ถนนทอดยาวในเมืองหลวงตอนนี้ล้วนประดับไปด้วยเกล็ดหิมะสีขาวโพลนซึ่งปกคลุมทุกสรรพสิ่งทั่วทั้งบริเวณ แสงสะท้อนจากเสาไฟสองข้างทางบ่งบอกว่าราตรีกาลมาเยือนแล้ว หญิงสาวร่างเพรียวบางสวมเครื่องแต่งกายล้ำสมัย กำลังก้มหน้างุดไม่พูดไม่จา มีเพียงลาดไหล่แคบที่กระเพื่อมไหวสั่นระริก ใบหน้าเกลี้ยงเกลาสะสวยเปื้อนเขรอะคราบน้ำตาจนดูไม่จืด ขาเรียวเยื้องย่างไร้เรี่ยวแรงท่ามกลางความหนาวเหน็บ
วันนี้คือเทศกาลแห่งความรัก มองไปทางไหนก็พบแต่คนเคียงคู่ นี่ควรเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขในชีวิตของเธอไม่ใช่เหรอ ในขณะที่เธอตั้งใจเลือกของขวัญชิ้นพิเศษเพื่อมอบแด่ชายอันเป็นที่รัก เหตุใดจึงต้องเผชิญกับภาพบาดตาบาดใจแทน
ใบหน้าแย้มยิ้มของเพื่อนสาวและชายซึ่งเธอรักสุดหัวใจ โผกอดกันท่ามกลางหิมะโปรยปราย มันกำลังปรากฏฉายชัดดั่งภาพสามมิติวนซ้ำไปมา ทำไมถึงรู้สึกเจ็บปวดคล้ายถูกปลายมีดอันแหลมคมเสียบลึกตรงอกซ้าย เธอไว้เนื้อเชื่อใจพวกเขามาโดยตลอด เหตุใดจึงกล้าแทงเธอจากข้างหลังอย่างเลือดเย็น
เจ็บ...เจ็บเหลือเกิน...
หญิงสาวง้างมือขึ้น จากนั้นปากล่องของขวัญทิ้งอย่างไม่ไยดี ร่างระหงยอบกายลงพลางกอดเข่าซบหน้าสะอื้นไห้ เธอไม่กลัวความหนาวเย็นเลยสักนิด ยิ่งหนาวยิ่งดี ยิ่งกัดลึกกร่อนกระดูกให้เธอตายไปซะจะได้ไม่รู้สึกเจ็บปวดก็ยิ่งดี
หากเธอเลือกได้ ไม่ว่าชาตินี้ ชาติหน้า หรือชาติไหน ๆ ขออย่าได้พานพบผู้ชายมักมากหลายใจอีก ปล่อยให้เธอไร้หัวใจ ครองตัวเป็นโสดไปเลยยิ่งดี!!
"แม่หนู มานั่งทำอะไรคนเดียวตรงนี้ ไม่หนาวเหรอจ๊ะ" น้ำเสียงแปร่งดังขึ้นเหนือหัว
เจ้าของใบหน้างามแหงนขึ้นแช่มช้า เปลือกตาบางหรี่ลงเล็กน้อย เธอพยายามกะพริบเปลือกตาถี่เพื่อขับไล่ม่านน้ำสีใส หนำซ้ำเบื้องหลังยังมีแสงจากดวงไฟสาดสะท้อนเข้ามา ส่งผลให้เธอมองหน้าอีกฝ่ายไม่ชัดเท่าที่ควร ฟังจากน้ำเสียงและสังเกตลักษณะโดยประมาณ จึงพอคาดเดาได้ว่าผู้มาเยือนเป็นหญิงสูงวัย
เธอส่ายศีรษะเป็นการตอบกลับ เสียงใสเอ่ยถามด้วยความสั่นเครือพลางสูดน้ำมูกเสียงดังพรืด "ละ...แล้วคุณยายล่ะคะ ไม่หนาวเหรอ ดึกมากแล้วนะคะ"
เธอได้ยินอีกฝ่ายหัวเราะแผ่วดังลอดจากลำคอ มือเหี่ยวย่นยื่นลงมาเบื้องล่างเพราะต้องการช่วยพยุงเธอยืนขึ้น หญิงสาวส่ายหน้าอีกหน "ไม่เป็นไรค่ะคุณยาย หนูอยากอยู่ตรงนี้อีกสักพัก"
แม้มองไม่ชัดแต่เธอรับรู้ได้ว่าหญิงชราผู้นี้กำลังผลิยิ้มอันอบอุ่นส่งมาให้ "ชีวิตคนเราก็เป็นเช่นนี้ มีพบก็ต้องมีจาก มีรักก็ต้องมีสิ้นรัก ไม่ว่าจากเป็นหรือจากตายก็ล้วนเจ็บปวดด้วยกันทั้งสิ้น"
หญิงสาวนิ่วหน้า เธอตัดสินใจหยัดกายยืนขึ้น "คุณยายหมายถึงอะไรคะ"
มือเรียวซึ่งห่อหุ้มด้วยถุงมือหนังราคาแพงยกขึ้นปาดน้ำตาที่ยังหลงเหลือทิ้ง
"นี่ของหนูใช่หรือไม่" หญิงชรายื่นบางสิ่งไปเบื้องหน้า
เธอหลุบเปลือกตาพิจารณาของในมือหญิงชราด้วยความฉงน ยังไม่ทันตอบตกลงหรือปฏิเสธใด มือเล็กก็ถูกอีกฝ่ายคว้าไว้โดยไม่ทันตั้งตัว หญิงชราวางบางสิ่งลงบนฝ่ามือเธอ หญิงสาวยกขึ้นพลิกซ้ายขวาตรวจสอบอย่างถ้วนถี่ สร้อยลูกปัดอันนี้ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอน
"คุณยายคะ นี่ไม่ใช่..." เธอแหงนหน้าขึ้น "อะ...อ้าว...หายไปไหนแล้วนะ"
นัยน์ตากลมโตกวาดมองโดยรอบก็ยังไม่พบกระทั่งร่องรอย เธอสำรวจสร้อยลูกปัดสีแดงสะท้อนแสงอีกครั้ง คิ้วสวยขมวดมุ่นแทบผูกเป็นปม
"ดูไปแล้วเหมือนของล้ำค่าจากยุคโบราณเลย คุณยายคงไม่ใช่หัวขโมย แล้วต้องการโบ้ยความผิดให้เราใช่ไหม" เธอจะทิ้งก็ไม่ได้ จะเก็บไว้ก็ลังเล ท้ายที่สุดเธอจึงเลือกเก็บเอาไว้อย่างนึกปลดปลง
"ไว้ค่อยตามหาแล้วกัน คุณยายน่าจะเป็นคนพื้นที่นี้" หญิงสาวมองสร้อยลูกปัดในมือ จากนั้นถอนหายใจแผ่ว
ขาเรียวยาวสวมรองเท้าหนังหุ้มสูงถึงหัวเข่าก้าวเดินต่อไปเบื้องหน้า อยู่ ๆ เธอก็สัมผัสถึงความผิดปกติของร่างกายตน
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก
เสียงหัวใจรัวกระหน่ำ ใบหน้างามเหยเก มือที่ยังถือสร้อยปริศนายกขึ้นขย้ำบริเวณอกซ้ายเพื่อคลายความเจ็บปวด เธอพยายามสูดลมหายใจเข้าออกเนิบช้า กระทั่งร่างบอบบางเอนเอียงไม่มั่นคงจวบจนล้มลงท่ามกลางหิมะเย็นเยียบ
...หายใจไม่ออก นี่เราเสียใจจนใกล้ช็อกตายจริง ๆ น่ะเหรอ
เสียงหอบหายใจเข้าออกเป็นจังหวะดังสะท้อนในโสตประสาท ก่อนดวงตาดับแสงลง กลับมีชายหนุ่มผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้น เขาประคองร่างบอบบางไว้บนอ้อมแขน พลางร้องเรียกชื่อของเธอด้วยความร้อนรน
"จือหลิน จือหลิน ฟื้นสิ เป็นอะไร"
เขาเขย่าตัวเธออย่างบ้าคลั่งด้วยอาการตื่นตระหนก เมื่อลองเพ่งสายตามองผ่านลาดไหล่กว้างไป เธอจึงประสานกับแววตาเย็นชาของเพื่อนสนิทซึ่งยืนไม่ห่างมากนัก นัยน์ตานั่นบ่งบอกอย่างชัดแจ้งว่าอีกฝ่ายกำลังสาปส่งเธอ
สมควรตายไปซะ!
เปลือกตาบางปิดปรือแช่มช้า ลมหายใจหญิงสาวแผ่วโหยโรยแรงลงเรื่อย ๆ
พวกหน้าไม่อาย คนทรยศ!!
แค่ก แค่ก
"...ฮูหยิน ฮูหยินท่านได้สติแล้ว!" เสียงแหลมเล็กดีใจราวลิงโลด
หา...ฮูหยินเหรอ ฮูหยินอะไร
เปลือกตาบางขยับไหวท่ามกลางความมืดมน จากนั้นจึงเปิดปรือขึ้นแช่มช้า เมื่อเริ่มขยับตัวกลับรู้สึกร้าวระบมไปเสียหมด เสียงที่เปล่งก็ช่างแปร่งพร่าแห้งขอด "นะ...น้ำ"
"เจ้าค่ะ เดี๋ยวบ่าวเอามาให้นะเจ้าคะ" สตรีร่างเล็กลุกพรวดพราดด้วยความเร่งร้อน ส่วนอีกคนมองผู้ป่วยซึ่งนอนซมด้วยดวงตาแดงก่ำ
เอ๋...เกิดอะไรขึ้น นี่มันที่ไหนกัน แล้วสองคนนี้ แต่งตัวก็คล้ายในซีรีส์ย้อนยุคเลย
หญิงสาวมองผู้เป็นนายกำลังสอดส่ายสายตาด้วยสีหน้างุนงง น้ำสีใสก็พานจะไหลอยู่รอมร่อ "ฮูหยิน เป็นอะไรไปเจ้าคะ"
"ฮูหยิน น้ำมาแล้วเจ้าค่ะ"
ยังไม่ทันไขข้อข้องใจ อีกคนก็วนกลับมาพร้อมถ้วยชาในมือ ตอนนี้โซนสมองกำลังตบตีกันจ้าล่ะหวั่น หญิงสาวทั้งสองดูไปแล้วอายุคงราวสิบห้าสิบหก ทั้งสองช่วยประคองกายผู้ป่วยเอนหลังพิงหัวเตียงได้สะดวก
ช่างเถอะ กินน้ำก่อน คอแห้งจะตายอยู่แล้ว
มือเรียวเอื้อมรับถ้วยชากระเบื้องเคลือบพลางกระดกดื่มจนหมด
"เอาอีก"
"เจ้าค่ะ"
น้ำชาถูกส่งเข้าปากอึกแล้วอึกเล่า อีกคนดื่มอีกคนหันไปเติมอยู่เช่นนั้นจนวุ่นไปหมด
"ฮูหยิน ท่านกระหายน้ำมากหรือเจ้าคะ ค่อย ๆ ดื่มเจ้าค่ะ"
"ไม่มีแก้วเหรอคะ นี่มันดื่มไม่อิ่มเลย"
"หา...แก้ว แก้วใดเจ้าคะ" สตรีสองนางมองหน้ากันหลุกหลิก
"โอ๊ย!...ปวดหัว"
อยู่ ๆ ภาพบางอย่างพลันปรากฏขึ้นชั่วพริบตา ทุกการกระทำและคำพูดของสตรีนางนี้กำลังฉายชัดในโสตสมองเฉกเช่นกำลังชมละครย้อนยุคเรื่องหนึ่ง ที่น่าตื่นตะลึงไปกว่านั้น ตอนนี้เธอดุจดั่งเกิดใหม่ ทว่าไม่ใช่โลกใบเดิมของตน หญิงสาวนิ่งงันไปชั่วขณะ ริมฝีปากบางอ้าเผยอด้วยอาการตระหนก
คนละยุคงั้นเหรอ!?
ที่แห่งนี้คือยุคโบราณ เจ้าของร่างเดิมมีนามว่า หลิวจือหลิน นี่มันชื่อของเธอในโลกอีกด้านชัด ๆ เกิดใหม่ไม่เท่าไหร่ เรื่องโชคร้ายสูงสุดในชีวิตก็ปรากฏ หลิวจือหลินในยุคนี้คือหญิงสาวที่มีนิสัยเกรี้ยวกราด ขี้อิจฉาริษยา ซ้ำยังเป็นที่เกลียดชังของบรรดาผู้คน ล่าสุดนางลอบวางเพลิงเผาจวนโหวจนเกือบวอดเพราะสามีที่ตนรักกำลังรับอนุเข้าจวน
"นี่ข้า! ข้าคือ หลิวจือหลิน"
นิ้วเรียวชี้เข้าหาตนด้วยอาการตื่นตะลึง เมื่อถูกปลุกความทรงจำของโลกใบนี้กระทั่งวาจาที่เปล่งออกมาก็ไม่ต้องปรับเปลี่ยนสักนิด หญิงสาวในยุคสองพันได้หวนมาเกิดใหม่ในยุคโบราณ กระนั้นกลับหอบความทรงจำต่าง ๆ มาด้วย มีความทรงจำของโลกอีกด้าน และยังหลงเหลือความทรงจำในมิติแห่งนี้อีก
"ฮูหยิน ท่านเป็นอะไรเจ้าคะ ทะ...ท่านความจำเสื่อมงั้นหรือ"
นัยน์ตากลมโตกลอกไปมาซ้ายขวา "เจ้าคือ เจียวเจียว ส่วนเจ้า ปี้อี๋"
พวกนางเอ่ยตอบโดยพร้อมเพรียง "ใช่แล้วเจ้าค่ะ" จากนั้นเหลียวมองหน้ากันอย่างงุนงง
นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมความทรงจำเหล่านี้ โอ้แม่เจ้า เราย้อนเวลามาเกิดใหม่ที่ยุคโบราณหรือเนี่ย อย่าบอกนะว่าเป็นเพราะ...
หลิวจือหลินควานหาบางอย่างสะเปะสะปะ ใจของนางเต้นระรัวแทบกระโจนออกนอกอก เรื่องเหนือธรรมชาติเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร นางคงไม่ได้ฝันไปใช่หรือไม่
"ฮูหยิน กำลังหาสิ่งใดอยู่เจ้าคะ" เจียวเจียวเอ่ยถาม
"สร้อยลูกปัดสีแดง ที่นี่มีหรือไม่"
ปี้อี๋ค่อย ๆ ชี้ปลายนิ้วไปยังลำคอขาวผ่อง "ถ้าหมายถึงสร้อยเส้นนั้น ฮูหยินก็สวมติดกายอยู่ตลอดอย่างไรเจ้าคะ"
ท่าทีกระวีกระวาดสงบลง หลิวจือหลินลดสายตามองสร้อยซึ่งคล้องอยู่บนลำคอแช่มช้า "นี่มัน....สร้อยที่คุณยายให้มาจริงด้วย!"
เจียวเจียวกล่าวด้วยท่าทีประหม่า "เอ่อ...ฮูหยิน คุณยายใดเจ้าคะ นั่นสร้อยลูกปัดปะการังเพลิงที่บิดาของท่านมอบให้ในวันแต่งงานมิใช่หรือ"
หลิวจือหลินแหงนหน้ามองสาวใช้ทั้งสอง พวกนางพลางหลุบตามองต่ำเดี๋ยวนั้น หลิวจือหลินถอนหายใจแผ่ว ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ ในเมื่อทุกอย่างเกิดขึ้นดุจสายฟ้าฟาด แต่ที่น่าเจ็บใจยิ่งกว่า ไฉนจึงกลายมาเป็นหญิงสาวที่แต่งงานมีสามีด้วยเล่า หนำซ้ำยังเป็นผู้ชายมักมากอีกด้วย
สวรรค์รังแกกันสนุกเหลือเกิน!
"ท่านโหว ยามนี้ฮูหยินได้สติแล้วขอรับ"มือที่จับพู่กันยังคงตวัดเขียนด้วยความใจเย็น เสียงทุ้มตอบกลับแบบขอไปที "อืม รู้แล้ว" องครักษ์ทั้งสองต่างเหลือบมองกันหลุกหลิก พวกเขาทราบดีว่านายของตนนั้นแสนชิงชังฮูหยินใหญ่เพียงใด เพราะนางชมชอบเจียงโหวหรือเจียงซื่อจวินจนหน้ามืดตามัว ยามที่ทั้งสองยังไม่ออกเรือนหลิวจือหลินก็ตามราวีโหวหนุ่มไม่ลดละ กระทั่งหลิวจือหลินไม่อาจทนมองท่าทีกระด้างกระเดื่องจากบุรุษที่ตนชมชอบได้ นางจึงตัดสินใจร้องขอบิดาซึ่งมีตำแหน่งเป็นถึงซ่างซูเสิ่ง [1] ทูลขอราชโองการจากฮ่องเต้เพื่อมอบสมรสพระราชทานให้แก่หลิวจือหลินและเจียงซื่อจวินอย่างไม่มีหนังไม่มีหน้า [2] บิดาที่เลี้ยงดูบุตรสาวดุจไข่ในหินเช่นใต้เท้าหลิวเฝ้าตามใจนางไปเสียทุกอย่าง ส่งผลให้หลิวจือหลินเติบโตขึ้นมาเป็นสตรีร้ายกาจซ้ำยังนิสัยเสีย หากเป็นสิ่งที่นางต้องการแล้วล่ะก็ ผู้ใดก็อย่ามาขวาง หลิวจือหลินคิดเพียงว่าแต่งแล้วอยู่กินกันไปอีกฝ่ายก็ต้องหลงรักตนเข้าสักวัน ไหนเลยจะรู้ว่านางกำลังคิดผิดมหันต์ นับวันโหวหนุ่มก็ยิ่งรังเกียจชิงชังนาง กระทั่งย่างกรายเข้าไปเหยียบเรือนฝั่งตะวันออกสักครั้งก็ไม่เคยเพราะหลิวตงมีผลงานมากมายเป็น
เป็นเวลาครึ่งค่อนเดือนที่หลิวจือหลินนั้นใช้ชีวิตในโลกใบใหม่ นางมิได้สนใจหรือใส่ใจเจ้าของเรือนสักนิด กระทั่งอนุที่โหวหนุ่มตบแต่งเข้ามานางก็ยังไม่เคยเห็นหน้า พวกเขาเป็นเพียงภาพเลือนรางในมโนสำนึกของหลิวจือหลินคนเดิมเท่านั้น ทว่าหลิวจือหลินผู้นี้ก็ไม่อยากเห็นคนทั้งสองเท่าใด และไม่อยากรู้ด้วยว่าพวกเขาหน้าตาแบบไหนเจียงซื่อจวินไม่คิดโผล่หน้ามาพบนางก็นับเป็นเรื่องดีมิใช่หรือ หลิวจือหลินจะได้ไม่ต้องรู้สึกอึดอัดเพราะนางไม่ใช่ฮูหยินตัวจริงของเขา เรือนที่นี่ใหญ่โตโอ่โถงประหนึ่งราชวังขนาดย่อม แค่เดินไปหอตำราก็กินเวลาเกือบเป็นชั่วยาม [1] หนำซ้ำต่อให้หลิวจือหลินคนเดิมจะน่ารังเกียจเดียดฉันท์ ทว่านางกลับมีเรือนร่างงดงามประหนึ่งโฉมสะคราญ ที่น่าตื่นตะลึงไปกว่านั้น นางเป็นสาวบริสุทธิ์ที่แต่งงานมานานแล้ว พรหมจรรย์ที่หาได้ยากอย่างนี้กลับทำให้หลิวจือหลินจากยุคสองพันดีใจเป็นล้นพ้นถึงแม้นางคบหากับแฟนหนุ่มมาหลายปีทว่าหลิวจือหลินในโลกอีกด้านก็ไม่เคยเกินเลยกับเขาสักครั้ง อาจมีจับมือ จุมพิต หรือกอดเป็นเรื่องปกติของคนรักกัน นี่คงเป็นเหตุให้อีกฝ่ายคิดนอกใจหลิวจือหลินไปหาหญิงอื่นที่สามารถมอบความสุขก่อนแต่งให้เขาได
"เรื่องอื่นเล่า หมดเพียงเท่านี้รึ"เฉิงซือหานเริ่มสับสน อย่างอื่นล้วนไม่มีแล้ว หากเป็นเรื่องกิจวัตรประจำวันของหญิงสาวเขาก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว องครักษ์หนุ่มจึงเหลียวมองหน้าสหายที่ยืนสงบนิ่งประหนึ่งหุ่นขี้ผึ้งแกะสลักเพื่อขอความช่วยเหลือ อีกฝ่ายเขม้นสายตาดั่งต้องการบอกว่า เรื่องท่านโหวเล่า มีหรือไม่เฉิงซือหานจึงเข้าใจในบัดดล เพราะเขาเป็นคนตรง ๆ ได้เห็นมาอย่างไรก็กล่าวเช่นนั้น "หากเป็นเรื่องที่ฮูหยินมักเที่ยวมาอาละวาดหน้าเรือนของท่านเช่นเมื่อก่อน ยามนี้ไม่มีแล้วขอรับ ดูเหมือนข้าไม่เคยได้ยินฮูหยินเอ่ยถึงท่านโหวเลยด้วยซ้ำ"จู่ ๆ ช่ายจินซินก็รู้สึกว่ากำลังจะเกิดพายุลูกใหญ่ เขากระทุ้งข้อศอกไปยังหน้าท้องหนั่นแน่นของสหายเพื่อให้รู้สึกตัว"เอ่อ เอ่อ มีเอ่ยถึงตอนที่บอกว่าไม่อยากทราบเรื่องท่านโหวแล้วขอรับ" เฉิงซือหานเหงื่อซึมแผ่นหลังช่ายจินซินได้ฟังแทบอยากกัดลิ้นตนเพื่อลงไปนอนแดดิ้นเสีย ดูเหมือนเฉิงซือหานยังซื่อบื้อไม่แปรเปลี่ยน เขานั้นอยู่กับเจียงซื่อจวินตลอด ทราบดีว่าจิตใจอีกฝ่ายยามนี้กระวนกระวายเพียงใด เพราะเจียงซื่อจวินทำตัวราวกับว่า ไม่ใกล้สูญเสียก็ไม
ยามฮ่าย [1] ในคืนเดียวกัน ร่างดำทะมึนขององครักษ์มือซ้ายกระโจนลงจากหลังคาท่ามกลางความอนธการ เขาค้อมศีรษะพลางเอ่ยรายงานนายของตนซึ่งยังง่วนกับกองรายงานม้วนไม้ไผ่แทบไม่ว่างเว้น"ท่านโหว วันพรุ่งฮูหยินบอกว่าจะออกไปข้างนอกขอรับ"สิ่งที่อีกฝ่ายรายงานหาได้สลักสำคัญใด ตั้งแต่เกิดเรื่อง หลิวจือหลินก็ไม่ได้ก้าวออกจากจวนโหวเลย "นางอยากไปก็ไป""แต่...เดิมทีก่อนฮูหยินจะไปที่ใดมักมาแจ้งท่านโหวก่อนเสมอ ครั้งนี้ฮูหยินเอ่ยว่า..." เฉิงซือหานรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก บางทีเขาอาจคิดผิดที่มารายงานเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้"หืม..." มือหยาบระคายวางพู่กันหางจิ้งจอกลง เขาทำงานจนลืมดูว่ายามนี้ดึกมากแล้ว คิ้วเข้มเลิกขึ้นด้วยความฉงน "เดี๋ยวนี้เจ้ากลายเป็นประเภทเรรวนไปตั้งแต่เมื่อใด""ขออภัยท่านโหว คือ...ฮูหยินกล่าวว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรายงานท่านก็ย่อมได้ เพราะท่านโหวคงลืมไปแล้วว่ามีนางอยู่ อีกอย่างฮูหยินเองก็ลืมไปแล้วเช่นกันว่ามีท่านอยู่"ปัง!องครักษ์ซ้ายขวาพร้อมใจสะดุ้งโหยง ช่ายจินซินยกมือกุมขมับ บางทีห
หลิวจือหลินพิเคราะห์หน้าตาที่มีผ้าแพรปกปิดพลางตบข้างบั้นท้ายตนเปาะหนึ่งเจียวเจียวยกมือทาบอก "…ฮูหยิน ทำเช่นนี้ไม่งามนะเจ้าคะ"หลิวจือหลินเหลียวหน้ามองสาวใช้ พลางหัวเราะขบขัน เปลือกตาบางขยิบหนึ่งฝั่งหยอกล้อ จากนั้นเท้าเรียวเดินบ้างกระโดดบ้างดั่งกระต่ายเริงร่า หลิวจือหลินฮัมเพลงเสียงแผ่ว ไม่ใส่ใจสาวใช้ตนอีกเจียวเจียวแทบเกิดลมจับ เพราะเจียวเจียวมักเคร่งครัดเรื่องความเป็นกุลสตรีเช่นนี้เสมอ ส่วนปี้อี๋ยิ้มขบขันปี้อี๋ "เอาน่าอาเจียว ฮูหยินเป็นเช่นนี้ก็ดีแล้วมิใช่หรือ""แต่…""ไม่ต้องแต่แล้ว เห็นหรือไม่ฮูหยินจะถึงรถม้าแล้ว เจ้าอยากหลังลายรึ"เจียวเจียวพยักหน้าหงึกหงัก พวกนางเร่งถลันกายตามนายหญิงไปทันควันบุรุษร่างสูงผินหน้ามองเรือนตะวันออกด้วยความใคร่รู้ ดูนางไม่แยแสเขาจริงดังว่า คิ้วเข้มเลิกขึ้นด้วยความฉงน แม้นางอยู่ห่างจากเขาจนเห็นไม่ชัด แต่เขารับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของหญิงสาวที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมหางตาของหลิวจือหลินพลันเหลือบเห็นรถม้าอีกคันจอดไว้ไกลลิบ คงมิใช่ทางฝั่งเรือนหลักกระมัง ช่
รถม้าขับเคลื่อนไปเบื้องหน้าอย่างเรียบเรื่อย เสียงจ้อกแจ้กจอแจบ่งบอกว่าพวกนางเดินทางมาถึงตลาดกลางเมืองแล้ว หลิวจือหลินดูตื่นเต้นจนเก็บอาการไม่มิด สาวใช้ทั้งสองเห็นท่าทีประดุจเด็กสามขวบของนายหญิงก็อดยิ้มเป็นมิได้มือเรียวเลิกผ้าคลุมหน้าต่างขึ้นพลางสอดส่ายสายตาเมียงมองร้านรวงสองข้างทาง นางจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร บรรยากาศครึกครื้นเช่นนี้หลิวจือหลินเคยสัมผัสเพียงในซีรีส์เท่านั้น คาดไม่ถึงว่านางได้เข้ามาเยือนดินแดนยุคโบราณอย่างแท้จริง อันเป็นเหตุให้สามารถหลงลืมความทุกข์ระทมที่ตนถูกหักอกไปเสียสนิทใจเกิดใหม่ในร่างโฉมสะคราญ ถึงแม้มีสามีก็เพียงสามีในนามมิใช่หรือ เช่นนั้นหลิวจือหลินควรใช้เรือนร่างสะโอดสะองให้เป็นประโยชน์สูงสุด อย่างเช่น สวมใส่เสื้อผ้างดงามที่ตัดเย็บด้วยตนเอง ผสานกลิ่นอายการออกแบบในยุคสมัยที่จากมาลงไปด้วย ต้องดูแปลกใหม่ไม่ซ้ำใครแน่นอน ตรึกตรองดูแล้วเรื่องวาดฝันเพื่อทำการค้าของหลิวจือหลินก็ดูไม่เลวทีเดียวหากนางสามารถออกมาจากเรือนโอ่อ่าทว่าชวนอึดอัดนั้นได้จริง ต่อให้ต้องถูกตราหน้าว่าเป็นหญิงหม้ายก็ช่างปะไร ในเมื่อหลิวจือหลินมิสนใจธรรมเนียมคร่ำครึนั่นเสียอย่
"ขออภัยพี่หญิง ข้ามิได้จงใจแย่งชิงผืนนี้กับท่าน" เสียงใสเอ่ยด้วยความพินอบพิเทา แววตาไหวระริกคล้ายกลัวนางเสียเต็มประดาเดิมทีหม่าลี่เจี่ยพิเคราะห์อยู่นานว่าอีกฝ่ายคือฮูหยินเจียงโหวหรือไม่ เพราะการแต่งกายของนางเปลี่ยนไปจากเดิมมาก ซ้ำหลิวจือหลินยังปกปิดใบหน้า แต่ทว่านางจำสาวใช้ข้างกายทั้งสองได้ ดูเหมือนใบหน้าที่ถูกปิดบังคงซ่อนความอัปลักษณ์เอาไว้แน่แท้สายตาของคนในร้านนับสิบคู่เริ่มเมียงมองมาที่พวกนางด้วยความใคร่รู้หลิวจือหลินกระซิบแผ่วกับสาวใช้ "นะ...นางคือใคร"เจียวเจียวกะพริบตาถี่ เหลียวมองหน้ากับปี้อี๋เจียวเจียวกระซิบตอบ "ฮูหยิน นี่อนุหม่าอย่างไรเจ้าคะ"ดุจกระแสอสนีบาตฟาดกลางกระหม่อม ร่างระหงแทบล้มทั้งยืน ไฉนใบหน้าของหม่าลี่เจี่ยจึงคล้ายเพื่อนสนิทที่รวมหัวกับแฟนหนุ่มเพื่อหักหลังนางได้ถึงเพียงนี้"พี่หญิงเป็นอันใดไปเจ้าคะ" อีกฝ่ายยังเอ่ยด้วยน้ำเสียงนอบน้อมไร้เดียงสาหลิวจือหลินตั้งสติ ร่างระหงยืดกายตรงแน่ว โลกคงไม่เหวี่ยงคนบัดซบมาให้เจอซ้ำ ๆ กระมัง อาจเป็นคนที่หน้าเหมือนกันในชาตินี้ นางเองยังมีรูปร่างหน้าตาละม้ายเจ้าของร่างเดิ
หลิวจือหลินครุ่นคิดถึงความเหมาะสม นัยน์ตากลมโตเหลียวมองสาวใช้ข้างกาย ยามนี้พวกนางมีทีท่าเป็นกังวลอย่างยิ่งยวด ปี้อี๋และเจียวเจียวพร้อมใจส่ายศีรษะ ทว่าเมื่อเหลือบมองบุรุษฝั่งตรงข้ามอีกหนอย่างนึกลังเล ชายหนุ่มก็ยังส่งยิ้มละไมให้นางราวกำลังกดดัน นัยน์ตาคมจดจ้องเพราะคาดหวังในคำตอบนางเป็นสตรีที่ออกเรือนแล้ว การไปทานข้าวกับบุรุษซึ่งมิใช่สามีจะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์หรือไม่ เมื่อตรึกตรองถึงเรื่องก่อตั้งกิจการในอนาคต หลิวจือหลินจึงเห็นทางสว่างอยู่รำไร หากทำความรู้จักกับเขา ผู้เป็นถึงเจ้าของร้านผ้าอันใหญ่โตโอ่โถง ก็นับว่าได้ประโยชน์ไม่น้อยมิใช่หรือ"ฮูหยินดูลังเลเพียงนี้ คงเป็นกังวลว่าท่านโหวจะโกรธเคืองงั้นหรือ"หลิวจือหลินส่งยิ้มแห้งขอด นางยกมือขึ้นโบกไปมาพัลวัน "เปล่า เปล่า เจ้าค่ะ เดิมทีข้าและท่านโหวไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวกันและกันอยู่แล้ว"เจ้าของใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มกว้าง "เช่นนั้นฮูหยินคงไม่ถือสา ถึงอย่างไรทั้งท่านและข้าล้วนแต่มีผู้ติดตาม หาได้ไปเพียงลำพัง ถือเสียว่าเป็นการทักทายจากสหายที่เพิ่งพานพบ ท่านว่าดีหรือไม่"สาวใช้ทั้งสองหน้าเจื่อน แต่หลิวจือห
เจียงซื่อจวินหลับใหลไร้สติร่วมเจ็ดวัน หลิวจือหลินดูแลเขาอยู่ไม่ห่าง ทว่านางกลับไม่พบหม่าลี่เจี่ย เหตุใดอนุของเขาจึงมิได้แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนเลย หนำซ้ำเรือนตะวันตกยังดูเงียบเหงาจนผิดปกติอีกด้วยแค่ก! แค่ก!เสียงกระอักไอของใครบางคนทำให้หลิวจือหลินหลุดจากภวังค์"ท่านโหว!"หลิวจือหลินรุดเข้าประคองอีกฝ่ายด้วยความร้อนรนระคนดีใจ"นะ...น้ำ"เจียวเจียวซึ่งยืนรอเป็นลูกมือในทุกวัน ถลันไปรินชาลงถ้วยกระเบื้องเคลือบด้วยมือสั่นเทา นางเห็นหลิวจือหลินดูแลเจียงซื่อจวินจนหน้าซีดขาว ก็อดเป็นห่วงมิได้ ยามนี้เจียงโหวรู้สึกตัวแล้ว หวังว่านายของตนจะหันมาดูแลตัวเองเสียบ้าง"ฮูหยิน น้ำเจ้าค่ะ""ขอบใจนะ" หลิวจือหลินส่งยิ้มให้เจียวเจียว จากนั้นจึงป้อนให้ผู้ป่วยด้านหน้าแค่ก แค่ก"ค่อย ๆ เจ้าค่ะ"เมื่อเห็นว่าเจียงซื่อจวินฟื้นแล้ว ไม่มีสิ่งใดน่าห่วง สาวใช้ทั้งสองรวมถึงองครักษ์ซ้ายขวาจึงพร้อมใจกันออกไปด้านนอก"ยังเจ็บแผลอยู่หรือไม่เจ้าคะ"เจียงซื่อจวินช้อนตามองสตรีเบื้องหน้า นางดูเป็นกังวลอย่างยิ่งยวด ซ้ำใบหน้ายังซีดขาว ขอ
หลิวจือหลินเหงื่อกาฬแตกพลั่ก ราวกับว่าตนกำลังถูกผู้ปกครองจับมัดแล้วหวดตีเพราะดื้อรั้น เสียงใสกล่าวอ้อมแอ้ม "เอ่อ...ท่านโหว อย่าเพิ่งดุข้าได้หรือไม่ คือ...ข้าเพียงไม่รู้ว่ายามนี้ราชวังกำลัง... อีกอย่างข้ารอท่านแล้ว แต่ท่านไม่มาพบข้าเลยตั้งหลายวัน"เจียงซื่อจวินอึ้งงั้นไปชั่วขณะ นางบอกว่ารอเขาอยู่อย่างนั้นหรือ นางเฝ้ารอเขาไปพบโดยตลอด แม้จะเพราะต้องการเข้าวังก็ตาม ไฉนจึงรู้สึกดีใจเพียงนี้กัน"ข้าทำงาน ขอโทษเจ้าด้วย ที่ปล่อยให้รอนาน ต่อไปข้าจะไม่หายหน้าแบบนี้อีกแล้ว"หลิวจือหลินกะพริบตาปริบ ๆนี่เขาขอโทษข้างั้นหรือจู่ ๆ ร่างกำยำก็โน้มลงโอบรอบเอวคอดไว้ในอ้อมแขน ใบหน้าหล่อเหลาก่ายเกยบนลาดไหล่แคบ ลมหายใจอุ่นเป่ารดต้นคอเสียจนหลิวจือหลินขนลุกเกรียว"...ท่านโหว เป็นอะไรเจ้าคะ""นิ่ง ๆ ข้าอยากอยู่แบบนี้สักพัก" นัยน์ตาคมหลับลง เขากำลังประมวลความคิดบางอย่าง เมื่อครู่เขาเป็นห่วงนางแทบแย่ เหตุใดนางจึงไม่รู้จักรักตัวกลัวตายเสียบ้าง ไยนางจึงกล้าฝ่าดงกระบี่ ดงเพลิงเพื่อช่วยเหลือเขาหลิวจือหลินหายใจติดขัดด้วยอาการตื่นตร
หลิวจือหลินใจกระตุกอย่างรุนแรง เรือนกายของนางชาวาบเมื่อเห็นเปลวเพลิงลุกโชติช่วงเป็นวงกว้างล้อมรอบเจียงซื่อจวินต่อหน้าต่อตา"ท่านโหว!" ช่ายจินซินพยายามบุกทะลวงเพื่อฝ่าอัคคีร้อนเข้าช่วยนายของตน ทว่ายังมิอาจแทรกกายเข้าไปได้เสียงทุ้มตะเบ็งลั่น "ถานอี้! เจ้ามันช่างเนรคุณจริงแท้"ทุกคนต่างผินหน้าตามต้นเสียงโดยพร้อมเพรียง รัชทายาทนำกองกำลังทหารนับพันนายเข้ามาสมทบแล้ว หลิวจือหลินเล็งเห็นจังหวะเหมาะ นัยน์ตากลมโตสำรวจหาสิ่งทุ่นแรง ในที่สุดก็พบม้าตัวโตยืนจังก้าโดดเดี่ยวริมสระน้ำ บริเวณเดียวกันมีผ้าคลุมไหล่ผืนหนาหล่นเกลื่อนพื้นเอาน่าจือหลิน... แม้จะไม่เคยกินเนื้อหมู แต่ก็เคยเห็นหมูวิ่ง [1] มิใช่หรือร่างระหงวิ่งถลาค้อมกายหยิบผ้าคลุมขึ้นทันควัน จากนั้นตวัดจุ่มลงน้ำจนเปียกชุ่ม หลิวจือหลินใช้มันห่อกายตนเอาไว้ แล้วจึงกระโจนขึ้นบนหลังม้าด้วยความรวดเร็วเจียงซื่อจวินซึ่งจับตามองหลิวจือหลินผ่านกลุ่มควันสีหม่น เขาเห็นรำไรว่านางกำลังวิ่งวุ่นกระทำบางสิ่ง
หลิวจือหลินหมุนเคว้งเป็นลูกข่าง นัยน์ตากลมโตจดจ้องอีกฝ่ายด้วยอาการตะลึงงัน"คุณชายฟ่าน! นะ...นี่ท่านมาได้อย่างไร"ฟ่านเทียนเผยประคองสตรีร่างระหงไว้ในอ้อมแขน ส่วนมืออีกด้านกำลังฟาดฟันกับศัตรูอย่างไม่ย่อหย่อน "ไว้ข้าจะบอกอีกครา" เขาโน้มกระซิบ "กุ้ยเฟยและฮองเฮาเล่า"หลิวจือหลินกระซิบตอบ "หลบในที่ปลอดภัยแล้วเจ้าค่ะ"ชายหนุ่มพยักหน้าด้วยความเข้าใจ หลิวจือหลินรู้สึกว่ายามนี้นางกำลังเป็นภาระของเขา เมื่อเพ่งสายตามองไปด้านนอกธรณีทางเข้า นางก็พบกับองครักษ์ทั้งสองของเจียงซื่อจวิน พวกเขามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อใดเฉิงซือหานซึ่งได้รับหน้าที่ติดตามดูแลหลิวจือหลิน ต้านศึกอยู่ด้านนอกมาโดยตลอด ทว่าสองหมัดยากจะสู้สี่มือ [1] เพราะกองกำลังทหารด้านหน้ามีเพียงหยิบมือ ส่งผลให้เขายื้อเวลาได้ไม่นาน ภายในห้องก็ถูกรุกล้ำเสียแล้ว"คุณชายฟ่าน ท่านปล่อยข้าเถิด ข้าดูแลตัวเองได้""ได้ แต่ฮูหยินอย่าบุ่มบ่ามเช่นเมื่อครู่อีก ข้าตกใจแทบแย่ เช่นนั้นข้าจะให้ผู้ติดตามของข้าพาท่านไปหลบที่ปลอดภัย"นางไม่อยากเป็น
เสียงโลหะกระทบกันพร้อมเสียงกรีดร้องสะท้อนเข้ามาจากนอกตำหนักฮองเฮาและหลิวจือหลินดีดกายยืนขึ้นโดยพร้อมเพรียงอย่าบอกเชียวที่เขาห้ามข้าไม่ให้เข้าวังเพราะเรื่องนี้"ฮองเฮาเพคะ ในนี้มีห้องลับหรือไม่"หลิวจือหลินเอ่ยถามด้วยความเร่งร้อน พลางประคองสตรีข้างกายเอาไว้ ทว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในอาการตื่นตะลึง ฮองเฮาทำเพียงพยักหน้าเท่านั้น นางกำนัลคนสนิทของฮองเฮาจึงโพล่งขึ้น"มีเจ้าค่ะฮูหยิน"หลิวจือหลินพยักหน้าเข้าใจ นางเคยดูซีรีส์มาบ้าง โดยปกติในตำหนักเชื้อพระวงศ์มักมีห้องลับด้านในแต่ทว่าพื้นที่คงมิได้กว้างขวางนักเพราะในนี้มีคนอยู่ไม่น้อยเลย มิรอให้นางกำนัลต้องนำทางว่าที่ใด หลิวจือหลินก็มุ่งหน้าไปยังองค์พระขนาดย่อมเสียก่อน นางจูงมือฮองเฮาและกุ้ยเฟยให้เดินตาม"ตรงนี้ใช่หรือไม่" หลิวจือหลินเอ่ยถามนางกำนัล"เจ้าค่ะ"ฮองเฮางุนงง "เจ้ารู้ได้อย่างไร มิใช่ว่าเพิ่งเข้าห้องนี้ครั้งแรกหรือ""หม่อมฉันเดาเพคะ ดูจากรูปแบบการก่อสร้างแล้ว คงต้องใช่แน่นอน"ฮองเฮาพยักหน้า "เช่นนี้เอง เจ้าช่างฉลาดล้ำดีจ
"ขอบพระทัยกุ้ยเฟยเพคะ เอ่อ...หม่อมฉันมีข้อสงสัยบางอย่าง มิทราบสามารถเอ่ยถามได้หรือไม่"กุ้ยเฟยตอบยิ้ม ๆ "เอาสิ เจ้าสงสัยสิ่งใดหรือ"หลิวจือหลินเริ่มประหม่า "คือว่า...หยกมณีเพลิงนั่น...""อ่า...หยกนี่หรือ" ซินกุ้ยเฟยยกเครื่องประดับอันงดงามซึ่งแขวนอยู่บนลำคอพลิกมองซ้ายขวา จากนั้นแหงนหน้าประสานสายตากับหลิวจือหลิน เอ่ยต่อว่า "ฝ่าบาทประทานให้ข้าและฮองเฮาคนละอันอย่างไรเล่า"หลิวจือหลินใจเต้นไม่เป็นส่ำ ฟ่านเทียนเผยคงมิได้นำหยกมณีเพลิงปลอมให้ฮองเฮาใช่หรือไม่ แต่นางสำรวจดูแล้ว หยกชิ้นนั้นเป็นของแท้แน่นอนคุณชายฟ่านคงมิได้หาของก็อบเกรดเอมาลวงหลอกใช่ไหมเนี่ยดูเหมือนซินกุ้ยเฟยและฮองเฮารู้ทันความคิดหลิวจือหลินเข้าเสียแล้ว สตรีวัยกลางคนจูงมือหลิวจือหลินให้ยอบกายนั่งขนาบข้างตน"เอ่อ...ฮองเฮาเพคะ หม่อมฉันไม่อาจเอื้อม...""เด็กดี นั่งลงเถิด"หลิวจือหลินเหลียวมองซินกุ้ยเฟยซึ่งนั่งถัดลงไปหนึ่งระดับ อีกฝ่ายยิ้มตอบซ้ำยังพยักหน้าบางเบา นางจึงวางใจหย่อนกายลงตามประสงค์ จากนั้นนางกำนัลก็นำฉลองพระองค์ที่หลิวจือหลินตัดเย
ตั้งแต่เจียงซื่อจวินพูดคุยกับหลิวจือหลินวันนั้น เขาก็ไม่โผล่หน้ามายังเรือนตะวันออกเลย ดูเหมือนต้องใช้คำว่าไม่กลับจวนเลยเสียมากกว่า ดูเหมือนงานของเขาหนนี้คงยุ่งจริงจัง หลิวจือหลินนั่งเหม่อมองหยกในมือตาละห้อย"ตาทึ่ม ไม่โผล่หน้ามาเลย ไหนบอกจะพาข้าไปเข้าเฝ้าฮองเฮาอย่างไรเล่า แล้วช่วงนี้หายไปไหนกัน...เฮ้อ"ปี้อี๋ "ฮูหยิน คิดถึงท่านโหวหรือเจ้าคะ"หลิวจือหลินอึกอัก "ซะ...ซี้ซั้ว ใครคิดถึงเขา ข้าอยากไปเข้าเฝ้าฮองเฮาต่างหาก"แม้ปากเอ่ยปฏิเสธทว่าจิตใจของนางกลับระส่ำระสายอย่างยิ่งยวด เขาไม่ว่างกระทั่งโผล่มาหานางสักเสี้ยวเลยงั้นหรือ หลิวจือหลินพยายามสลัดความคิดฟุ้งซ่านนั้นทิ้งไปโหวเผด็จการนั่นไม่อยู่ก็ดีแล้วนี่ จะได้ไม่ต้องมีใครมาบงการหรือบีบบังคับ ซ้ำยังไม่ต้องเจอหน้าที่แสนเกลียดชังนั่นด้วยหลิวจือหลินสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด "ปี้อี๋ เจียวเจียว เตรียมรถม้า""ฮูหยินจะไปที่ใดหรือเจ้าคะ" เจียวเจียวเอ่ยถามด้วยความฉงน"ข้าอยากไปเข้าเฝ้าฮองเฮา ข้าทำอาภรณ์ชุดใหม่ขึ้นมา ต้องการถวายฮองเฮาเพื่อเป็นของกำนัล ยามนั้นชุลมุนเกิน
"นั่นเจ้ากำลังทำสิ่งใด" เสียงทุ้มโพล่งจากทางเบื้องหลังหลิวจือหลินสะดุ้งโหยง หลายวันแล้วที่นางนั่ง ๆ นอน ๆ จนรู้สึกเบื่อหน่าย เหตุใดนางมักล้มหมอนนอนเสื่ออยู่เรื่อย หายจากอาการโน้นก็มีเรื่องร้ายแทรกซ้อนเข้ามาไม่หยุดหย่อน"ท่านโหว ข้าเพียงหาอะไรทำเล็กน้อยเท่านั้น ช่วงนี้ร้านฟ่านอินก็ไม่ให้ข้าเฉียดเข้าใกล้ เพราะคุณชายฟ่านเกรงว่าข้าจะทำงานหนัก กระทั่งข้าอยู่เรือนท่านก็ยังจะห้ามข้าไม่ให้ทำอะไรอีกคนหรือ"เจียงซื่อจวินถอนหายใจเบา นางเอาแต่กล่าวถึงบุรุษอื่นอีกแล้ว "ข้ามิได้ห้าม เจ้ายังไม่หายดีจะหักโหมได้อย่างไร"หลิวจือหลินคลี่ยิ้มให้เขา "ข้าหายดีแล้วเจ้าค่ะ ตั้งแต่งานพิธีวันนั้น ข้ายังไม่เห็นฮองเฮาสวมฉลองพระองค์กระจะตาเลย ข้าอยากทำคอลเลคชั่นใหม่ไปถวายฮองเฮาเจ้าค่ะ""คอลเลคชั่นใหม่?" เจียงซื่อจวินเลิกคิ้ว ขบคิดไปพักหนึ่ง จากนั้นเอ่ยต่อ "ตื่นมากี่คราวาจาก็ยังประหลาด""ท่านโหวพาข้าไปเข้าเฝ้าฮองเฮาได้หรือไม่เจ้าคะ ข้ารับรองว่าจะไม่สร้างความเดือดร้อนให้ท่านต้องลำบากใจ" หลิวจือหลินเว้าวอน เปลือกตาบางกะพริบปริบเจียงซื่อจวินเห็นใบหน้าดั่งแมวน้อยขี้
ภายในคุกใต้ดินอันแสนสกปรกและอับชื้น ท่อนขาสูงยาวเยื้องย่างเนิบนาบ ขนาบข้างซ้ายขวาคือแสงรำไรจากเชิงเทียนที่คอยส่องสว่างเป็นแนวทอดยาว ใบหน้าหล่อเหลายามนี้แข็งกระด้างเยือกเย็นเต็มไปด้วยไอสังหารชายฉกรรจ์ที่ลักพาตัวโฮ่วถิงในงานพิธีวันนั้นถูกจับได้ทั้งหมด โชคยังดีที่พวกมันมิได้ปู้ยี่ปู้ยำสตรีแต่อย่างใด เพียงอุ้มไปทิ้งในพื้นที่เปลี่ยวร้าง สิ่งที่น่าตระหนกไปกว่านั้น บรรดาชายเหล่านี้หาใช่มืออาชีพอย่างที่คิด กระทั่งเค้นสอบถาม และทรมานเพียงใดก็มิยอมปริปากว่าผู้ใดคือคนบงการเบื้องหลัง ดูเหมือนจะเป็นผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่เสียด้วย หนำซ้ำยังซื้อตัวพวกเขาได้อย่างเฉียบขาดชายกำยำผู้หนึ่งถูกปลดลงจากขื่อ จากนั้นถูกจับแขนทั้งสองกางออกให้นอนหงายท้อง กระดาษแผ่นแรกวางโป๊ะลงบนใบหน้าคร้ามแดด น้ำสกปรกในถังไม้ถูกเทลงไปแช่มช้าซ่าาาาา...แค่ก แค่ก"จะบอกหรือไม่ ว่าใครส่งพวกเจ้ามา!"มีเพียงเสียงกระอักไอทว่าไร้คำตอบ นักโทษรายอื่น ๆ ต่างมองหน้ากันหลุกหลิก วิธีที่เขาใช้ทรมานนักโทษดูไม่น่ากลัว แท้จริงแล้วช่างเป็นการสอบปากคำอันแสนทรมานอย่างยิ่งยวด ชายที่นอนอยู่ถูกแผ่นกระดาษป