ลู่ชิงนอนหลับสนิทอยู่สักพัก แต่กลับถูกรบกวนด้วยเสียงใครบางคน ที่พยายามเรียกตนเองให้ตื่น ทั้งที่กำลังนอนหลับสบาย จากอาการป่วยจนร่างกายไร้เรี่ยวแรงมานาน เมื่อทนการรบเร้านี้ไม่ไหว จึงได้ลืมตาตื่นมองไปรอบ ๆ ที่ยามนี้ไม่ใช่เตียงนอนเก่า ๆ อีกแล้ว แต่เป็นสถานที่หนึ่งกับชายชราผมขาว ที่ยืนถือไม้เท้าลักษณะแปลก ๆ มองมาที่ลู่ชิงอย่างเหนื่อยใจ
“นางหนู ๆ ๆ ตื่นได้แล้วกระมัง จะนอนกินบ้านกินเมืองหรืออย่างไร โลกโน้นทำเจ้าอดหลับอดนอน พอข้ามมายังโลกนี้ก็ยังต้องมาเหนื่อยอีกงั้นรึ” ชายแก่ผมขาวในมือยังถือไม้เท้า พยายามปลุกร่างบางที่ยังนอนหลับอยู่
“อืม ขอนอนต่ออีกสักหน่อยนะเจ้าคะ” ลู่ชิงยังไม่รู้ตัวว่าตอนนี้นางไม่ได้อยู่บนเตียงนอนในบ้านของตนเอง
“ถ้าเจ้ายังไม่ยอมตื่นขึ้นมาเสียทีละก็ ข้าจะไม่ให้ของดีกับเจ้านะนางหนู” ชายแก่ยังไม่ยอมแพ้ที่จะปลุกนาง
“พรึ่บ!! หือ! ที่นี่คือที่ไหน ไม่ใช่ห้องนอนในบ้านนี่ แล้วเมื่อกี้เสียงใครปลุกข้าให้ตื่นกันล่ะ” ข้ารู้สึกแปลกใจที่มีคนมาปลุก และพูดว่าจะให้ของดีอีกพอหันไปด้านหลัง ก็เจอกับชายแก่ผมขาวที่ดูใจดีคนหนึ่งยืนอยู่เงียบ ๆ
“ท่านตาเป็นใครหรือเจ้าคะ แล้วที่นี่คือที่ไหน หรือว่าข้าตายอีกรอบแล้วงั้นหรือเจ้าคะ” ข้าพูดขึ้นด้วยความตกใจ
“ไอหยา นางหนูคนนี้นี่ตื่นมาก็พูดไม่หยุด จะให้ข้าตอบคำถามไหนก่อนดีเล่า” ตอนปลุกไม่ยอมตื่นพอตื่นมาก็พูดเป็นต่อยหอยเชียว
“แหะ ๆ ๆ ต้องขออภัยด้วยเจ้าค่ะ ท่านเป็นใครหรือเจ้าคะและที่นี่คือที่ไหน” ลู่ชิงปรับอารมณ์ใหม่และถามกับชายชราคนนี้ช้า ๆ อีกครั้ง
“ข้าเป็นเทพชะตาของโลกใบนี้ และที่เจ้าอยู่ในตอนนี้คือมิติวิเศษ ที่ข้าจะมอบให้กับเจ้าเป็นการตอบแทน” เทพชะตาตอบคำถามของลู่ชิงอย่างใจเย็น
‘โอ้โห เป็นเทพชะตาคงมาจากบนสวรรค์เป็นแน่ แถมจะมอบมิติวิเศษเป็นการตอบแทน แต่จะตอบแทนเรื่องอะไรกันล่ะเนี่ย อย่าเสียเวลาถามให้รู้เรื่องไปก็จบแล้ว’
“ข้าขอถามท่านเทพสักข้อนะเจ้าคะ ท่านจะมอบมิติวิเศษนี้เพื่อตอบแทนเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” ลู่ชิงอยากรู้จริง ๆ นะ
“ข้าจะมอบมิตินี้พร้อมห้างสรรพสินค้า แบบในโลกที่เจ้าจากมา และบ่อน้ำวิเศษที่รักษาได้ทุกโรคอีกหนึ่งบ่อ ตอบแทนที่เจ้าจะต้องดูแลครอบครัวนี้แทนเจ้าของร่างเดิม ที่หมดอายุขัยและยังมีเรื่อง ที่เจ้าต้องใช้มันเพื่อทำความดีช่วยคน ที่จะทำประโยชน์ให้กับบ้านเมือง
ข้ารับรู้ว่าเจ้าใฝ่ฝันที่จะมีครอบครัวที่อบอุ่น รักใคร่สามัคคีกันจึงได้นำดวงวิญญาณของเจ้ามายังโลกคู่ขนานแห่งนี้” ท่านเทพชะตาอธิบายเหตุผลให้ลู่ชิงได้ฟัง
“ขอบคุณท่านเทพชะตา ที่มอบมิตินี้ให้กับข้าเจ้าค่ะ แล้วมีอย่างอื่นต้องทำอีกหรือไม่เจ้าคะ นอกจากการช่วยดูแลครอบครัวนี้แล้ว” ลู่ชิงถามเพื่อความแน่ใจว่าจะต้องทำเรื่องอะไรเพิ่มนอกเหนือจากนี้หรือไม่
“ไม่มีเรื่องอื่นเจ้าอย่าได้กังวล แต่สิ่งที่มนุษย์ทุกคนควรทำ นั่นก็คือความดี เจ้าก็ทำความดีเป็นบุญกุศล เพื่อส่งเสริมตัวเจ้าและครอบครัวก็แล้วกัน” แค่พวกเขาหมั่นทำความดีก็เพียงพอแล้ว
“ข้ารับปากเจ้าค่ะว่าจะทำความดี แล้วมิตินี้สามารถพาครอบครัวเข้ามาได้หรือไม่เจ้าคะ เวลาในมิติกับด้านนอกต่างกันมากไหมเจ้าคะ” การทำความดีเป็นเรื่องที่สมควรทำแน่นอน ลู่ชิงถึงถามเผื่อครอบครัวเรื่องมิติด้วย
“เจ้าสามารถพาพวกเขาเข้ามาได้ แต่คนอื่นที่ไม่ใช่ครอบครัวไม่สามารถเข้ามาได้ หากเจ้าไม่อนุญาต ส่วนเวลาในมิติหนึ่งชั่วยามเท่ากับเวลาด้านนอกเพียงหนึ่งเค่อเท่านั้น อ้อ เวลาจะเข้าออกมิติเจ้าเพียงคิดในใจ ก็สามารถเข้าออกได้แล้วล่ะ ยังมีอะไรจะถามอีกหรือไม่” ท่านเทพชะตาตอบคำถามของลู่ชิงได้ครอบคลุมทุกข้อ
“ไม่มีคำถามแล้วเจ้าค่ะ” ท่านเทพชะตาอธิบายมาขนาดนี้ ถ้ายังมีคำถามอีกคงไม่ต้องออกไปจากที่นี่กันพอดี
“เอาล่ะเมื่อเจ้าเข้าใจแล้วก็ดี จากนี้ก็ใช้ชีวิตให้มีความสุขก็พอ ข้าต้องไปแล้วขอให้เจ้าโชคดีนางหนู” พอพูดจบท่านเทพก็หายไปทันที
ตอนนี้ไม่รู้ว่าจะทำอะไรก่อนดี แต่การมีตัวช่วยที่ดีเช่นนี้ย่อมทำให้ความเป็นอยู่ของครอบครัว เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
อย่างแน่นอน แต่จะบอกกับพวกเขาว่าอย่างไร ไหนจะเรื่องมิติวิเศษนี่อีก ถ้าบอกความจริงว่า ตนเองเป็นวิญญาณจากที่อื่น เข้ามาอยู่ในร่างนี้แทนลู่ชิงตัวจริง พวกเขาจะรู้สึกอย่างไร
แต่ถ้าโกหกและทำตัวมีพิรุธ พวกเขาก็ต้องจับได้สักวัน มิสู้บอกความจริงตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง จากนั้นก็คอยดูปฏิกิริยาของทุกคนอีกทีว่า จะไปในทิศทางใด มันอาจจะยากที่จะรับเรื่องนี้ได้ แต่จะให้ทำอย่างไรได้ เพราะอุปนิสัยของลู่ชิงคนเก่ากับลู่ชิงคนใหม่ ช่างต่างกันคนละขั้ว คนเดิมพูดน้อยเงียบขรึมไม่ร่าเริง ต่างจากลู่ชิงคนใหม่ที่ชอบพูดชอบยิ้มชอบทำเรื่องท้าทาย ถ้าหากพวกเขารับไม่ได้ ก็คงต้องแยกตัวออกไป แล้วค่อยช่วยเหลือหลังจากที่ทำงานมีเงินมาก ๆ ก็แล้วกัน
ลู่ชิงนึกขึ้นมาได้ ที่ท่านเทพชะตาบอกว่า น้ำในบ่อวิเศษใช้รักษาโรคได้ จึงเดินไปลองตักขึ้นมาดื่มไปหลายอึก เพียงไม่นานก็รู้สึกว่าอาการต่าง ๆ จากพิษไข้ไม่เหลืออยู่แล้ว
มันหายเป็นปลิดทิ้ง แถมร่างกายเหมือนจะแข็งแรงเพิ่มขึ้นแม้จะยังดูผอมอยู่ก็ตาม ลู่ชิงไม่อยากเชื่อว่าน้ำในบ่อนี้ จะทำให้
อาการป่วยของร่างนี้ดีขึ้นได้จริง ๆ เช่นนั้นถ้าทุกคนในครอบครัวได้ดื่มทุกวัน ต้องมีร่างกายที่แข็งแรง และไม่เจ็บป่วยง่ายอย่างแน่นอน ตอนนี้ก็ออกจากมิติไปก่อนก็แล้วกัน เผื่อมีใครเข้ามาแล้วไม่เจอจะเป็นเรื่องใหญ่เอาได้
เมื่อออกมาจากมิติ ร่างของลู่ชิงก็นอนอยู่บนเตียงเช่นเดิม รอให้ทุกคนอยู่พร้อมหน้ากันในตอนเย็น แล้วค่อยบอกเรื่องของลู่ชิงตัวจริงและมิติที่ได้มา ในเมื่อมีแรงแล้ว ก็ขอออกไปสำรวจภายในบ้านดูสักหน่อย พอเดินออกจากห้องนอน ก็มองสำรวจภายในตัวบ้าน ที่มีห้องนอนอยู่สามห้องท่านพ่อท่านแม่หนึ่งห้อง พี่ใหญ่กับพี่รองอยู่ด้วยกันหนึ่งห้องและอีกห้องเป็นของลู่ชิง
สภาพทุกอย่างของบ้าน หากไม่รีบปรับปรุงซ่อมแซม ยามฝนตกหนักน้ำคงท่วมบ้านแน่ เอาไว้จัดการเรื่องสำคัญ ที่ต้องบอกพวกเขาทุกคนให้เรียบร้อยก่อน หลังจากนั้นค่อยทำงานหาเงิน มาซ่อมแซมหรือสร้างบ้านใหม่ก็ยังไม่สาย ลู่ชิงเดินมาจนถึงประตูเข้าบ้าน ก็เจอท่านแม่นั่งปักผ้าอยู่ตรงแคร่ด้านนอก เพื่ออาศัยแสงสว่างในการทำงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้
“ท่านแม่เจ้าคะ” ลู่ชิงเอ่ยเรียกมารดาเมื่อเดินพ้นประตูห้องออกมา
“อ้าว ชิงเอ๋อร์เจ้าออกมาข้างนอกทำไมกัน ถึงจะมีแสงแดดส่องมาบ้าง แต่อากาศด้านนอกยังคงหนาวเย็นอยู่มากนะลูก เจ้าอยากได้อะไรทำไมไม่เรียกแม่เล่า ฮึ” ฟางซินกลัวว่าบุตรสาวจะป่วยอีก ถ้าโดนอากาศที่ยังหนาวเย็นด้านนอก จึงถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง เพราะลู่ชิงเพิ่งจะฟื้นจากอาการป่วย ไม่อยากให้นางต้องลมเย็นเพิ่มอีก
“ข้ารู้สึกดีขึ้นจากเมื่อเช้ามากแล้วเจ้าค่ะ นอนหลับไปตั้งหลายวันจึงอยากออกมาเดินเล่นบ้าง ร่างกายจะได้แข็งแรงไว ๆ เจ้าค่ะ”
ลู่ชิงไม่อยากนอนอยู่เฉย ๆ เพราะจะมีอาการปวดเมื่อยตามตัวจากการนอนนาน ๆ ดังนั้นจึงอยากเดินออกกำลัง เป็นการกระตุ้นการทำงานของร่างกายได้อีกทาง
“แม่แค่เป็นห่วงกลัวเจ้าจะจับไข้อีก ถ้าเจ้าบอกว่าไม่เป็นไรแม่จะยอมเชื่อเจ้าสักหน่อยก็แล้วกันนะ” ในเมื่อบุตรสาวบอกมาเช่นนั้นก็ลองเชื่อใจนางสักหน่อยจะเป็นไรไป
“ขอบคุณท่านแม่ที่เป็นห่วงเจ้าค่ะ แล้วนี่ทำไมท่านแม่ถึงได้นั่งอยู่เพียงลำพังเล่า ท่านพ่อพี่ใหญ่พี่รองไปไหนกันหมดล่ะเจ้าคะ” ข้าเห็นท่านแม่นั่งอยู่เพียงลำพังแต่ไม่เห็นเหล่าบุรุษของบ้านสักคน
“อ๋อ ท่านพ่อและพี่ชายของเจ้า ช่วยกันกวาดหิมะอยู่ อีกสักพักคงจะเสร็จแล้วล่ะ เจ้ามีเรื่องอะไรอยากให้บิดากับพวกพี่ชายช่วยหรือไม่ชิงเอ๋อร์” ฟางซินตอบบุตรสาวและสังเกตว่าลู่ชิงเหมือนมีเรื่องอะไรอยู่ในใจ
“ไม่มีอะไรมากหรอกเจ้าค่ะท่านแม่ พอดีข้ามีเรื่องอยากจะพูดคุยกับพวกท่านทุกคน เช่นนั้นรอท่านพ่อและพี่ชาย กวาดหิมะเสร็จแล้วค่อยพูดคุยกันก็ได้เจ้าค่ะ” ลู่ชิงเกริ่นกับมารดาไปก่อน ว่ามีเรื่องอยากจะพูดคุยกัน แต่ไม่ได้บอกรายละเอียดว่าเกี่ยวกับเรื่องอะไร
“งั้นก็มานั่งข้าง ๆ แม่เถิด จะได้ไม่ถูกลมเย็นมากเกินไป หากเจ้ากลับไปเจ็บป่วยอีกครั้ง แม่คงจะทำใจไม่ไหวอีกแล้วนะ
ฉะนั้นต่อจากนี้ต้องดูแลตนเองให้ดีไม่ต้องห่วงเรื่องงานเข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะท่านแม่”
ระหว่างที่รอท่านพ่อกับพี่ชายทำงานเสร็จ ลู่ชิงก็นั่งพูดคุยเป็นเพื่อนมารดาอย่างฟางซินไปพลาง ๆ นางชวนมารดาคุยอยู่หลายเรื่องทำให้รู้สึกคุ้นเคยกันเพิ่มขึ้นมากทีเดียว ลู่ชิงคุยกับมารดาเพลินไปหน่อยจนใกล้จะถึงยามเซิน จึงชักชวนมารดาอย่างฟางซินเข้าบ้าน เพื่อเตรียมทำอาหารมื้อเย็น ไว้รอพวกท่านพ่อกับพี่ชาย หลังทานมื้อเย็นเสร็จลู่ชิงจะได้พูดคุยเรื่องสำคัญกับพวกเขาเสียที เพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่ายในการใช้ชีวิตเป็นครอบครัวเดียวกัน