LOGINบ่ายวันเสาร์เป็นบ่ายแบบที่แสงอาทิตย์สีเหลืองนวลไล้ขอบผ้าม่านจนดูเหมือนใครเอาพู่กันมาปัดแสงไว้บาง ๆ ฉันกำลังล้างแก้วที่ซิงก์ อยู่ดี ๆ โทรศัพท์ก็ดัง “ตึ๊ง” ข้อความจากบริษัทขนส่งขึ้นมาอย่างกับเสียงกลองชัยในสนามรบ
“พัสดุของคุณมะปรางจัดส่งถึงแล้ว กรุณารับของที่ล็อบบี้ค่ะ”
“มาแล้ว!” ฉันเผลออุทานกับอากาศ โมจิที่กำลังนอนแผ่บนพรมสะดุ้งเงยหน้ามองด้วยสีหน้าประมาณ “มีอะไรให้กินหรือยัง” ฉันก้มลูบหัวมัน “ไม่ใช่ขนมนะคุณนาย เป็นโต๊ะใหม่ของเรา โต๊ะจริง ๆ ที่ไม่ใช่โต๊ะพับพลาสติก หูยยย ในที่สุดห้องเราจะดูเหมือน ‘ห้อง’ ไม่ใช่โกดังแล้ว”
โมจิหาวหวอดเป็นคำตอบ ฉันหัวเราะ หยิบหน้ากาก กระเป๋า และกุญแจ รีบลงลิฟต์ไปชั้นล่าง ระหว่างยืนรอฉันพิมพ์ไลน์หามิ้นท์ “โต๊ะมาละ! ฉันจะมีพื้นที่วางจานแบบผู้ดีแล้ว!” ปลายทางตอบเร็วเกินมนุษย์ “สู้ ๆ ยกขึ้นเองได้ปะ หรือเรียก ‘เทวดาชั้น 18’ ดีคะ” ตามด้วยอีโมจิยักคิ้ว
“ไม่ต้อง!” ฉันตอบทันที แม้หัวใจข้างในจะเสียงแตกฝั่งหนึ่งว่า เรียกสิ ๆ แต่ศักดิ์ศรีบอกว่าเรายกเองได้ สตรีอิสระชนิดมีไขควง (ถึงจะใช้ไม่ค่อยเป็นก็เถอะ)
ที่ล็อบบี้ พนักงานยกกล่องสีน้ำตาลขนาดประมาณโต๊ะเครื่องแป้งวางลงบนรถเข็นหน้าเคาน์เตอร์ กล่องมีสติ๊กเกอร์พิมพ์คำว่า “Coffee Table – Oak Finish – Some Assembly Required” และมีรูปน็อตกับไขควงยิ้มหวานใส่ฉันราวกับทักว่า “เดี๋ยวเจอกันนะ”
“ของชิ้นนี้หนักหน่อยนะครับ คุณผู้หญิงไหวไหมครับ” รปภ.ถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย
“ไหวค่ะ ๆ สบายมาก” ฉันตอบอย่างมั่นใจระดับโฆษกทีวี ทั้งที่ในใจคิดว่า นี่มันหนักระดับซิทอัพหนึ่งพันครั้งเลยหรือเปล่า แต่เมื่อชีวิตต้องการภาพลักษณ์ เราก็ต้องรักษาภาพลักษณ์
ฉันเซ็นรับของ ลองดันรถเข็น โอเค ล้อดี ไม่มีล็อก แล้วลากไปเข้าลิฟต์ โชคดีที่ไม่มีใครอยู่ด้วย ฉันยืนพิงกล่องหอบเบา ๆ แล้วคุยกับตัวเองเงียบ ๆ “มะปราง เธอทำได้ นี่มันแค่กล่องกับแรงโน้มถ่วงโลก อย่าให้มันชนะ” พอลิฟต์ถึงชั้น 18 เสียง “ติ๊ง” ดังราวกับพิธีประกาศเกียรติคุณของฉันเอง
หน้าห้อง 18A คือฉากทดสอบชีวิต ขั้นตอนคือ ฉันต้องโอบกล่องไว้ด้วยสองแขน โน้มตัวถอยหลังเล็กน้อยเพื่อรับน้ำหนัก จากนั้น ในภาวะที่มือไม่มีเหลือ ใช้ข้อศอกพุ่งไปบิดลูกบิด แล้วใช้สะโพกดันประตูเปิดอ้า ระหว่างนั้นต้องกะให้กล่องไม่ล้มทับหน้า ไม่ครูดพื้น และฉันไม่ร้องอุทานคำที่ไม่ควรออกสื่อ
“หนึ่ง…สอง…สาม!” ฉันสูดหายใจ โอบกล่องแน่น กล้ามแขนที่ไม่ค่อยมี สั่นเล็กน้อย พลังกายระดับผู้รอดชีวิตจากการยกถังน้ำ 7 ลิตรในวัยมหาลัยถูกงัดมาใช้เต็มที่ ฉันบิดลูกบิดได้ครึ่งทาง ประตูกระดก และ…ค้าง
“โธ่เอ๊ยย” ฉันกัดฟัน ลองงัดกล่องขึ้นอีกนิดเพื่อให้ประตูเปิดได้มากขึ้น แต่พอยกสูง ศูนย์ถ่วงเปลี่ยน ร่างกายฉันโย้ไปข้างหน้า โลกหมุนวูบเล็ก ๆ ดวงตาประกายจุดดำ ๆ คล้ายกากเพชรที่หมุนเร็วเกินไป
“อุ๊บบ” ฉันอุทาน หน้ามืดคล้ายเวลาลุกเร็วเกินหลังนั่งพับเพียบดูซีรีส์ไปสามตอนติด
“ให้ช่วยไหมครับ” เสียงทุ้มเรียบดังขึ้นด้านหลังพร้อมเงาดำสูงทาบผ่านบานประตู
ฉันหันขวับ ภาพที่เห็นคือภีมในเสื้อเชิ้ตแขนพับกับกางเกงสีเข้ม มือซ้ายถือกุญแจรถ มือขวาจับสายจูงโตโตะที่กำลังยืนหางกระดิกเหมือนพัดลมเบอร์สาม กลิ่นโคโลญจน์อ่อน ๆ ปนกับกลิ่นกาแฟติดเสื้อของเขาทำให้เสี้ยววินาทีนั้นฉันลืมไปเลยว่ากำลังจะล้มหน้าเงะ
“ไห ไหวค่ะ” ความดื้อรั้นที่ไม่สมเหตุผลโผล่มาเป็นคำตอบอัตโนมัติ “ฉันทำได้”
ไม่ทันขาดคำน้ำหนักกล่องก็เอนฉันลง เขาก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว มือหนึ่งประคองข้อศอกฉันให้ตั้งหลัก อีกมือรับกล่องไปจากอกได้เนียนจนเหมือนซ้อมมาก่อน “เดี๋ยวครับ ระวังเวียนหัว”
แค่คำว่า “เดี๋ยวครับ” ด้วยเสียงทุ้มใกล้ ๆ ก็ทำให้ฉันเหมือนถูกกดปุ่มให้พัก ฉันปล่อยมือจากกล่องอย่างจำนน หัวใจเต้นแรงจนได้ยินชัดในหู ตึกตัก ตึกตัก “ขะ…ขอบคุณค่ะ” โชคดีที่เสียงยังออกมาเป็นประโยคคน ไม่ใช่เสียงนกหวีด
ภีมยกกล่องชิดอก เดินถอยหลังหนึ่งก้าว หมุนตัว แล้ว…อุ้มเข้าห้องได้ในทีเดียวแบบที่ฉันยืนมองอ้าปากค้าง เขาวางกล่องลงกลางห้องอย่างเบาเหมือนวางหมอน ส่วนฉันยืนจับกรอบประตูเรียกสติ โตโตะซึ่งเป็นฝ่ายเชียร์ เต้นดึ๋ง ๆ อยู่หน้าห้องก่อนจะนั่งลงอย่างมีมารยาทเมื่อเจ้าของหันไปมอง
“หายเวียนหัวไหมครับ” เขาถาม น้ำเสียงนิ่งแต่ตาอ่านสถานการณ์
“ดีขึ้นค่ะ แค่เลือดไหลย้อนกลับไปบอกสมองว่า ‘อย่าทำแบบนี้อีก’” ฉันพยายามเล่นมุกกลบเขิน
มุมปากเขายกน้อย ๆ “โต๊ะใหม่เหรอครับ”
“ค่ะ โต๊ะกาแฟสีโอ๊ค มีคำเตือนว่า ‘ต้องประกอบเองอย่างสนุกสนาน’” ฉันชูคู่มือขึ้น โชว์รูปอีโมจิประจำคู่มือเฟอร์นิเจอร์ที่ยิ้มกว้างเกินจริง
“จะให้ช่วยไหมครับ” ประโยคถามสั้น ๆ แต่มีพลังเท่ากับรถเครน
“เอ่อ…ฉัน” ฉันชั่งใจหนึ่งวินาทีแล้วตัดสินใจเลือกความจริง “อยากให้ช่วยค่ะ แต่เกรงใจ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมว่างพอดี” เขาพูดง่าย ๆ เสมือนคำว่า “ว่าง” ของเขามีไว้ช่วยโลกเล็ก ๆ รอบตัว
เขาก้มใช้คัตเตอร์กรีดเทปกาวอย่างมั่นคง โฟมกันกระแทกถูกพับออกเป็นชั้น ๆ เหมือนเปิดกลีบดอกไม้ เผยไม้แผ่นสวยตรงกลาง โมจิเดินเข้ามาด้อม ๆ มอง ๆ แล้วกระโดดขึ้นไปนั่งบนคู่มือทันที โอ้ ดีมาก ผู้ช่วยช่างที่น่ารักที่สุดในโลก
“ท่านผู้กำกับ” ฉันยกโมจิลงจากคู่มือ “ขอใช้พื้นที่ทำงานก่อนนะคะ”
โตโตะเดินวน ๆ สนใจเดือยไม้กลม ๆ ชิ้นเล็กเหมือนขนม เขาเกือบคาบไป ภีมเลยพูดเบา ๆ “รอข้าง ๆ นะครับผู้ช่วย” สุนัขดีเด่นจึงนั่งลงอย่างว่าง่าย หางส่ายเบา ๆ เหมือนเครื่อง metronome ตั้งจังหวะให้ช่าง
“งั้นผมไปเอากล่องเครื่องมือที่ห้องก่อนนะครับ ไขควงที่มากับกล่องจะไม่ค่อยถนัดมือ” ภีมวางแผนอย่างเร็ว
“ได้ค่ะ ฉันจะจัดชิ้นส่วนรอ” ฉันพลิกถุงสกรูทีละถุง อ่านตัวอักษรเล็กจิ๋ว A, B, C… ตัวเลข 1–6 แยกเป็นกองบนพรม แอบภูมิใจที่ ‘ดูเหมือน’ มีระบบ
ไม่นานเขากลับมาพร้อมกล่องเครื่องมือสีดำ มีทั้งไขควงด้ามยาง ดอกหัวแฉกหลายขนาด ระดับน้ำเล็ก ๆ และแผ่นรองเฟอร์นิเจอร์กันรอย “เผื่อไว้ครับ” เขาพูดเรียบ ๆ แต่ในหัวฉันมีพลุไฟ คนที่พกแผ่นรองกันรอยมาด้วยคือคนคิดเผื่อจริง ๆ
เราจัดวางชิ้นส่วนตามคู่มือ ภีมอ่านแค่ผ่านตาก็เข้าใจโครงสร้าง เขาวางแผ่นท็อปโต๊ะคว่ำ เอาขาโต๊ะสี่ขาเรียงตามตำแหน่ง ฉันคอยส่งสกรู “เบอร์ 3, ตัวเล็ก” บ้าง “แหวนรอง” บ้าง และบางครั้งก็…ส่งผิด
“ตัวนี้ยาวไปครับ” เขาบอก
“โอ๊ย ขอโทษค่ะ ฉันกับตัวเลขยังไม่คืนดีกัน” ฉันหัวเราะกลบเกลื่อน
เขาไม่เคยทำให้ฉันรู้สึก “ผิดพลาด” เลย มีแต่บอกอย่างใจเย็น “ไม่เป็นไรครับ ค่อย ๆ” เสียง “แกร๊ก แกร๊ก” ของไขควงดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เหมือนอยู่ในคลาส ASMR ส่วนตัว ฉันนั่งพับเพียบมองมือเขาขันน็อต เส้นเอ็นที่ข้อมือเคลื่อนไหวช้า ๆ นิ้วล็อกหัวสกรูอย่างมั่นใจ กล้ามแขนเด้งเบา ๆ ใต้แขนเสื้อเชิ้ตที่พับขึ้น เห็นแล้วอยากบันทึกลงสมุดหัวข้อ ทำไมผู้ชายที่ใช้ไขควงเป็นมันดูเท่ได้ขนาดนี้
“ลองช่วยถือขาโต๊ะไว้ให้ตรงหน่อยครับ” เขาขอ ฉันรีบจับ ปลายนิ้วเราเฉี่ยวกันหนึ่งวินาที ไฟฟ้าสถิตเล็ก ๆ ช็อตใจ แป๊ะ! ฉันหัวเราะเขิน “ฟ้ารักพ่อหรือเปล่าเนี่ย” เขาขำในลำคอ “น่าจะรักโฟมกันกระแทกมากกว่า”
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง โครงโต๊ะเป็นรูปเป็นร่าง เหลือขั้นตอนติดคานกลาง ฉันอาสาจะขันน็อตตัวเล็กเองเพื่อพิสูจน์ว่ามะปรางก็เก่งได้นะคะท่านผู้ชม แต่พอหมุนแรงไปนิด ไขควงหลุด—ปลายเล็ก ๆ เฉียดนิ้วฉันเป็นรอยแดงยาว
“โอ๊ย!” ฉันสะดุ้ง ถอยมือออกราวกับโดนแมวข่วน
ภีมหยุดทันที “เจ็บไหมครับ ขอดูหน่อย” เขาขยับเข้ามาใกล้ จับปลายนิ้วฉันเบา ๆ เห็นรอยแดงไม่ลึก เลือดซึมนิดเดียว แต่ความรู้สึกคือ…โลกเงียบแป๊บเดียว
“ไม่เป็นไร ๆ ค่ะ แค่สะดุ้ง” ฉันรีบตอบทั้งที่หัวใจทำงานเกินลิมิต
“ผมมีพลาสเตอร์ เดี๋ยวเอามาให้” เขาหยิบจากกล่องเครื่องมือ เป็นพลาสเตอร์ลายลิ้นชักเครื่องมือ ฉันไม่เคยเห็นลายนี้มาก่อน เขาติดให้ ใช้หัวแม่มือกดเบา ๆ เพื่อให้แน่นพอดี ความอุ่นผ่านผิวหนังชั่ววินาทีแล้วถอยออกอย่างพอดิบพอดีไม่มีล้ำเส้น
“ขอบคุณค่ะ” ฉันกลืนน้ำลายเงียบ ๆ
“งานช่างต้องใจเย็น ไม่ต้องแข่งกับใคร” เขาว่า “เดี๋ยวขันตัวนี้ต่อเองนะครับ”
ระหว่างพักหายใจ ฉันลุกไปหยิบน้ำเย็นสองแก้วกับกล้วยหอมหนึ่งผลมาวางให้ “น้ำค่ะ ฮี เอ่อ…ภีม” เกือบเรียกฮีโร่ออกไปให้เขาได้ยิน ฉันเลยไอเบา ๆ กลบ
เขารับแก้ว “ขอบคุณครับ” แล้วดื่มครึ่งแก้วรวด ก่อนหันมาถาม “คุณชอบท็อปโต๊ะเงาหรือด้าน”
“ชอบด้านค่ะ เหมือนมันถ่ายรูปแล้วไม่สะท้อนหน้าเหนือย ๆ” ฉันตอบ
“ดีเลย ตัวนี้เคลือบด้าน ทำความสะอาดง่าย แต่ถ้าวางแก้วร้อนควรมีที่รอง” เขาอธิบายง่าย ๆ และจับมุมโต๊ะ เช็ดฝุ่นไม้ออกด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์จากกล่อง พอเห็นผ้าด้วยฉันยิ้ม คนพกผ้า คือคนสายละเอียดมาก
“บางความเงียบอบอุ่นกว่าคำขอโอกาส” เสียงกาน้ำเดือดดังแผ่วในห้องครัวเล็ก ๆ ของคอนโด มะปรางเทกาแฟลงแก้ว กลิ่นหอมลอยปะทะจมูกพร้อมความรู้สึกที่ทั้งคุ้นและสั่นเบา ๆ ที่หน้าอก โมจิเดินมาคลอเคลียขา ส่งเสียง “เมี้ยว—” เหมือนรู้ว่าเจ้าของกำลังมีเรื่องกังวล “วันนี้แม่ต้องเจอคนเก่านะ” เธอก้มลงลูบหัวมันเบา ๆ “อย่าให้แม่ใจสั่นมากเลยนะโมจิ” เจ้าแมวตัวกลมตอบกลับด้วยเสียงเบา ๆ แล้วเดินไปนอนบนกระเป๋าผ้า เหมือนจะกันไม่ให้เธอออกจากห้อง โทรศัพท์สั่นเตือนบนโต๊ะภีม: วันนี้ทีมคุณมากี่คนครับ จะได้เตรียมโต๊ะ โตโตะจะได้ไม่เห่าใส่มะปรางเผลอยิ้ม ก่อนพิมพ์ตอบมะปราง: ห้าคนค่ะ รวมลูกค้าด้วย ขอบคุณมากนะคะ ยังไม่ทันวางโทรศัพท์ เสียงโทรเข้าดังขึ้น “มิ้นท์” โผล่มาเต็มจอ “ตื่นยัง ยัยโมจิใหญ่” น้ำเสียงคุ้นเคยดังสดใสแต่แฝงความห่วง “ตื่นแล้วสิ แต่ใจยังไม่พร้อมเจออดีตเท่าไร” “อย่าบอกนะว่ายังใจเต้นอยู่” “เต้นค่ะ...แต่เต้นเพราะกลัวจะทำหน้าตาไม่ถูก” “ดีแล้ว อย่างน้อยเธอก็ยังมีความรู้สึก แปลว่ายังไม่ด้าน” มะ
เสียงพิมพ์คีย์บอร์ดดังสลับกับเสียงเครื่องปรับอากาศที่เป่าลมเบา ๆ ทั่วออฟฟิศ มะปรางนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานตัวเดิม ข้าง ๆ มีกองแฟ้มเอกสารและถ้วยกาแฟเย็นที่ละลายไปครึ่งแก้ว เธอจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างตั้งใจ แต่สายตากลับพร่าเพราะใจลอยไปถึงวันปิดกอง ภาพคนที่ยื่นแก้วกาแฟให้เธอด้วยรอยยิ้มเรียบง่ายยังคงวนเวียนในหัวไม่จาง เสียงแจ้งเตือนเมลเด้งขึ้นมาในจังหวะเดียวกับที่เธอถอนหายใจFrom: Natee S.Subject: Debrief Meeting – ขอเวลาคุยงานเพิ่มเติมครับ เธอมองชื่อผู้ส่งอยู่นาน มือที่จับเมาส์นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะกดเปิดอย่างระมัดระวัง “ปรางครับ มีไอเดียอยากต่อยอดจากแคมเปญนี้นิดหน่อย พอมีเวลาคุยไหมครับ?” ถ้อยคำดูสุภาพ แต่ในใจของเธอกลับได้ยินเสียงที่คุ้นเคยในแบบเดียวกับเมื่อสองปีก่อน ตอนที่เขาใช้เสียงเดียวกันพูดว่า “ไว้ค่อยคุยกันนะ” ก่อนหายไปจากชีวิตเธอ มะปรางพิมพ์ตอบในโทนที่เป็นทางการที่สุด “ได้ค่ะ ถ้าเป็นเรื่องงาน รบกวนแจ้งเวลาล่วงหน้า จะได้จัดตารางประชุมให้ค่ะ” ส่งเสร็จเธอรีบปิดเมล แล้วพยายามฝืนทำงานต่อ แต่สมาธิกลับหล่นหายไป
เมื่อทุกอย่างดูเข้าที่ เหตุการณ์ทดสอบเล็ก ๆ ก็โผล่มาอีกครั้ง ขณะตั้งไฟสองดวงไขว้กันเพื่อให้เงาแก้วดูมีมิติ อยู่ ๆ ไฟในโซนบาร์ก็กะพริบ “แป๊ะ” แล้วดับเงียบทั้งแถบ “อ่าว เบรกเกอร์ไปแล้วเหรอ” พีทร้อง ฉันหันขวับมองนาฬิกา เวลาเริ่มบีบ เพราะเรายังต้องเก็บช็อตสุดท้ายช่วงแสงเย็น ภีมถือไฟฉายเล็กออกมาทันทีเหมือนเตรียมไว้สำหรับเหตุการณ์นี้อยู่แล้ว “ตรงนี้คงรับกำลังไฟของเครื่องชงกับไฟชุดหนึ่งตัวไม่ไหวครับ เดี๋ยวผมย้ายปลั๊กชุดไฟไปที่อื่นแทน แล้วใช้รีเฟล็กซ์แทนไฟหนึ่งดวง จะได้ไม่ดึงกระแสเกิน” เขาพูดจบก็ลงมือทันที จัดปลั๊กพ่วง เสียบ–ดึง–ลองสวิตช์อย่างใจเย็น ทีมงานที่เหลือช่วยจับรีเฟล็กซ์ขนาดกลาง ภายในห้านาทีไฟกลับมาสว่างแต่ไม่จ้าเกิน ได้ภาพในจออย่างที่อยากได้ “โห…เจ้าของร้านนี่แหละแก้ปัญหาเก่งกว่าช่างไฟอีก” พีทยกนิ้วให้ ฉันยืนมองภาพในจอแล้วหันไปมองเจ้าของร้านตัวจริง คนนั้นยืนเช็ดมือกับผ้าเช็ดบาร์เหมือนเดิม สีหน้าสงบเหมือนตอนชงกาแฟ นาทีนั้นหัวใจฉันนิ่งแบบที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นในกองถ่าย เร่งแค่ไหนก็มักจะมีความลนอยู่ในอากาศ แต่เขากลับทำให้ห้องนี้ห
เช้าวันถัดจากทริปเล็ก ๆ ฉันตื่นก่อนนาฬิกาอีกครั้ง เหมือนร่างกายจำสัญญาเงียบ ๆ ระหว่างฉันกับเช้าว่าเราจะเริ่มวันด้วยความอุ่น ไม่ใช่ความรีบ ฉันชงดริปด้วยเมล็ด “ทุ่งหญ้ารุ่นพิเศษ ทริปเล็ก ๆ” ที่ภีมยื่นให้เมื่อคืนก่อน กลิ่นดอกไม้จาง ๆ ลอยขึ้น ปลายรสหวานเหมือนเสียงหัวเราะที่ยังค้างอยู่ในคอจากเมื่อวาน ฉันยกแก้วไปยืนที่ระเบียง เห็นประตูฝั่งตรงข้ามเลื่อนเปิดในเวลาแทบจะตรงกัน ภีมยกแก้วของเขาขึ้นนิด ๆ เราสองคนยิ้มให้กันอย่างไม่ต้องพูดอะไรมาก “วันนี้สู้ ๆ นะครับ” เขาพูดเบา ๆ แต่ได้ยินชัด “คุณด้วยค่ะ” ฉันตอบ ทั้งที่ในหัวเริ่มเรียงงานแบบผู้จัดการกองถ่ายฉบับเร่งด่วน เพราะวันนี้คือวันสำคัญ ทีมฉันต้องถ่ายทำคอนเทนต์ชุด “Warm is a Place” สำหรับลูกค้า และโลเกชันที่เลือกคือร้านของภีม…ที่เดิม หลังอาบน้ำแต่งตัว ฉันเปิดงานในโทรศัพท์ ไลน์กรุ๊ป “กองอุ่นจริง” (ตั้งชื่อตามคีย์เวิร์ด) เด้งข้อความจากพี่นนท์: “คอนเฟิร์ม 10:00 เริ่มเซ็ต ซีนแรกเปิดหน้าร้าน ซีนสองบาร์ ซีนสามโต๊ะไม้ ใครถึงก่อนช่วยแจ้ง” ฉันพิมพ์ตอบ “ฉันถึงก่อน 9:30 ไปเช็กลิสต์พร็อพกับเจ้าของร้านค่ะ” แล้
เขาเงียบไปเล็กน้อยเหมือนเช็กหัวใจตัวเองก่อนพูด “เคยครับ แต่ภาพนั้นไม่ชัดเจนเท่าไหร่ รู้แค่ว่าถ้ามีมันคงเหมือนโต๊ะหนึ่งตัวที่คนในบ้านชอบกลับไปนั่งด้วยกัน มีเสียงหัวเราะของสัตว์เลี้ยง มีแก้วน้ำสองใบวางอยู่เสมอ” ฉันยิ้มกว้างกว่าคำถามที่ตั้งใจ “แก้วสองใบ…บนที่รองแก้วสองแผ่น” เขายิ้มกลับ “ครับ” เราลุกขึ้นไปเดินรอบบึงช้า ๆ หลังทานของว่าง ดอกหญ้าสีน้ำนมไหวตามลมเหมือนคนโบกมือทักทายจากสองฟากทาง ฉันเดินถือสายจูงโตโตะ ภีมสะพายตะกร้า ส่วนโมจิอย่างที่คาดขึ้นคานอนบนไหล่ภีมเหมือนราชินีบนราชรถ คนเดินสวนมาหลายคนอดทักไม่ได้ “น้องแมวเก่งจังเลยค่ะ” ภีมยิ้ม “จริง ๆ แล้วเก่งที่ยอมให้ผมแบกมากกว่าครับ” ฉันหัวเราะจนลืมว่าครู่หนึ่งก่อนหน้านี้ฉันเคยล้มกลิ้ง ความเขินจากเหตุการณ์เช้าแปรสภาพเป็นความจำที่น่ารักอย่างรวดเร็ว เมื่อเดินครบรอบ เรากลับมาที่ผ้าปิกนิก ฉันวางโมจิลง มันเดินตรงไปตรวจคุณภาพอาหารบนจานภีมแล้วนั่งทับรายการกินเหมือนจะปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง โตโตะหมดแรงนิด ๆ นอนแผ่พุงเหยียดขาตรง ทำหน้าฟินราวกับเพิ่งชนะ
เช้าวันหยุดหลังคืนดาดฟ้าที่ใจเราเหมือนตกลงสัญญาเงียบ ๆ ฉันตื่นเร็วกว่าปกติทั้งที่ไม่มีนาฬิกาปลุก ลมเช้าจากระเบียงพัดกลิ่นกาแฟที่บดไว้เมื่อคืนโชยเข้ามา โมจิเดินมาวนรอบขาเหมือนนาฬิกาปลุกมีขน ฉันลูบหัวมันแล้วพูดกับตัวเองว่า วันนี้อยากทำอะไรช้า ๆ แบบไม่ต้องชนะเวลา พอเปิดประตูระเบียงก็เจอภีมยืนพาโตโตะออกมารับแดดจาง ๆ เขาส่งยิ้มแบบที่เคยทำ ยิ้มที่ไม่รีบให้คำตอบ แต่บอกว่าอยู่ข้าง ๆ “อรุณสวัสดิ์ครับ” “อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ฉันตอบพร้อมยกแก้วน้ำให้โมจิดมเล่น แดดเช้าตีกับราวระเบียงเป็นริ้ว ๆ จนฉันเผลอหยุดมอง ภีมเอ่ยขึ้นเหมือนคิดไปพร้อมกับลม “วันนี้อากาศดี อยากลองพาโตโตะไปสวนสาธารณะนอกเมือง…คุณกับโมจิสนใจไปด้วยไหมครับ” คำชวนฟังดูง่าย แต่หัวใจฉันกลับทำงานซับซ้อนขึ้นมาทันที มันไม่ใช่แค่ไปสวน มันคือการออกนอกพื้นที่ปลอดภัยที่เราเคยอยู่ร่วมกัน จากโถงชั้น 18 ระเบียง โต๊ะโอ๊ค ไปสู่โลกกว้างที่เราไม่เคยใช้เวลาเป็น “พวกเรา” จริง ๆ มาก่อน ฉันลังเลเพียงเสี้ยววินาที ก่อนพยักหน้า “ไปค่ะ” โมจิตอบแทนด้วยการตดเ







