เมื่อราชครูโม่ชิงเหยียนหมุนกายเดินนำ หว่านชิงก็สาวเท้าอย่างสงบเสงี่ยมติดตามอยู่เบื้องหลัง สายตาไม่เหลือบมองซ้ายขวา ท่าทีเรียบร้อยดุจนักเรียนหญิงที่มุ่งหน้าสู่ห้องเรียนครั้งแรก แต่ใจนางกลับระริกระรี้ เหมือนนักล่าสาวผู้เลือกสนามประลองเสียเอง ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของหว่านชิง
ศาลาไม้ประจำการเรียนตั้งอยู่ใต้ต้นหลิวใหญ่ ร่มเงาเขียวขจีตกทอดลงบนพื้นศิลา ดอกเหมยโปรยกลีบเบาอยู่ปลายฟ้า เสียงลมพัดผ้าม่านกระจายกลิ่นน้ำชาบางจางในอากาศ
ภายในศาลา ผู้ที่นั่งอยู่ก่อนแล้วมีเพียงสองคนเท่านั้นก้รับสอนเฉพาะคนสำคัญสินะ หว่านชิงก็สำคัญเช่นนั้นที่นี่ก็ควรมีหว่านชิง
หยางหลินองค์รัชทายาทอายุน้อยตัวสูงโปร่งแต่ผอมบาง ร่างในชุดมังกรประจำรัชทายาทแต่งอย่างเรียบง่ายแต่พิถีพิถัน สีหน้าขาวซีดดั่งหยกต้องหมอก ยามสบตา หว่านชิงรู้สึกถึงความหวาดระแวงชัดเจนในแววตาคู่นั้น เหมือนลูกหมาป่าที่เคยถูกรังแกและยังไม่ลืมเลือนรสของคมเขี้ยว
ตกใจหรือ…คงนึกว่าวันนี้ข้ามาเพราะคิดจะแกล้งเล่นสนุกกับเจ้าอีกกระมัง หึ...ก็น่าระแวงอยู่นั่นล่ะ หว่านชิงหัวเราะในใจ
อีกหนึ่งร่างเบื้องขวา เยี่ยนอิงองค์หญิงรอง บุตรสาวคนแรกของฮองเฮานั่งอย่างสงบอยู่ริมเสา ดวงหน้างดงามลุ่มลึกน่าหลงใหลยิ่งกว่าสตรีในจอภาพยนตร์ ใบหน้ารูปไข่ ผิวพรรณนวลเนียนราวไข่มุก กระจับปากแดงสดไร้สีแต้ม เครื่องแต่งกายประณีตเยี่ยงหญิงงามวังหลวง มือขาวสะอาดกำลังร่างอักษรด้วยพู่กันทอง เส้นพู่กันเรียบสนิทไม่สะท้านแม้เสียงฝีเท้าจะดังใกล้เข้ามา นางไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง ไม่ไหวติง ไม่เอ่ยวาจา
‘สมกับที่เป็นสายเลือดของฮองเฮา...แค่ท่านั่งยังประหนึ่งภาพวาดในตำราศิลป์’
หว่านชิงคิดในใจอย่างขบขัน รีแอคฯของแต่ละคนนี่น่าสนใจจริงๆ สายตากวาดมองทั้งสองก่อนยิ้มบางๆ
‘คนหนึ่งคือรัชทายาทแห่งแคว้น อีกคนคือองค์หญิงที่เพียบพร้อมเสมือนเทพธิดา…’ นางถอนใจช้าๆ
‘นี่สินะ พวกเขารู้จักข้าในฐานองค์หญิงใหญ่’
หว่านชิงก้าวขึ้นศาลา สบตาชิงเหยียนเพียงครู่ก่อนจะเอียงกายไปนั่งที่ทางซ้ายของหยางหลิน โต๊ะร่างอักษรของหยางหลิน นำหน้าโต๊ะร่างอักษรขององค์หญิงทั้งสองไปหลายจึ้งด้วยความเป้นไท่จือสินะ หว่านชิงตั้งใจนั่งให้ห่างเยี่ยนอิงทิ้งระยะห่างจากเยี่ยนอิงพอเหมาะ ต้องกันไว้ก่อน ดีกว่าถูกใส่ร้ายว่ารังแกองค์หญิงรอง…นางวางตัวอย่างมีชั้นเชิง หางตายังยกขึ้นน้อยๆด้วยความแสนรู้
‘อยู่ใกล้รัชทายาทน้อยยังปลอดภัยกว่า อย่างน้อยก็มีคนเห็นว่าข้าไม่ได้ระรานใครก่อน’
หว่านชิงนั่งลงด้วยท่วงท่ากุลสตรีอย่างเรียบร้อย มือประสานหน้าตัก สายตาทอดมองเบื้องหน้าเหมือนลูกศิษย์ที่ตั้งใจเรียนหนังสือโดยแท้
แต่ในใจ...กลับเริ่มวางกระดานหมากเกมใหม่ ที่ศาลาแห่งการเรียนรู้เช่นนี้แหละเกมที่นางชำนาญยิ่งกว่าการต่อบทละครใดใด…
แต่ข้างกายนั่นหยางหลินที่กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย้นด้วยกิติศัพทืของงอค์หญิงใหญ่หว่านชิงที่โ่งดังที่สุดนวังหลวงจะไม่ให้เขากลัวได้อย่างไรนางยังจงใจมานั่งข้างหยางหลินให้ต้องเสียวสันหลังอีกด้วย
หว่านชิงเหลือบตามองน้องชายร่วมโลกที่น่ารักน่าเอ็นดูที่สุดตัวขาวปากแดงรูปร่างเก้งก้าง ก่อนจะยกมือขึ้นโอบที่ไหล่บางเหมือนไหล่ผู้หญิง
“ไม่ต้องกลัวๆๆข้าสช่วยเจ้าเรื่องการเรียนเองพี่สาวเก่งอยู่แล้วไ-ม่เข้าใจอะไรถามได้ ถามได้ไม่ต้องเกรงใจ”หยางหลินยิ้มแห้งๆกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่
ผ่านไปแค่3ชั่วโมง….
น่าเบื่อสมคำร่ำลือ หรืออาจจะเกินกว่าคำร่ำลือก็ว่าได้
หลี่หว่านชิงนั่งนิ่งในท่วงท่าอ่อนหวานเรียบร้อย เงยหน้ามองตำราสามอักษรบนโต๊ะเบื้องหน้า ริมฝีปากจิ้มลิ้มยกยิ้มบาง ๆ อย่างตั้งใจทำตัวให้ดู “ตั้งใจ” แต่เบื้องในนั้น...สมองล่องลอยไปถึงขนม น้ำชา และแท่นนอนนุ่มๆที่มีกลิ่นกำยานลอยหอมอยากจะเปิดปากหาวแต่กลัวว่าอาจารย์จะหาไว้ไร้มารยาท ทุกคนก็คงง่วงนอนแหละแต่ก็ทนฝืน
“…ผู้ที่รู้จักลำดับก่อนหลัง ย่อมไม่ล่วงเกินผู้หลักผู้ใหญ่..…”
เสียงของราชครูโม่ชิงเหยียนกังวาน สงบนิ่ง เสมือนบทกลอนจากฟ้าสวรรค์ แต่กับหว่านชิงแล้ว…เหมือนเสียงกล่อมให้หลับมากกว่า
ดวงตาคู่สวยเริ่มปรือ สะบัดหน้าขึ้นมาแล้วรีบจรดพู่กันลงกระดาษ สะกดคำว่า “คนดี” ไปสามแถว
‘ข้าจะเป็นองค์หญิงตัวอย่างของแคว้น…’ แล้วเงียบ…แอบหาวอีกหนึ่งฟอด
แม้ใจจะลอย ก็มิได้ว่างเปล่า หว่านชิงแอบเหลือบตามองไท่จือหยางหลินที่นั่งด้านข้าง เจ้ารัชทายาทน้อยนั้นแทบไม่มองข้าเลย สายตาระแวดระวังเช่นเคย เหมือนมีกำแพงสูงล้อมไว้ตลอดเวลา ส่วนองค์หญิงรองเยี่ยนอิงก็ยังดูสงบนิ่ง เขียนพู่กันเงียบ ๆ งดงามอย่างไร้ที่ติ ไม่เอ่ยวาจาด้วยแม้แต่คำเดียว
‘สรุป...รัชทายาทยังไม่ไว้ใจข้า องค์หญิงรองก็...ยังคงวางตัวสงบแบบไม่ให้ช่องให้ใครแตะต้องง่าย ๆ’
หว่านชิงถอนหายใจเบา ๆ พร้อมกับลากพู่กันตวัดเส้นสุดท้ายของบทเรียนลงกระดาษ
จบ5ชั่วโมงทรมานแล้วในที่สุด
พอราชครูชิงเหยียนลุกจากที่นั่ง หว่านชิงก็แทบจะลุกพรวดทันที นางเดินออกจากศาลาราวกับพายุเบา ๆ พัดผ่าน ใบหน้าสวยที่เคยยิ้มเรียบร้อยเมื่อครู่เริ่มเปลี่ยนเป็นใบหน้าง่วงนอนเต็มขั้น
“จะให้ข้ากลืนตำราอีกสักบท ข้าคงหลับไปกลางคาบแน่...”
เดินยังไม่พ้นต้นหลิวประจำศาลาก็เห็นร่างเล็กๆของซื่อซื่อสาวใช้คนสนิท นั่งหลับฟุบอยู่ตรงขอบทางเดิน พอหว่านชิงเดินมาถึงก็ยกมือแกล้งกระแอมนิดหนึ่ง
"อะแฮ่ม~"
“อ๊ะ! อง-องค์หญิงใหญ่! ข้าน้อยผิดไปแล้วเจ้าค่ะ!” ซื่อซื่อสะดุ้งสุดตัวลนลานคุกเข่าจนแทบจะฟุบลงไปใหม่ ใบหน้าเล็กซีดเผือดด้วยความตกใจ
“หลับอยู่ตรงนี้ทำไม? แล้วเจ้ากลัวอะไรข้าหนักหนาฮึ ข้าเคยฆ่าบิดา ด่ามารดาเจ้าหรือไร”
หว่านชิงเลิกคิ้ว ซื่อซื่อหน้าเหวอ ก็ยิ่งกว่านั้นเถอะก่อนนั้นไม่จิกผมก็ฟาดมือลงบนแก้มใสจนมีรอยแดงไม่เว้นแต่ละวันมาพักหลังนี่แหละที่หว่านชิงไม่เคยลงไม้ลงมือกับซื่อซื่อ
“ท่านแม่ทัพไป๋เหวินหลงมาแล้วเจ้าค่ะ! มานานแล้วด้วย แต่กระหม่อมไม่กล้าเข้าไปรายงาน เลยรออยู่ตรงนี้จน…หลับไป…”ส่งเสียงพูดรนลาน
“ห๊าาาา?! มาแล้วเหรอ?! แย่แล้วๆ”หว่านอิงรวบกระโปรงที่ยาวละข้อเท้าวิ่งหน้าเริ่ดไปยังตำหนักใหญ่ของฮ่องเต้
เสียงตะโกนของหว่านชิงดังสนั่นก้องศาลาราวกับระฆังยามศึก นางเบิกตากว้างเหมือนมีใครสาดน้ำเย็นใส่หน้าตอนเช้า“ไม่ได้การแล้ว! ข้าต้องไปหาเขา!”นางหมุนกายพรวดพราดกระโจนไปข้างหน้า กระโปรงลากระพื้นปลิวตามแรงก้าว ซื่อซื่อวิ่งตามแทบไม่ทัน ตะโกนด้วยความตกใจ“องค์หญิง! ระวังเจ้าค่ะ เดี๋ยวทรงจะล้มเจ้าค่ะ!”“แล้วเขาอยู่ไหน!” หว่านชิงหันมาถามทั้งที่ยังวิ่งอยู่“มะ...ไม่ทราบเจ้าค่ะ เห็นเพียงว่าท่านแม่ทัพก้าวเข้าวังมาแล้ว รีบเดินเหมือนจะมุ่งหน้าไปที่ใดสักแห่ง”หว่านชิงเบรกเท้าหยุดนิดหนึ่ง หันขวับ“ถ้าอย่างนั้น...เขาต้องไปหาท่านพ่อ!”พูดจบนางก็วิ่งต่อทันที เป้าหมายชัดเจน ตำหนักฮ่องเต้!นี่แหละคือโอกาสของหว่านชิงแล้ว เก็บแต้มๆๆ ฮ่าาาาาไปเก็บแต้มกับพระเอกก้านนนนนหว่านชิงยืนนิ่งอยู่หน้าประตูตำหนักเหมือนรูปสลัก แต่ภายในใจกลับร้อนรนยิ่งกว่าหม้อต้มน้ำในครัวหลวง ให้ตายเถอะ! มาแบบนี้ไม่บอกกล่าว จะให้ข้าทำหน้าอย่างไรให้ดูน่าเชื่อว่าไม่ได้ตั้งใจมาหาผู้ชายเฉยๆ …ดวงตากลมโตร้อนรนกลอกไปมา ก่อนจะกะพริบแป๊บๆ อย่างคิดอะไรออก “เอาละ! บ่อปลาคราฟนั่นแหละ ใช้เป็นข้ออ้างได้!กลบบ่อปลาคราฟให้หมดไม่อย่างนั้นหว่านชิงจะต้องตก
เมื่อราชครูโม่ชิงเหยียนหมุนกายเดินนำ หว่านชิงก็สาวเท้าอย่างสงบเสงี่ยมติดตามอยู่เบื้องหลัง สายตาไม่เหลือบมองซ้ายขวา ท่าทีเรียบร้อยดุจนักเรียนหญิงที่มุ่งหน้าสู่ห้องเรียนครั้งแรก แต่ใจนางกลับระริกระรี้ เหมือนนักล่าสาวผู้เลือกสนามประลองเสียเอง ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของหว่านชิงศาลาไม้ประจำการเรียนตั้งอยู่ใต้ต้นหลิวใหญ่ ร่มเงาเขียวขจีตกทอดลงบนพื้นศิลา ดอกเหมยโปรยกลีบเบาอยู่ปลายฟ้า เสียงลมพัดผ้าม่านกระจายกลิ่นน้ำชาบางจางในอากาศภายในศาลา ผู้ที่นั่งอยู่ก่อนแล้วมีเพียงสองคนเท่านั้นก้รับสอนเฉพาะคนสำคัญสินะ หว่านชิงก็สำคัญเช่นนั้นที่นี่ก็ควรมีหว่านชิงหยางหลินองค์รัชทายาทอายุน้อยตัวสูงโปร่งแต่ผอมบาง ร่างในชุดมังกรประจำรัชทายาทแต่งอย่างเรียบง่ายแต่พิถีพิถัน สีหน้าขาวซีดดั่งหยกต้องหมอก ยามสบตา หว่านชิงรู้สึกถึงความหวาดระแวงชัดเจนในแววตาคู่นั้น เหมือนลูกหมาป่าที่เคยถูกรังแกและยังไม่ลืมเลือนรสของคมเขี้ยวตกใจหรือ…คงนึกว่าวันนี้ข้ามาเพราะคิดจะแกล้งเล่นสนุกกับเจ้าอีกกระมัง หึ...ก็น่าระแวงอยู่นั่นล่ะ หว่านชิงหัวเราะในใจ อีกหนึ่งร่างเบื้องขวา เยี่ยนอิงองค์หญิงรอง บุตรสาวคนแรกของฮองเฮานั่งอย่างสงบอยู่
หลังจากเมื่อคืนวางแผนเปลี่ยนเส้นเรื่องอย่างลับๆ หลี่หว่านชิงก็ไม่ปล่อยเวลาให้สูญเปล่าทันทีที่เช้าตรู่มาเยือน แสงแดดอ่อนโยนส่องลอดหน้าต่างเงาไม้โยกไหว หว่านชิงก็ตื่นมาแต่งกายอย่างประณีตชุดผ้าไหมสีขาวสะอาดปักลาย ทอเส้นเงินระยิบระยับเมื่อแสงกระทบ ผมดำยาวถูกรวบครึ่งศีรษะด้วยปิ่นหยกประดับดอกเหมย ดวงหน้าแต่งแต้มบางเบาด้วยสีชมพูระเรื่อ ริมฝีปากชมพูอย่างธรรมชาติ ทุกองค์ประกอบบอกถึงความสุภาพนุ่มนวลขององค์หญิงใหญ่...เวอร์ชันเรียบร้อย (จอมปลอม) 【ภาพลักษณ์ใหม่: ผ่าน…10/100】‘นั้นเรียกผ่านเรอะ’"ซื่อซื่อ เจ้ามานี่สิ" หว่านชิงหันมากล่าวเรียบๆ ขณะสวมกำไลหยก"เพคะองค์หญิง?""เจ้าไปจับตาดูไว้เลยว่าเมื่อไรแม่ทัพไป๋เหวินหลงจะเข้าวัง ข้าต้องรู้ทันทีที่เขาเหยียบลานพระราชวัง""เจ้าค่ะ" ซื่อซื่อรีบก้มหัวแล้วหายตัวไปอย่างว่องไวหลี่หว่านชิงยิ้มมุมปาก เดินออกจากตำหนักอย่างมั่นใจ เพื่อไปยังสถานที่เรียนของเหล่าราชนิกุล ตำหนักเหวินเซียนที่ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของวังหลวง ท่ามกลางสวนไม้ใหญ่ แทรกเสียงนกร้องแว่วไกลกับกลิ่นดอกไม้หอมอ่อนๆ ลมพัดโชยเอื่อยพาให้เงาไม้ลู่ไหว ดูสงบ เย็น และร่มรื่น ราวกับถูกออกแบบมาเพื่
เมื่อขบวนของฮ่องเต้เสด็จกลับไปแล้ว บรรยากาศก็สงบลงทันใด แน่นอนว่าความสงบของภายนอก มิอาจปิดบังเสียงจากภายในได้【ติ๊ง! แต้มโน้มน้าวฮ่องเต้สำเร็จ +5 แต้ม】เสียงระบบดังขึ้นในหัว พร้อมโผล่เป็นกล่องข้อความโปร่งใสลอยเคว้งเคว้งอยู่กลางสมอง หลี่หว่านชิงขมวดคิ้วในใจ‘+5 แต้ม? น้อยไปป่ะ นี่ฉันแสดงเกือบลืมหายใจนะ!’【...อย่าเยอะ ระบบใจดีให้แต้มทดลองเฉยๆ จริงๆ ฮ่องเต้เชื่อเจ้าทุกคำพูดอยู่แล้ว ควรจะได้ +0 ด้วยซ้ำ นี่ทดสอบระบบเฉย ๆ ทดสอบ 1 2 3 ทดสอบไมค์ 1 2 3】‘เหอะ...แค่บอกว่าอยากลองเทสต์ก็เทสต์กันงี้เลย?’ 【แล้วทำไมต้องยุ่งยากห้ามไม่ให้ราชครูโม่ชิงเหยียนมาสอนในห้องล่ะ】‘แล้วถามทำไมอีกล่ะ ว่าทำไมฉันถึงไม่ยอมให้เขามาสอนในห้อง?’ หลี่หว่านชิงส่งเสียงในใจปึงปัง【ระบบถาม เพราะอยากรู้ว่าคิดเองหรือฟลุ๊ก】【คำตอบผ่าน: ตรวจพบเหตุผลมีตรรกะชัดเจน】‘ห๊ะถามเองตอบเองหรอ ฉันยังไม่ได้ตอบเลยนะ รวนป่าวเนี้ย’【พึ่งคิดเองได้】【เหตุผล: ไม่อยากทำให้ราชครูโม่รำคาญ = ลดความเกลียดชัง = ไม่เป็นศัตรู】【ระดับแผนการ: ฉลาดเฉียบ】【แต้มพิเศษสำหรับการวางแผนล่วงหน้า +10】ปาหัวใจโฮโลแกรมใส่หลี่หว่านชิงหนึ่งดอกฟรุ้งฟริ้ง หว่านชิงตกใจสุ
ประตูห้องถูกเปิดออกพร้อมขบวนขันทีและนางกำนัลยาวเหยียด ที่นำขบวนมาคือหัวหน้าขันทีเฒ่าผู้หนึ่งชื่อว่า "จื่อกง" ชายชราในอาภรณ์สีสุภาพผู้มีใบหน้าแววตาเก๋าเกมและปากไวระดับตำนานไม่ผิดแน่หากตามบทที่หลี่หว่านชิงเคยปะทะคารมมาอีกทั้งขันทีผู้นี้ยังมีไฝติดที่ริมฝีปากเม็ดใหญ่โตมโหฬารตามหลังเขาคือ ฮ่องเต้ "หลี่เซวียนอี้" ฮ่องเต้ผู้มีชื่อเสียงเรื่องการสงคราม รบจนเป็นฮ่องเต้ไร้พ่าย แต่กลายเป็นพ่อที่อ่อนยวบเมื่ออยู่ต่อหน้าลูกสาวคนโต"หลี่หว่านชิง! ลูกพ่อออออออ" ฮ่องเต้โผเข้าหาด้วยสีหน้ากระวนกระวาย ท่าทีเคร่งขรึมตามตำราจักรพรรดิหายวับ เหลือไว้แต่สีหน้าร้อนรนเหมือนพ่อบ้านธรรมดาดวงตายิ่งอ่อนโยนยิ่งนัก"พ่อได้ข่าวว่าเจ้าล้มป่วย แล้วจู่ ๆ ก็ส่งคนไปบอกว่าจะไปเรียนหนังสือ! เจ้าตื่นเช้าได้! เจ้าลุกจากเตียงได้! บอกพ่อมาเถอะลูก เป็นอะไรรึเปล่า! ฝืนรึเปล่า!ไหวหรือเปล่า เจ้าป่วยไข้หรือหัวไปกระแทกที่ไหนมาหรือเปล่าไหนให้พ่อดูหัวของเจ้ามีรอยบาดแผลไหม"จับตัวหลี่หว่านชิงมาพลิกซ้ายขวาหมุนรอบตัวและวิ่งวนดูรอบๆ ศีรษะของหลี่หว่านชิงค้นหาบาดแผลที่ตามมาด้วยนั่นคือขันทีอีกสิบคน ขนห่อหยก ห่อสมุนไพร กระติกยา และกระถางกำยานรั
แสงแดดยามสายสาดผ่านหน้าต่างลงบนโต๊ะไม้กลมกลางห้อง กลิ่นหมึกจาง ๆ ลอยคละคลุ้งกับกลิ่นชาจางๆ ที่ยังอุ่นอยู่ในถ้วย เสียงปลายพู่กันขูดกระดาษเบา ๆ ดังเป็นระยะ คล้ายเสียงหัวเราะของคนมีแผนร้ายในใจหลี่หว่านชิงคนใหม่ นั่งขัดสมาธิบนเบาะนุ่มอย่างสบายใจ มือข้างหนึ่งคีบขนมชิ้นเล็กเข้าปาก ส่วนอีกข้างก็วาดอะไรบางอย่างลงกระดาษขาวด้วยความตั้งใจบนแผ่นกระดาษ แผนผังน่ารักแบบตัวการ์ตูนเริ่มเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนวงกลมแรกมีหน้าคนหัวฟูๆ ทำหน้าตาโง่งมน้ำมูกและน้ำลายไหล อยู่ในชุดเจ้าหญิงสีชมพูบานเย็น ลูกศรชี้ลงด้านล่าง เขียนว่า“หลี่หว่านชิงต้นฉบับ: สมองมีขนาดเดียวกับเม็ดบัว ขี้อวด ชอบหาเรื่องนางเอก ไม่รู้จักวางแผน ไม่ประมาณตน มองคนไม่ออกไม่รู้ว่าใครรักใครเกลียด สุดท้ายโดนวางยา ตบตี ถูกถอดยศ และสิ้นใจตายในบ่อปลาคาร์ฟ”ถัดไปทางขวาอีกมุม มีภาพหลี่หว่านชิงเวอร์ชันใหม่ ใส่แว่น วาดหน้าตาจริงจัง มือถือพัดจดบันทึก หัวกลม ๆ มีประกายสมองแปะไว้เหมือนมีไฟสว่างวาบบนหัว ใต้ภาพเขียนว่า“เวอร์ชันใหม่ : หลี่หว่านชิง 2.0 แสร้งสำนึกผิด ใฝ่เรียนใฝ่รู้ ตีสนิทเป้าหมาย สะสมแต้มปั่น กำกับโชคชะตาด้วยมือเราเอง! และที่สำคัญฉลาดเป็นกร
เสียงฝ่ามือกระทบใบหน้าอย่างแรงดัง เพี๊ยะ!เธอล้มลงไปกองกับพื้น หัวกระแทกมุมโต๊ะปลายเตียงจนมึนงง ทว่าเธอก็ยังคงฝืนลุกขึ้นตามสคริปต์"เจ้ามันก็แค่คนโง่ที่ให้ข้าหลอกใช้ก็เท่านั้น"น้ำเสียงเยาะหยันของนางเอกในเรื่องทำเอาหัวใจเธอสั่นระริก ไม่ใช่เพราะเจ็บปวด แต่เพราะหัวใจขอเธอกำลังเต้นผิดจังหวะมันผิดจังหวะจริงๆ เสียแล้วไม่ไหวแล้ว... หัวใจมัน... เจ็บแปลบ..."คัท! ตรงนั้นยังไม่พออารมณ์นะครับ ตาอย่ากะพริบเยอะเกิน" เสียงผู้กำกับดังขึ้น แต่เธอกลับได้ยินเสียงนั้นแผ่วเบาลงเรื่อยๆๆๆ และเสียงลมหายใจของตัวเองที่แผ่วลงเรื่อยๆในวินาทีสุดท้ายก่อนที่สติจะดับวูบ ภาพที่เธอเห็นคือฉากบัลลังก์ทองที่มีม่านโปร่งล้อมรอบ......มันคือฉากที่เธอถ่ายไปเมื่อเดือนก่อน กับบท "นางร้ายผู้โง่เขลา" ในละครย้อนยุคฟอร์มยักษ์ที่ทำเธอแทบบ้าเพราะต้องฝึกทั้งการเดินให้กิริยาดี ทั้งบทพูดโบราณ แถมยังต้องโดนตบอีกสารพัดเธอตายแล้วแน่ ๆ ...กลิ่นหอมอ่อนของไม้จันทน์ลอยคลุ้งอยู่ในอากาศผสานกับความรู้สึกเย็นชื้นบนต้นคอ แต่พอลืมตาขึ้นอีกครั้ง กลับพบว่าตัวเองนั่งอยู่บนตั่งไม้แกะสลักลวดลายเมฆมงคล ชุดที่สวมเป็นแพรไหมชั้นดีมีลวดลายหงส์น้อยประดั