LOGINเสียงนาฬิกาปลุกดังตอนเจ็ดโมงตรง ฉันปัดมันเหมือนกำลังต่อสู้กับยุงยักษ์ ก่อนลืมตาอย่างเต็มตาเมื่อได้ยินเสียง “เหมียววว” ของโมจิ มันยืนจังก้าอยู่บนหน้าอกฉัน น้ำหนักเกือบเก้ากิโลกดให้หายใจติดขัดเหมือนมีหมอนวิเศษกดทับอยู่ตลอดเวลา
“โอเค ๆ ตื่นแล้วจริง ๆ จ้า นายเป็นเทรนเนอร์ส่วนตัวฉันเหรอ” ฉันดันมันออกอย่างเบามือ มันตอบกลับด้วยเสียงสั้น ๆ แล้วเดินไปเลียขนตัวเองตรงมุมพรมอย่างผู้ชนะในศึกยามเช้า
ฉันลุกมาหยิบแก้วน้ำ กลั้วคอเบา ๆ แล้วเปิดม่าน แสงเช้าสีทองอ่อนสาดเข้ามาเติมความสว่างให้ห้องที่ยังมีแต่กล่องและเฟอร์นิเจอร์ชั่วคราว กลิ่นสีเคลือบพื้นยังจาง ๆ แต่กลับทำให้รู้สึกว่า “นี่แหละบ้านใหม่”
ยังไม่ทันได้ทำอะไร เสียงเครื่องบดกาแฟ “กรืดดดดด” ดังขึ้นจากฝั่งตรงข้ามทางเดิน กลิ่นหอมอบอวลลอยเข้ามาด้วย ฉันไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามาจาก 18B ห้องของเพื่อนบ้านที่ช่วยชีวิตท่อครัวฉันเมื่อวาน
“นายห้ามวิ่งไปนะ” ฉันชี้นิ้วเตือนโมจิ แต่มันทำหูเฉยเหมือนกำลังอ่านบทกวีภายในใจ
พอฉันเปิดประตูออกไป ประตู 18B ก็เปิดแง้มพอดี ภีมอยู่ในชุดสบาย ๆ เสื้อยืดสีเทา กางเกงวอร์ม มือหนึ่งถือแก้วเซรามิก อีกมืออุ้มโตโตะ โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ที่หางส่ายแรงเหมือนใบพัด
“อรุณสวัสดิ์ครับ” เขายิ้มบาง ๆ “เมื่อเช้าผมลองคั่วเบลนด์ใหม่ อยากชิมไหม”
ฉันยกมือโบก “ยังดีกว่าค่ะ เดี๋ยวกลายเป็นหนี้กาแฟจนต้องจ่ายเป็นข้าวผัดไปทั้งปี”
“งั้นให้ถือว่าเป็น ‘ประชุมเช้าของชั้น 18’” เขาวางแก้วลงที่ตู้หน้าห้อง ชี้นิ้วนับ “สมาชิก คุณ ผม โมจิ โตโตะ วาระประชุม อาหารเช้า และกฎการอยู่ร่วมกันโดยไม่ทำห้องท่วมซ้ำ”
ฉันหัวเราะจนตาหยี “ได้ค่ะ ขอเวลาแต่งตัวสามนาที แล้วเจอกันที่ระเบียงส่วนกลาง”
โมจิทำหน้าเฉย ๆ เหมือนกำลังจะคว่ำมติ แต่สุดท้ายก็เดินตามฉันเข้าห้องไปอย่างขี้เกียจ
ระเบียงส่วนกลางของชั้น 18 มีโต๊ะหินอ่อนกลม ๆ สีขาวและเก้าอี้เหล็กสองสามตัว มีกระถางเฟิร์นแขวนเรียงเป็นแนว ลมเช้าอ่อน ๆ พัดพาเสียงจิ้งหรีดจากสวนดาดฟ้าด้านบนลงมาด้วย ภีมเอาเทอร์โมสกาแฟกับแก้วสองใบมาวาง พร้อมจานโทสต์กรอบ ๆ โรยน้ำตาลนิดหน่อย ส่วนฉันถือข้าวปั้นสามเหลี่ยมจากเซเว่นมาสมทบอย่างภูมิใจ
“วาระที่หนึ่ง: อาหารเช้า” ภีมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่หางคิ้วมีรอยยิ้ม
ฉันยกข้าวปั้นขึ้น “รายงาน: อร่อยมาก แต่มีสายตาหนึ่งคู่กำลังคัดค้านอยู่ค่ะ” ฉันชี้ไปที่โมจิที่จ้องข้าวปั้นเหมือนกำลังจะฟ้องศาลแมวโลก
โตโตะนั่งเรียบร้อย หางตีพื้นเป็นจังหวะ “ปึก ๆ” ทุกสองวินาที จนฉันสงสัยว่ามันกำลังซ้อมกลองอยู่เงียบ ๆ
“วาระสอง: การอยู่ร่วมกัน” ภีมพูดต่อ “ผมตื่นเช้าคั่วกาแฟ อาจมีเสียงบดกับกลิ่นแรงบ้าง ถ้ารบกวนบอกได้เลย”
“ไม่รบกวนเลยค่ะ เสียงบดกาแฟดีกว่าเสียงน้ำพุ่งจากเครื่องซักผ้าของฉันมาก” ฉันรีบสวน ทำเอาเขาหัวเราะในลำคอ
“แล้วของคุณล่ะ มีอะไรที่ผมควรรู้” เขาถามด้วยน้ำเสียงใจเย็น
ฉันยกมือเหมือนสารภาพบาป “ฉันนอนละเมอบางครั้ง ถ้าได้ยินผู้หญิงพูดคนเดียวตอนตีสอง อย่าแจ้ง รปภ. นะคะ”
ภีมนิ่งไปหนึ่งจังหวะ ก่อนจะหลุดยิ้ม เสียงหัวเราะทุ้ม ๆ นั้นทำเอาหัวใจฉันอุ่นแบบไม่ต้องชงลาเต้เพิ่ม
ระหว่างเราจิบกาแฟ ฉันสังเกตนิ้วเขาที่ยกแก้วมั่นคง มือของคนทำงานกับเครื่องมือกับเครื่องชงทุกวัน ดูนิ่งจนชวนรู้สึกเชื่อใจอย่างประหลาด
“วาระสุดท้าย: แนะนำแหล่งอร่อยย่านนี้” เขาหยิบแผนที่เล็ก ๆ ที่พับใส่กระเป๋ามากางบนโต๊ะ “ร้านก๋วยเตี๋ยวปากซอย น้ำซุปดี แต่ถ้าคุณกินเผ็ดไม่เก่งอย่าใส่พริกเผาเยอะ”
“ฉันไม่ใช่มือใหม่เรื่องพริกนะคะ” ฉันยักคิ้วท้าทาย
“งั้นเย็นนี้พิสูจน์” เขาพูดสั้น ๆ ง่าย ๆ เหมือนแค่นัดแวะหน้าตึก แต่คำว่า “เย็นนี้” ไปสะกิดหัวใจฉันจนต้องก้มกินข้าวปั้นกลบแก้มที่ร้อนวาบ
โมจิกับโตโตะค่อย ๆ ขยับเข้าใกล้กัน โตโตะยื่นจมูกไปดมเบา ๆ โมจิทำเสียง “ฟู่” นิดเดียวแล้วถอนหายใจยาวเหมือนผู้ใหญ่ที่เข้าใจโลกขึ้นหนึ่งเสี้ยว ฉันกับภีมเฝ้าดูอย่างใจจดใจจ่อ สุดท้ายโตโตะนอนหมอบเฉย ๆ แสดงความบริสุทธิ์ใจ ส่วนโมจิยอมเดินวน ๆ ดมเก้าอี้เหมือนกำลังสำรวจพื้นที่ประชุม
“ดีขึ้นกว่าวันแรก” ภีมว่า
“ใช่ค่ะ ก้าวเล็ก ๆ ของสัตว์เลี้ยง ก้าวใหญ่ของชั้น 18” ฉันแกล้งทำเสียงผู้ประกาศรายการวิทยุ เล่นเอาภีมหลุดหัวเราะ
ฉันลองจิบกาแฟที่เขารินให้ กลิ่นหอมของถั่วเชียงรายคั่วกลางชัดเจน มีความเปรี้ยวสดนิด ๆ ตามด้วยหวานปลาย ๆ แบบน้ำผึ้งดอกไม้ “อร่อยมากค่ะ คุณตั้งใจชงมาก”
“ดีใจที่ชอบ” เขาตอบ “ผมเรียกเบลนด์นี้ว่า ‘เริ่มใหม่’ เพราะใช้เมล็ดล็อตแรกที่คั่วหลังย้ายมาคอนโด”
“เหมาะกับฉันเลยค่ะ” ฉันวางแก้ว ยิ้มให้ตัวเองเงียบ ๆ
สายลมพัดเฟิร์นไหวเบา ๆ ฉันแอบคิดว่า ถ้าชีวิตใหม่มีกลิ่น น่าจะเป็นกลิ่นกาแฟแบบนี้นี่แหละ
ก่อนจะเข้าออฟฟิศ ฉันแวะกลับห้อง เช็คเครื่องซักผ้าที่กลายสภาพจากศัตรูเป็นเพื่อนบ้านชั่วคราว แค่อมยิ้มกับป้ายโน้ตเล็ก ๆ ที่แปะไว้เหนือวาล์ว ภีมเขียนดินสอว่า “ห้ามเปิดก่อนช่างตรวจ เทวดาชั้น 18” ฉันหัวเราะแล้วหยิบหน้ากาก ลิปกรอส และสมุดโน้ตใส่กระเป๋าผ้า
ออกจากลิฟต์ชั้นล่าง ฉันแทบชนเข้ากับแม่บ้านคอนโดที่กำลังเข็นรถทำความสะอาด “ขอโทษค่ะ” ฉันรีบยกมือไหว้
แม่บ้านยิ้ม “ไม่เป็นไรจ้ะ เมื่อวานน้ำรั่วใช่ไหม ได้ข่าวจากช่าง เขาบอกว่าหนุ่มห้อง B ช่วยปิดให้ทัน”
“ใช่ค่ะ เขาเก่งมาก ๆ” ฉันยิ้มกว้าง
“หนุ่มคนนั้นสุภาพนะ เลี้ยงหมาน่ารัก” แม่บ้านว่า “ถ้าเจออีก ฝากทักทายด้วย”
ฉันพยักหน้า หัวใจอุ่นขึ้นอีกนิดอย่างไม่มีเหตุผลชัดเจน
เดินออกมาถนนหน้าโครงการ ร้าน “ที่เดิม” เปิดไฟนวล ๆ เพลงแจ๊สเบาคลออยู่ ฉันชะโงกดูแวบหนึ่ง เห็นภีมยืนหลังบาร์ พนักงานหญิงกำลังจัดคุกกี้ในโหล ฉันยกมือไหว้จากนอกกระจก เขาเงยหน้ามายิ้มบาง ๆ แล้วชี้นิ้วขึ้นบนราวกับบอกว่า “สู้ ๆ กับวันทำงาน”
แค่นั้นก็เหมือนได้กาแฟเพิ่มอีกครึ่งช็อต
“บางความเงียบอบอุ่นกว่าคำขอโอกาส” เสียงกาน้ำเดือดดังแผ่วในห้องครัวเล็ก ๆ ของคอนโด มะปรางเทกาแฟลงแก้ว กลิ่นหอมลอยปะทะจมูกพร้อมความรู้สึกที่ทั้งคุ้นและสั่นเบา ๆ ที่หน้าอก โมจิเดินมาคลอเคลียขา ส่งเสียง “เมี้ยว—” เหมือนรู้ว่าเจ้าของกำลังมีเรื่องกังวล “วันนี้แม่ต้องเจอคนเก่านะ” เธอก้มลงลูบหัวมันเบา ๆ “อย่าให้แม่ใจสั่นมากเลยนะโมจิ” เจ้าแมวตัวกลมตอบกลับด้วยเสียงเบา ๆ แล้วเดินไปนอนบนกระเป๋าผ้า เหมือนจะกันไม่ให้เธอออกจากห้อง โทรศัพท์สั่นเตือนบนโต๊ะภีม: วันนี้ทีมคุณมากี่คนครับ จะได้เตรียมโต๊ะ โตโตะจะได้ไม่เห่าใส่มะปรางเผลอยิ้ม ก่อนพิมพ์ตอบมะปราง: ห้าคนค่ะ รวมลูกค้าด้วย ขอบคุณมากนะคะ ยังไม่ทันวางโทรศัพท์ เสียงโทรเข้าดังขึ้น “มิ้นท์” โผล่มาเต็มจอ “ตื่นยัง ยัยโมจิใหญ่” น้ำเสียงคุ้นเคยดังสดใสแต่แฝงความห่วง “ตื่นแล้วสิ แต่ใจยังไม่พร้อมเจออดีตเท่าไร” “อย่าบอกนะว่ายังใจเต้นอยู่” “เต้นค่ะ...แต่เต้นเพราะกลัวจะทำหน้าตาไม่ถูก” “ดีแล้ว อย่างน้อยเธอก็ยังมีความรู้สึก แปลว่ายังไม่ด้าน” มะ
เสียงพิมพ์คีย์บอร์ดดังสลับกับเสียงเครื่องปรับอากาศที่เป่าลมเบา ๆ ทั่วออฟฟิศ มะปรางนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานตัวเดิม ข้าง ๆ มีกองแฟ้มเอกสารและถ้วยกาแฟเย็นที่ละลายไปครึ่งแก้ว เธอจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างตั้งใจ แต่สายตากลับพร่าเพราะใจลอยไปถึงวันปิดกอง ภาพคนที่ยื่นแก้วกาแฟให้เธอด้วยรอยยิ้มเรียบง่ายยังคงวนเวียนในหัวไม่จาง เสียงแจ้งเตือนเมลเด้งขึ้นมาในจังหวะเดียวกับที่เธอถอนหายใจFrom: Natee S.Subject: Debrief Meeting – ขอเวลาคุยงานเพิ่มเติมครับ เธอมองชื่อผู้ส่งอยู่นาน มือที่จับเมาส์นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะกดเปิดอย่างระมัดระวัง “ปรางครับ มีไอเดียอยากต่อยอดจากแคมเปญนี้นิดหน่อย พอมีเวลาคุยไหมครับ?” ถ้อยคำดูสุภาพ แต่ในใจของเธอกลับได้ยินเสียงที่คุ้นเคยในแบบเดียวกับเมื่อสองปีก่อน ตอนที่เขาใช้เสียงเดียวกันพูดว่า “ไว้ค่อยคุยกันนะ” ก่อนหายไปจากชีวิตเธอ มะปรางพิมพ์ตอบในโทนที่เป็นทางการที่สุด “ได้ค่ะ ถ้าเป็นเรื่องงาน รบกวนแจ้งเวลาล่วงหน้า จะได้จัดตารางประชุมให้ค่ะ” ส่งเสร็จเธอรีบปิดเมล แล้วพยายามฝืนทำงานต่อ แต่สมาธิกลับหล่นหายไป
เมื่อทุกอย่างดูเข้าที่ เหตุการณ์ทดสอบเล็ก ๆ ก็โผล่มาอีกครั้ง ขณะตั้งไฟสองดวงไขว้กันเพื่อให้เงาแก้วดูมีมิติ อยู่ ๆ ไฟในโซนบาร์ก็กะพริบ “แป๊ะ” แล้วดับเงียบทั้งแถบ “อ่าว เบรกเกอร์ไปแล้วเหรอ” พีทร้อง ฉันหันขวับมองนาฬิกา เวลาเริ่มบีบ เพราะเรายังต้องเก็บช็อตสุดท้ายช่วงแสงเย็น ภีมถือไฟฉายเล็กออกมาทันทีเหมือนเตรียมไว้สำหรับเหตุการณ์นี้อยู่แล้ว “ตรงนี้คงรับกำลังไฟของเครื่องชงกับไฟชุดหนึ่งตัวไม่ไหวครับ เดี๋ยวผมย้ายปลั๊กชุดไฟไปที่อื่นแทน แล้วใช้รีเฟล็กซ์แทนไฟหนึ่งดวง จะได้ไม่ดึงกระแสเกิน” เขาพูดจบก็ลงมือทันที จัดปลั๊กพ่วง เสียบ–ดึง–ลองสวิตช์อย่างใจเย็น ทีมงานที่เหลือช่วยจับรีเฟล็กซ์ขนาดกลาง ภายในห้านาทีไฟกลับมาสว่างแต่ไม่จ้าเกิน ได้ภาพในจออย่างที่อยากได้ “โห…เจ้าของร้านนี่แหละแก้ปัญหาเก่งกว่าช่างไฟอีก” พีทยกนิ้วให้ ฉันยืนมองภาพในจอแล้วหันไปมองเจ้าของร้านตัวจริง คนนั้นยืนเช็ดมือกับผ้าเช็ดบาร์เหมือนเดิม สีหน้าสงบเหมือนตอนชงกาแฟ นาทีนั้นหัวใจฉันนิ่งแบบที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นในกองถ่าย เร่งแค่ไหนก็มักจะมีความลนอยู่ในอากาศ แต่เขากลับทำให้ห้องนี้ห
เช้าวันถัดจากทริปเล็ก ๆ ฉันตื่นก่อนนาฬิกาอีกครั้ง เหมือนร่างกายจำสัญญาเงียบ ๆ ระหว่างฉันกับเช้าว่าเราจะเริ่มวันด้วยความอุ่น ไม่ใช่ความรีบ ฉันชงดริปด้วยเมล็ด “ทุ่งหญ้ารุ่นพิเศษ ทริปเล็ก ๆ” ที่ภีมยื่นให้เมื่อคืนก่อน กลิ่นดอกไม้จาง ๆ ลอยขึ้น ปลายรสหวานเหมือนเสียงหัวเราะที่ยังค้างอยู่ในคอจากเมื่อวาน ฉันยกแก้วไปยืนที่ระเบียง เห็นประตูฝั่งตรงข้ามเลื่อนเปิดในเวลาแทบจะตรงกัน ภีมยกแก้วของเขาขึ้นนิด ๆ เราสองคนยิ้มให้กันอย่างไม่ต้องพูดอะไรมาก “วันนี้สู้ ๆ นะครับ” เขาพูดเบา ๆ แต่ได้ยินชัด “คุณด้วยค่ะ” ฉันตอบ ทั้งที่ในหัวเริ่มเรียงงานแบบผู้จัดการกองถ่ายฉบับเร่งด่วน เพราะวันนี้คือวันสำคัญ ทีมฉันต้องถ่ายทำคอนเทนต์ชุด “Warm is a Place” สำหรับลูกค้า และโลเกชันที่เลือกคือร้านของภีม…ที่เดิม หลังอาบน้ำแต่งตัว ฉันเปิดงานในโทรศัพท์ ไลน์กรุ๊ป “กองอุ่นจริง” (ตั้งชื่อตามคีย์เวิร์ด) เด้งข้อความจากพี่นนท์: “คอนเฟิร์ม 10:00 เริ่มเซ็ต ซีนแรกเปิดหน้าร้าน ซีนสองบาร์ ซีนสามโต๊ะไม้ ใครถึงก่อนช่วยแจ้ง” ฉันพิมพ์ตอบ “ฉันถึงก่อน 9:30 ไปเช็กลิสต์พร็อพกับเจ้าของร้านค่ะ” แล้
เขาเงียบไปเล็กน้อยเหมือนเช็กหัวใจตัวเองก่อนพูด “เคยครับ แต่ภาพนั้นไม่ชัดเจนเท่าไหร่ รู้แค่ว่าถ้ามีมันคงเหมือนโต๊ะหนึ่งตัวที่คนในบ้านชอบกลับไปนั่งด้วยกัน มีเสียงหัวเราะของสัตว์เลี้ยง มีแก้วน้ำสองใบวางอยู่เสมอ” ฉันยิ้มกว้างกว่าคำถามที่ตั้งใจ “แก้วสองใบ…บนที่รองแก้วสองแผ่น” เขายิ้มกลับ “ครับ” เราลุกขึ้นไปเดินรอบบึงช้า ๆ หลังทานของว่าง ดอกหญ้าสีน้ำนมไหวตามลมเหมือนคนโบกมือทักทายจากสองฟากทาง ฉันเดินถือสายจูงโตโตะ ภีมสะพายตะกร้า ส่วนโมจิอย่างที่คาดขึ้นคานอนบนไหล่ภีมเหมือนราชินีบนราชรถ คนเดินสวนมาหลายคนอดทักไม่ได้ “น้องแมวเก่งจังเลยค่ะ” ภีมยิ้ม “จริง ๆ แล้วเก่งที่ยอมให้ผมแบกมากกว่าครับ” ฉันหัวเราะจนลืมว่าครู่หนึ่งก่อนหน้านี้ฉันเคยล้มกลิ้ง ความเขินจากเหตุการณ์เช้าแปรสภาพเป็นความจำที่น่ารักอย่างรวดเร็ว เมื่อเดินครบรอบ เรากลับมาที่ผ้าปิกนิก ฉันวางโมจิลง มันเดินตรงไปตรวจคุณภาพอาหารบนจานภีมแล้วนั่งทับรายการกินเหมือนจะปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง โตโตะหมดแรงนิด ๆ นอนแผ่พุงเหยียดขาตรง ทำหน้าฟินราวกับเพิ่งชนะ
เช้าวันหยุดหลังคืนดาดฟ้าที่ใจเราเหมือนตกลงสัญญาเงียบ ๆ ฉันตื่นเร็วกว่าปกติทั้งที่ไม่มีนาฬิกาปลุก ลมเช้าจากระเบียงพัดกลิ่นกาแฟที่บดไว้เมื่อคืนโชยเข้ามา โมจิเดินมาวนรอบขาเหมือนนาฬิกาปลุกมีขน ฉันลูบหัวมันแล้วพูดกับตัวเองว่า วันนี้อยากทำอะไรช้า ๆ แบบไม่ต้องชนะเวลา พอเปิดประตูระเบียงก็เจอภีมยืนพาโตโตะออกมารับแดดจาง ๆ เขาส่งยิ้มแบบที่เคยทำ ยิ้มที่ไม่รีบให้คำตอบ แต่บอกว่าอยู่ข้าง ๆ “อรุณสวัสดิ์ครับ” “อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ฉันตอบพร้อมยกแก้วน้ำให้โมจิดมเล่น แดดเช้าตีกับราวระเบียงเป็นริ้ว ๆ จนฉันเผลอหยุดมอง ภีมเอ่ยขึ้นเหมือนคิดไปพร้อมกับลม “วันนี้อากาศดี อยากลองพาโตโตะไปสวนสาธารณะนอกเมือง…คุณกับโมจิสนใจไปด้วยไหมครับ” คำชวนฟังดูง่าย แต่หัวใจฉันกลับทำงานซับซ้อนขึ้นมาทันที มันไม่ใช่แค่ไปสวน มันคือการออกนอกพื้นที่ปลอดภัยที่เราเคยอยู่ร่วมกัน จากโถงชั้น 18 ระเบียง โต๊ะโอ๊ค ไปสู่โลกกว้างที่เราไม่เคยใช้เวลาเป็น “พวกเรา” จริง ๆ มาก่อน ฉันลังเลเพียงเสี้ยววินาที ก่อนพยักหน้า “ไปค่ะ” โมจิตอบแทนด้วยการตดเ







