Home / โรแมนติก / ข้างห้องคือคนข้างใจ / บทที่ 9 แสงไฟยามค่ำ (1)

Share

บทที่ 9 แสงไฟยามค่ำ (1)

last update Last Updated: 2025-11-07 10:07:52

          หลัง “ภารกิจจ่ายตลาด” เมื่อวาน ฉันใช้เวลาทั้งบ่ายลองทำพาสต้าแบบที่ภีมเขียนโพสต์อิทให้

          กระเทียมซอยกับพริกแห้งครึ่งเม็ดถูกทอดเบา ๆ ในน้ำมันมะกอกจนหอม จากนั้นก็คลุกเส้นกับน้ำเส้นนิดหน่อย ง่ายกว่าที่คิดและอร่อยกว่าที่คาด

          พอตกค่ำฉันก็เก็บล้างอย่างใจเย็น วางที่รองแก้วลายแมว–หมาที่เขาแอบซื้อให้ไว้บนโต๊ะโอ๊คใหม่เป็นของตกแต่งถาวร เห็นทีไรก็ยิ้มทุกที เหมือนมันบอกอยู่เงียบ ๆ ว่า “ชั้น 18 มีสองบ้าน แต่กำลังกลายเป็นบ้านเดียวกันทีละนิด”

          โมจินอนเหยียดยาวอยู่บนพนักโซฟา แผ่นท้องสีครีมขึ้นลงตามลมหายใจช้า ๆ ฉันหมุนขวดแก้วดอกยิปโซให้เงาดอกไม้รับกับแสงนอกหน้าต่าง

          ฉันกำลังจะอาบน้ำพอเอื้อมมือจะไปปิดไฟตรงครัว ทันใดนั้นเสียง “พรึ่บ” ดังพร้อมความมืดโถมทับทั้งห้องจนชะงัก

          “เฮ้ย!” เสียงของฉันหลุดออกมาเบากว่าที่คิด ความมืดสนิททำให้ห้องกว้างกลายเป็นกล่องใบเล็ก ๆ ที่มองไม่เห็นมุม ม่านที่ปลิวเมื่อครู่หยุดนิ่ง โมจิสะดุ้งเฮือก ตาเป็นลูกแก้วเรืองแสงวาบในเงามืด “เหมียวว!” มันร้องยาวสั่น ๆ ก่อนพุ่งลงจากพนักโซฟาไปซ่อนใต้โต๊ะ ฉันมองไม่เห็นแม้แต่ปลายเท้าตัวเอง เอื้อมมือควานมือถือบนโต๊ะ

          เสียงใจเต้นแรง

          พอจับได้ก็เปิดไฟฉายจากหน้าจอทันที

          ท้องฟ้าด้านนอกระเบียงเป็นเส้นสีส้มเส้นยาว แต่ภายในห้องไม่มีแม้แสงกะพริบของเครื่องไฟฟ้าใด ๆ

          ฉันสูดหายใจเพื่อเรียกสติ ความมืดเงียบลงด้วยเสียงเคาะประตูสองครั้งเบา ๆ “คุณโอเคไหมครับ”

          หัวใจฉันผ่อนคลายลงแบบไม่ต้องเห็นหน้า ฉันเดินไปเปิดประตูแสงจากไฟฉายเล็กในมือเขาส่องวาบจนเห็นรอยยิ้มคุ้นเคยของภีมชัดเจนขึ้น โตโตะยืนข้างขาเขาอย่างนอบน้อม หางส่ายช้า ๆ เหมือนอ่านบรรยากาศว่าคืนนี้ต้องไม่ซนมาก

          “ไฟดับทั้งตึกหรือคะ” ฉันถาม

          “ครับ เพิ่งอ่านประกาศซ่อมบำรุงตรงล็อบบี้เมื่อกี้ เขาบอกอาจใช้เวลาสักพัก” เขายกถุงผ้าใบเล็กขึ้น “ผมเอาไฟฉาย เทียน และกาแฟดริปเย็นมาฝาก เผื่อคืนนี้ยาว”

          ฉันหัวเราะทั้งยังตื่นเต้น “ใครเขาเตรียมกาแฟตอนไฟดับกันคะ”

          “บาริสต้า และคนข้างห้องที่ไม่อยากให้คุณเบื่อครับ” เขาตอบหน้าตาเรียบเฉยแบบกวน ๆ จนฉันยิ้มกว้างขึ้น

          “เชิญเข้ามาเลยค่ะ เดี๋ยวฉันหาที่วางเทียนก่อน” ฉันถอยให้เขาเข้ามา โตโตะก้าวตามช้า ๆ อย่างว่าง่าย

          ภีมวางไฟฉายอันหนึ่งให้ฉัน อีกอันเขาหันหัวไฟส่องเพดานเพื่อให้แสงสะท้อนกระจายทั่วห้องแบบนุ่ม ๆ จากนั้นหยิบชุดเทียนแท่งเล็ก ๆ กลิ่นมะลิออกมาสี่แท่ง เขาจัดลงในขวดแก้วและจานรองเซรามิกที่ฉันรีบหาให้

          “ใช้จานนี้ได้ค่ะ ระวังน้ำตาเทียนหยดนะ” ฉันพูดพร้อมขยับที่รองแก้วลายคอร์กี้ให้พ้นทาง ภีมชะงักมองแล้วยิ้ม “ได้ใช้จริงแล้ว”

          “ค่ะ ตั้งชื่อไว้ว่า ‘สำหรับแขกประจำ’” ฉันเผลอหลุดพูด ก่อนจะรู้สึกว่าหน้าตัวเองอุ่นขึ้นด้วยเทียนหรือด้วยคำพูดก็ไม่รู้

          ไฟจากเทียนสี่แท่งค่อย ๆ กัดกินความมืด เงาไหวบนผนังเต้นตามลมเบา ๆ จากระเบียง ผิวไม้โอ๊คบนโต๊ะขับลายเสี้ยนให้คมขึ้นในแสงส้มอุ่น บรรยากาศเงียบลงอย่างน่าประหลาด เหมือนห้องตั้งใจหายใจเบา ๆ ให้ฉันกับเขาได้ยินกันชัดขึ้น

          โมจิค่อย ๆ โผล่หัวจากใต้โต๊ะ กลิ่นมะลิทำให้มันเงยจมูกดมสั้น ๆ ก่อนจะเดินแบบนางพญาแล้วกระโดดขึ้นตักฉัน นอนขดเป็นวงกลม มือฉันลูบขนนุ่ม ๆ อย่างเผลอตัว “ไม่ต้องกลัวนะคุณนาย”

          ภีมวางขวดกาแฟดริปเย็นกับแก้วสองใบลงบนโต๊ะ เทกาแฟสีเข้มจนเกือบดำครึ่งแก้วให้ฉัน อีกครึ่งแก้วของเขามีน้ำแข็งสองก้อน เขายื่นแก้วมา “ลองหน่อยไหมครับ อาจขมนิดแต่ไม่ดุ”

          ฉันจิบเล็ก ๆ กลิ่นหอมแบบดอกไม้แฝงคาราเมลอ่อน ๆ ลื่นลงคอ ความเย็นทำให้ลมหายใจเรียบขึ้น “อืม…ขมนุ่มอย่างที่ว่าจริง ๆ” ฉันยิ้ม “ขอบคุณนะคะ สำหรับทั้งเทียนและกาแฟ”

          “ดีแล้วครับที่พอช่วยได้” เขาพูดเรียบง่าย แต่สายตาเหมือนถามว่า ตกใจมากไหม ฉันพยักหน้าสั้น ๆ ส่งสัญญาณว่า โอเคแล้ว เราสองคนนั่งคนละฝั่งโต๊ะ

          แสงเทียนคั่นกลางระหว่างกัน โมจิเปลี่ยนจากเสียงขู่แผ่ว ๆ เป็นเสียงคร่อกฟี้เบา ๆ จนฉันหัวเราะ “นี่ถ้าไม่บอกว่าไฟดับ ฉันคงคิดว่าคุณตั้งใจจัดฉากคาเฟ่เทียนหอมเวอร์ชันเคลื่อนที่”

          “ถ้าตั้งใจจริง ๆ คงมีเค้กมาด้วย” เขาตอบ ก่อนเงยหน้ามองไฟฉุกเฉินทางเดินที่ลอดใต้ประตูเข้ามา “แต่คืนนี้เราได้โบนัสเพิ่มคือสุนัขยาม” โตโตะได้ยินชื่อตัวเองก็ขยับหางปุ๊บปั๊บ เหมือนพูดว่า ผมพร้อมครับ

          เริ่มจากเรื่องเบา ๆ ฉันเล่าเรื่องพาสต้าเมื่อวาน โชว์รูปในมือถือให้เขาดู ภีมดูรูปแบบสนใจจริง ๆ ไม่ใช่ตามมารยาท “ดูดีมากครับ เส้นเงากำลังสวย น้ำเส้นจับดี ถ้าอยากให้หอมขึ้น ลองใส่เปลือกเลมอนขูดปลายนิดเดียว”

          “โอ้…มีขั้นสูงกว่าด้วย” ฉันหัวเราะ “ถ้าเกิดไหม้อย่าเพิ่งหนีนะคะ”

          “ผมจะเอาถังดับเพลิงขึ้นมา” เขาตอบแบบจริงจังเกินจำเป็นจนฉันขำหนักกว่าเดิม

          บทสนทนาไหลไปสู่เรื่องงาน ฉันเล่าถึงการประชุมเช้ากับลูกค้าที่อยากให้โทนอุ่นแต่ยังลังเลสีโลโก้ ภีมฟังแล้วสรุปสั้น ๆ ได้ใจความ “บางทีเขากลัวภาพใหม่ไม่ใช่ตัวเอง แต่ก็อยากเปลี่ยน” ฉันพยักหน้า “ใช่เลย คุณเคยทำครีเอทีฟไหมคะ”

          “ผมแค่ชงกาแฟแล้วฟังคนเล่าเรื่องทุกวันครับ เลยเดาได้บ้าง” เขายักไหล่เล็ก ๆ “ร้านกาแฟเป็นที่ที่คนพกความรู้สึกมาด้วยตลอดเวลา แค่เราจำเป็นต้องทำให้โต๊ะตรงหน้าเขานั่งสบายพอที่เขาจะวางมันลงได้สักพัก”

          “โต๊ะของคุณทำแบบนั้นได้” ฉันพูดโดยไม่ลังเล “รวมถึงโต๊ะในห้องฉันด้วยเพราะคุณประกอบให้” คำพูดนั้นทำให้เขาเงียบไปชั่วครู่ ตาเขาไหววาบเหมือนเปลวเทียน

          จากนั้นบทสนทนาก็ลึกขึ้นทีละน้อยอย่างไม่รู้ตัว เหมือนน้ำค่อย ๆ อุ่นขึ้นจนกลายเป็นร้อนอ่อน ๆ ที่ชวนให้บอกความจริงง่ายขึ้น

          “ฉันย้ายมาเริ่มใหม่จริง ๆ ค่ะ” ฉันเท้าคางกับหลังมือ มองเงาแสงเทียนที่เต้นบนผนัง “ก่อนหน้านี้เหมือนทำงานไปเรื่อย ๆ เพื่อพิสูจน์ว่าฉันอยู่ได้ แต่พอมาถึงจุดหนึ่ง…ฉันไม่แน่ใจว่ากำลังพิสูจน์ให้ใครดู พ่อแม่อยู่ต่างจังหวัด เขาก็อยากให้มีชีวิตมั่นคง ฉันเองก็อยาก แต่ลึก ๆ ก็กลัวว่าถ้าหยุดวิ่งเมื่อไหร่ จะได้ยินเสียงในหัวถามซ้ำ ๆ ว่า ‘แล้วแท้จริงเธออยากอยู่แบบไหนกันแน่’”

          ภีมฟังเงียบ ๆ ไม่ขัดจังหวะ ไม่รีบปลอบ เขาวางแก้วลงช้า ๆ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนวางมือบนไหล่เราโดยไม่แตะต้อง

          “ผมคิดว่าคนเราไม่จำเป็นต้องตอบคำถามนั้นทีเดียวทั้งหมด ถ้าแค่วันนี้คุณอยากตื่นขึ้นมา มีแซนด์วิชไข่หนึ่งชิ้น กาแฟอุ่น ๆ หนึ่งแก้ว และมีใครสักคนนั่งอยู่ใกล้ ๆ เท่านี้ก็เป็นคำตอบหนึ่งได้แล้ว พรุ่งนี้ถ้าคำตอบเปลี่ยน ก็ไม่เป็นไร”

          ฉันยิ้ม จู่ ๆ ก็อยากร้องไห้เล็ก ๆ แบบคนที่ถูกกอดด้วยประโยคธรรมดา ๆ “คุณจำรายละเอียดเล็ก ๆ เกี่ยวกับฉันได้เสมอเลยนะคะ แซนด์วิชไข่ ลาเต้อุ่น ที่รองแก้ว… และที่ฉันแพ้คาเฟอีนแรง”

          “ก็…” เขาหยุดนิดหนึ่ง เหมือนเลือกคำ “ผมตั้งใจฟัง”

          ความเงียบอุ่น ๆ แทรกอยู่ระหว่างเรา เทียนสี่แท่งยังไหม้ต่อไปอย่างใจเย็น

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ข้างห้องคือคนข้างใจ   บทที่ 16 พื้นที่ที่ไม่เหมือนเดิม

    “บางความเงียบอบอุ่นกว่าคำขอโอกาส” เสียงกาน้ำเดือดดังแผ่วในห้องครัวเล็ก ๆ ของคอนโด มะปรางเทกาแฟลงแก้ว กลิ่นหอมลอยปะทะจมูกพร้อมความรู้สึกที่ทั้งคุ้นและสั่นเบา ๆ ที่หน้าอก โมจิเดินมาคลอเคลียขา ส่งเสียง “เมี้ยว—” เหมือนรู้ว่าเจ้าของกำลังมีเรื่องกังวล “วันนี้แม่ต้องเจอคนเก่านะ” เธอก้มลงลูบหัวมันเบา ๆ “อย่าให้แม่ใจสั่นมากเลยนะโมจิ” เจ้าแมวตัวกลมตอบกลับด้วยเสียงเบา ๆ แล้วเดินไปนอนบนกระเป๋าผ้า เหมือนจะกันไม่ให้เธอออกจากห้อง โทรศัพท์สั่นเตือนบนโต๊ะภีม: วันนี้ทีมคุณมากี่คนครับ จะได้เตรียมโต๊ะ โตโตะจะได้ไม่เห่าใส่มะปรางเผลอยิ้ม ก่อนพิมพ์ตอบมะปราง: ห้าคนค่ะ รวมลูกค้าด้วย ขอบคุณมากนะคะ ยังไม่ทันวางโทรศัพท์ เสียงโทรเข้าดังขึ้น “มิ้นท์” โผล่มาเต็มจอ “ตื่นยัง ยัยโมจิใหญ่” น้ำเสียงคุ้นเคยดังสดใสแต่แฝงความห่วง “ตื่นแล้วสิ แต่ใจยังไม่พร้อมเจออดีตเท่าไร” “อย่าบอกนะว่ายังใจเต้นอยู่” “เต้นค่ะ...แต่เต้นเพราะกลัวจะทำหน้าตาไม่ถูก” “ดีแล้ว อย่างน้อยเธอก็ยังมีความรู้สึก แปลว่ายังไม่ด้าน” มะ

  • ข้างห้องคือคนข้างใจ   บทที่ 15 คุยงาน…หรือคุยเรา

    เสียงพิมพ์คีย์บอร์ดดังสลับกับเสียงเครื่องปรับอากาศที่เป่าลมเบา ๆ ทั่วออฟฟิศ มะปรางนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานตัวเดิม ข้าง ๆ มีกองแฟ้มเอกสารและถ้วยกาแฟเย็นที่ละลายไปครึ่งแก้ว เธอจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างตั้งใจ แต่สายตากลับพร่าเพราะใจลอยไปถึงวันปิดกอง ภาพคนที่ยื่นแก้วกาแฟให้เธอด้วยรอยยิ้มเรียบง่ายยังคงวนเวียนในหัวไม่จาง เสียงแจ้งเตือนเมลเด้งขึ้นมาในจังหวะเดียวกับที่เธอถอนหายใจFrom: Natee S.Subject: Debrief Meeting – ขอเวลาคุยงานเพิ่มเติมครับ เธอมองชื่อผู้ส่งอยู่นาน มือที่จับเมาส์นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะกดเปิดอย่างระมัดระวัง “ปรางครับ มีไอเดียอยากต่อยอดจากแคมเปญนี้นิดหน่อย พอมีเวลาคุยไหมครับ?” ถ้อยคำดูสุภาพ แต่ในใจของเธอกลับได้ยินเสียงที่คุ้นเคยในแบบเดียวกับเมื่อสองปีก่อน ตอนที่เขาใช้เสียงเดียวกันพูดว่า “ไว้ค่อยคุยกันนะ” ก่อนหายไปจากชีวิตเธอ มะปรางพิมพ์ตอบในโทนที่เป็นทางการที่สุด “ได้ค่ะ ถ้าเป็นเรื่องงาน รบกวนแจ้งเวลาล่วงหน้า จะได้จัดตารางประชุมให้ค่ะ” ส่งเสร็จเธอรีบปิดเมล แล้วพยายามฝืนทำงานต่อ แต่สมาธิกลับหล่นหายไป

  • ข้างห้องคือคนข้างใจ   บทที่ 14 ทำงานด้วยกัน (2)

    เมื่อทุกอย่างดูเข้าที่ เหตุการณ์ทดสอบเล็ก ๆ ก็โผล่มาอีกครั้ง ขณะตั้งไฟสองดวงไขว้กันเพื่อให้เงาแก้วดูมีมิติ อยู่ ๆ ไฟในโซนบาร์ก็กะพริบ “แป๊ะ” แล้วดับเงียบทั้งแถบ “อ่าว เบรกเกอร์ไปแล้วเหรอ” พีทร้อง ฉันหันขวับมองนาฬิกา เวลาเริ่มบีบ เพราะเรายังต้องเก็บช็อตสุดท้ายช่วงแสงเย็น ภีมถือไฟฉายเล็กออกมาทันทีเหมือนเตรียมไว้สำหรับเหตุการณ์นี้อยู่แล้ว “ตรงนี้คงรับกำลังไฟของเครื่องชงกับไฟชุดหนึ่งตัวไม่ไหวครับ เดี๋ยวผมย้ายปลั๊กชุดไฟไปที่อื่นแทน แล้วใช้รีเฟล็กซ์แทนไฟหนึ่งดวง จะได้ไม่ดึงกระแสเกิน” เขาพูดจบก็ลงมือทันที จัดปลั๊กพ่วง เสียบ–ดึง–ลองสวิตช์อย่างใจเย็น ทีมงานที่เหลือช่วยจับรีเฟล็กซ์ขนาดกลาง ภายในห้านาทีไฟกลับมาสว่างแต่ไม่จ้าเกิน ได้ภาพในจออย่างที่อยากได้ “โห…เจ้าของร้านนี่แหละแก้ปัญหาเก่งกว่าช่างไฟอีก” พีทยกนิ้วให้ ฉันยืนมองภาพในจอแล้วหันไปมองเจ้าของร้านตัวจริง คนนั้นยืนเช็ดมือกับผ้าเช็ดบาร์เหมือนเดิม สีหน้าสงบเหมือนตอนชงกาแฟ นาทีนั้นหัวใจฉันนิ่งแบบที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นในกองถ่าย เร่งแค่ไหนก็มักจะมีความลนอยู่ในอากาศ แต่เขากลับทำให้ห้องนี้ห

  • ข้างห้องคือคนข้างใจ   บทที่ 14 ทำงานด้วยกัน (1)

    เช้าวันถัดจากทริปเล็ก ๆ ฉันตื่นก่อนนาฬิกาอีกครั้ง เหมือนร่างกายจำสัญญาเงียบ ๆ ระหว่างฉันกับเช้าว่าเราจะเริ่มวันด้วยความอุ่น ไม่ใช่ความรีบ ฉันชงดริปด้วยเมล็ด “ทุ่งหญ้ารุ่นพิเศษ ทริปเล็ก ๆ” ที่ภีมยื่นให้เมื่อคืนก่อน กลิ่นดอกไม้จาง ๆ ลอยขึ้น ปลายรสหวานเหมือนเสียงหัวเราะที่ยังค้างอยู่ในคอจากเมื่อวาน ฉันยกแก้วไปยืนที่ระเบียง เห็นประตูฝั่งตรงข้ามเลื่อนเปิดในเวลาแทบจะตรงกัน ภีมยกแก้วของเขาขึ้นนิด ๆ เราสองคนยิ้มให้กันอย่างไม่ต้องพูดอะไรมาก “วันนี้สู้ ๆ นะครับ” เขาพูดเบา ๆ แต่ได้ยินชัด “คุณด้วยค่ะ” ฉันตอบ ทั้งที่ในหัวเริ่มเรียงงานแบบผู้จัดการกองถ่ายฉบับเร่งด่วน เพราะวันนี้คือวันสำคัญ ทีมฉันต้องถ่ายทำคอนเทนต์ชุด “Warm is a Place” สำหรับลูกค้า และโลเกชันที่เลือกคือร้านของภีม…ที่เดิม หลังอาบน้ำแต่งตัว ฉันเปิดงานในโทรศัพท์ ไลน์กรุ๊ป “กองอุ่นจริง” (ตั้งชื่อตามคีย์เวิร์ด) เด้งข้อความจากพี่นนท์: “คอนเฟิร์ม 10:00 เริ่มเซ็ต ซีนแรกเปิดหน้าร้าน ซีนสองบาร์ ซีนสามโต๊ะไม้ ใครถึงก่อนช่วยแจ้ง” ฉันพิมพ์ตอบ “ฉันถึงก่อน 9:30 ไปเช็กลิสต์พร็อพกับเจ้าของร้านค่ะ” แล้

  • ข้างห้องคือคนข้างใจ   บทที่ 13 ทริปเล็ก ๆ (2)

    เขาเงียบไปเล็กน้อยเหมือนเช็กหัวใจตัวเองก่อนพูด “เคยครับ แต่ภาพนั้นไม่ชัดเจนเท่าไหร่ รู้แค่ว่าถ้ามีมันคงเหมือนโต๊ะหนึ่งตัวที่คนในบ้านชอบกลับไปนั่งด้วยกัน มีเสียงหัวเราะของสัตว์เลี้ยง มีแก้วน้ำสองใบวางอยู่เสมอ” ฉันยิ้มกว้างกว่าคำถามที่ตั้งใจ “แก้วสองใบ…บนที่รองแก้วสองแผ่น” เขายิ้มกลับ “ครับ” เราลุกขึ้นไปเดินรอบบึงช้า ๆ หลังทานของว่าง ดอกหญ้าสีน้ำนมไหวตามลมเหมือนคนโบกมือทักทายจากสองฟากทาง ฉันเดินถือสายจูงโตโตะ ภีมสะพายตะกร้า ส่วนโมจิอย่างที่คาดขึ้นคานอนบนไหล่ภีมเหมือนราชินีบนราชรถ คนเดินสวนมาหลายคนอดทักไม่ได้ “น้องแมวเก่งจังเลยค่ะ” ภีมยิ้ม “จริง ๆ แล้วเก่งที่ยอมให้ผมแบกมากกว่าครับ” ฉันหัวเราะจนลืมว่าครู่หนึ่งก่อนหน้านี้ฉันเคยล้มกลิ้ง ความเขินจากเหตุการณ์เช้าแปรสภาพเป็นความจำที่น่ารักอย่างรวดเร็ว เมื่อเดินครบรอบ เรากลับมาที่ผ้าปิกนิก ฉันวางโมจิลง มันเดินตรงไปตรวจคุณภาพอาหารบนจานภีมแล้วนั่งทับรายการกินเหมือนจะปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง โตโตะหมดแรงนิด ๆ นอนแผ่พุงเหยียดขาตรง ทำหน้าฟินราวกับเพิ่งชนะ

  • ข้างห้องคือคนข้างใจ   บทที่ 13 ทริปเล็ก ๆ (1)

    เช้าวันหยุดหลังคืนดาดฟ้าที่ใจเราเหมือนตกลงสัญญาเงียบ ๆ ฉันตื่นเร็วกว่าปกติทั้งที่ไม่มีนาฬิกาปลุก ลมเช้าจากระเบียงพัดกลิ่นกาแฟที่บดไว้เมื่อคืนโชยเข้ามา โมจิเดินมาวนรอบขาเหมือนนาฬิกาปลุกมีขน ฉันลูบหัวมันแล้วพูดกับตัวเองว่า วันนี้อยากทำอะไรช้า ๆ แบบไม่ต้องชนะเวลา พอเปิดประตูระเบียงก็เจอภีมยืนพาโตโตะออกมารับแดดจาง ๆ เขาส่งยิ้มแบบที่เคยทำ ยิ้มที่ไม่รีบให้คำตอบ แต่บอกว่าอยู่ข้าง ๆ “อรุณสวัสดิ์ครับ” “อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ฉันตอบพร้อมยกแก้วน้ำให้โมจิดมเล่น แดดเช้าตีกับราวระเบียงเป็นริ้ว ๆ จนฉันเผลอหยุดมอง ภีมเอ่ยขึ้นเหมือนคิดไปพร้อมกับลม “วันนี้อากาศดี อยากลองพาโตโตะไปสวนสาธารณะนอกเมือง…คุณกับโมจิสนใจไปด้วยไหมครับ” คำชวนฟังดูง่าย แต่หัวใจฉันกลับทำงานซับซ้อนขึ้นมาทันที มันไม่ใช่แค่ไปสวน มันคือการออกนอกพื้นที่ปลอดภัยที่เราเคยอยู่ร่วมกัน จากโถงชั้น 18 ระเบียง โต๊ะโอ๊ค ไปสู่โลกกว้างที่เราไม่เคยใช้เวลาเป็น “พวกเรา” จริง ๆ มาก่อน ฉันลังเลเพียงเสี้ยววินาที ก่อนพยักหน้า “ไปค่ะ” โมจิตอบแทนด้วยการตดเ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status