเจ้าและลูกได้”เยว่ลี่อิงกลับไม่สนใจฟังคำที่เขาเอ่ย เพราะนางรู้ดีว่าที่ผ่านมาเขาอดกลั้นมาตลอดเวลาที่นอนอยู่เคียงข้างนาง และวันนี้นางก็ได้ศึกษาและได้คำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์บวกกับนางได้ตรวจร่างกายมาเป็นอย่างดีแล้ว จึงไม่ได้คิดเป็นกังวลเรื่องอันใดอีก“พระองค์รู้หรือไม่เพคะ ว่าสตรีที่ตั้งครรภ์ในบางช่วงจะมีความต้องการในเรื่องแบบนี้สูง และหากไม่ได้ปลดปล่อยจะทำให้หงุดหงิดซึ่งไม่เป็นผลดีนัก”เฟยห้าวเทียนถึงกับอึ้งนิ่งไป และปล่อยมือออกจากมือของนางเมื่อได้ยินในสิ่งที่นางเอ่ย“เจ้าแน่ใจแน่แล้วใช่หรือไม่”“เพคะ หม่อมฉันแน่ใจ พระองค์เพียงปล่อยให้หม่อมฉันเป็นคนจัดการเองก็พอ”“เช่นนั้
“พวกท่านนี้ก็แปลกเสียจริง หากพระชายาของเราไม่ตั้งครรภ์พวกท่านก็จะให้เราแต่งชายารอง ตอนนี้นางตั้งครรภ์พวกท่านก็ยังจะให้เราแต่งชายารองอีก ตกลงพวกท่านต้องการอย่างไรกันแน่ หรือเพราะพวกท่านเพียงอยากส่งบุตรสาวของพวกท่านมาแต่งกับข้าจึงได้หาข้ออ้างให้ข้าแต่งชายารองใช่หรือไม่”ทุกคนต่างนิ่งเงียบไปชั่วหนึ่งจนอัครเสนาบดีฉินกระแอมดังขึ้นมา ขุนนางชราที่ยืนอยู่ข้างอัครเสนาบดีฉินก็รีบเอ่ยขึ้น“ทูลฝ่าบาท พวกกระหม่อมหาได้คิดดังเช่นองค์รัชทายาทตรัสไม่ เพียงแต่ข่าวลือหนาหูยิ่งนักว่าองค์รัชทายาททรงยอมปิดหน้าปิดตาสวมใส่หน้ากากเพื่อจะได้อยู่ใกล้กับพระชายา พวกกระหม่อมเลยคิดจะหาคนมาปรนนิบัติองค์รัชทายาท เพื่อไม่ให้องค์รัชทายาททรงต้องลำบากเพื่อไปหาพระชายาให้คอยปรนนิบัติ”“ขอบคุณเหล่าขุนนางทุกท่านที่เป็นห่วงเราจากใจ แต่เราไม่ได้มีความลำบากอย่างที่พวกท่านคิด เราไม่รู้ว่าภรรยาของพวกท่านไร้ความสามารถที่จะคอยดูแลปรนนิบัติพวกท่าน หรือเป็นที่พวกท่านมักมากกันแน่ แต่เพราะพระชายาเราดูแลเราดีมากพอ และเราก็หาใช่บุรุษที่มักมากแค่เพียงภรรยาตั้งครรภ์ก็ต้องหาสตรีอื่นมาปรนนิบัติ เช่นนั้นเราจึงไม่จำเป็นที่จะต้องมีชายาเพิ่มเช่น
ตำหนักบูรพาเมื่อกลับมาถึงตำหนักเฟยห้าวเทียนก็ให้หมอหลวงตรวจร่างกายของเยว่ลี่อิง เพราะระหว่างทางกลับมานางมีอาการแพ้ท้องมาตลอดทาง ไม่รู้ว่าเหตุใดยิ่งเขาเข้าใกล้นาง นางก็ยิ่งอาการหนักขึ้นจนนางต้องไล่เขาออกไปไกลๆ แต่พอให้คนอื่นมาพยุงนางกลับไม่เป็นอันใดเสียอย่างนั้น ทำให้เขารู้สึกลังเลใจเป็นอย่างมาก ว่าที่นางเป็นอยู่นี้นางเป็นจริงหรืออยากกลั่นแกล้งเอาคืนที่เขาเคยเฉยเมยต่อนาง“กราบทูลองค์รัชทายาทพระชายามีพระวรกายแข็งแรงดีไม่มีอันใดน่าเป็นห่วงพ่ะย่ะค่ะ ส่วนอาการคลื่นไส้ อาเจียนก็เป็นเรื่องธรรมดาของสตรีมีครรภ์เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”“เช่นนั้นทำไมถึงมีอาการแพ้เพียงตอนเราเข้าใกล้ แต่ทีกับคนอื่นกลับไม่เป็นอันใด” เฟยห้าวเทียนเอ่ยถามอย่างเป็นกังวลและสงสัยหมอหลวงอึ้งไปพักหนึ่งเพราะเขารู้ดีว่าองค์รัชทายาทย่อมรู้สึกหงุดหงิดที่ไม่สามารถเขาใกล้พระชายาของตนได้ แต่ยังโชคดีที่เขาเคยเห็นสตรีที่มีอาการแพ้ท้องสามีของตนเองมาก่อนจึงพอรู้วิธีแก้อยู่บ้าง แต่จะให้บอกสาเหตุเขาเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้“กระหม่อมไม่ทราบสาเหตุพ่ะย่ะค่ะ เพราะสตรีที่ตั้งครรภ์แต่ละคนจะแพ้ท้องไม่เหมือนกัน แต่กระหม่อมเคยพบเจอคนแพ้ท้องที่มีอาการแ
เมื่อได้ยินข้อแม้ของบิดาเฟยห้าวหลานหันมามองพี่ชายของตนด้วยสายตาไม่พอใจก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงดังฟังชัด“รอให้เสด็จพี่มีบุตร ลูกว่าเสด็จพ่อให้ลูกแต่งเข้าสกุลกงแล้วให้ลูกมีหลานให้เสด็จพ่อยังจะเร็วเสียกว่า ลูกจะไปถามหรงเอ๋อร์ว่าลูกคนแรกของเรายกให้ตระกูลเฟยได้หรือไม่”เฟยห้าวเทียนถึงกับตบโต๊ะเสียงดัง และชี้นิ้วไปยังน้องชายของเขา เฟยห้าวเทียนเองก็ไม่คาดคิดว่าจะถูกบิดาเล่นงานด้วยเช่นกัน แต่นั่นก็ไม่น่าโมโหเท่ากับคำพูดของน้องชาย“เจ้าช่างกล้าดูถูกข้ายิ่งนัก”สองสามีภรรยาที่นั่งดูบุตรชายทั้งสองอยู่กลับหัวเราะออกมาเสียงดัง เพราะเขารู้ดีว่าที่บุตรชายคนเล็กเอ่ยนั้นไม่ได้คิดจะดูถูกพี่ชายเพียงแต่จะกระตุ้นพี่ชายให้มีบุตรไวๆเท่านั้นเยว่ลี่อิงเห็นสามีกำลังโกรธน้องชายก็เอื้อมมือมาจับมือเขาและลูบหลังมือของเขาเบาๆเพื่อให้เขาใจเย็นลง ก่อนจะส่งยิ้มหวานให้เขา เฟยห้าวเทียนเมื่อหันมามองหน้าภรรยาก็ยิ่งนึกโกรธเพราะหลายวันมานี้นางไม่ยินยอมให้เขาค้างที่เรือนนอนด้วยยังไม่พอ ยังคอยหลบหน้าหลบตาเขาอีกด้วย แถมวันนี้น้องชายยังมาดูถูกเขาอีก และที่สำคัญตอนนี้นางทำเหมือนราวกับจะอาเจียนเมื่อมองหน้าเขา เขาจึงทำหน้าไม่พอใจใส่น