“หม่อมฉัน…”
“อย่าดื้อ เจ้าก็ยังเป็นเจ้า ไม่ค่อยเชื่อฟังข้าอยู่ร่ำไป มานี่”
เขาจับแขนนางและพาเดินเข้าไปยังห้องด้านในเพื่อทำแผลให้ กล่องยาถูกนำมาวางโดยจงลี่ที่รู้หน้าที่ เขาจึงได้แกะผ้าที่เขาผูกเอาไว้ออกและเริ่มทาวยาให้นาง ใบหน้าน้อยๆนั่นขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เจ็บหรือ ข้าทำแรงไปงั้นหรือ”
“ปละ…เปล่าเพคะ หม่อมฉันทนได้”
“ท่านอ๋องเพคะ คุณหนู เกี๊ยวพร้อมแล้วเพคะ”
“เสร็จแล้ว ไปกันเถอะ เจ้าลุกไหวหรือไม่”
“ไหวเพคะ หม่อมฉันเพียงแค่มีดบาดนิดเดียวเองนะเพคะเสด็จอา”
“อ้อ เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”
เยว่ซินทำหน้าไม่ถูก ปกติแล้วก่อนหน้านี้เสด็จอาเคยเป็นเช่นนี้กับนางด้วยงั้นหรือ แต่นั่นจะนับเป็นอะไรได้ นางมาอาศัยที่ตำหนักอ๋องเพียงหนึ่งปีก็ถูกส่งไปที่สำนักศึกษา และช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่ท่านอ๋องไม่ค่อยว่างจากราชกิจในวังเลย
เวลาพบหน้ากันก็พูดคุยและถกแค่การบ้านที่อาจารย์ที่เขาจัดมาสอนนางเท่านั้น เรื่องอื่นๆแทบจะไม่ได้คุยกันเลย
“นี่คือเกี๊ยวที่เจ้าพูดสินะ ข้ากินได้เลยใช่หรือไม่”
“เพคะ เสด็จอาลองชิมดูเพคะ”
เขาตักเกี๊ยวที่พอดีคำขึ้นมาพร้อมกับชิมตามที่นางบอก สัมผัสของแผ่นเกี๊ยวที่พอดีคำเข้ากับน้ำต้มกระดูกหมอที่เคี่ยวจนได้ที่ มีกลิ่นของหมูแดงเล็กน้อยและกลิ่นของกระเทียมที่เจียวสดใหม่
เมื่อเข้าปากแล้วรู้สึกว่าอร่อยยิ่งนัก ไส้เกี๊ยวที่ถูกปรุงมาอย่างพอดีนี่ยิ่งทำให้รสชาติของเกี๊ยวนั้นอร่อยมากขึ้น
“อร่อย…อร่อยมาก”
“เช่นนั้นก็เสวยมากๆนะเพคะ ยังมีอีกเพคะ”
“ได้สิ”
ในมื้อนั้นท่านอ๋องเสวยเกี๊ยวนั้นไปทั้งสิ้นสามชามเพราะความอร่อย นานแล้วที่เขาไม่ได้กินอาหารอย่างเต็มมื้อเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ต้องออกศึกด้านนอก เสบียงอาหารที่มีอยู่อย่างจำกัดทำให้พวกเขาต้องกินอยู่อย่างลำบากในสนามรบ แต่บัดนี้สงครามสิ้นสุดแล้ว ชาวบ้านกลับมาเพาะปลูกค้าขายได้เกือบเป็นปกติสุขแล้ว
“อร่อย เจ้ากินแบบนี้ประจำหรือที่สำนักศึกษา”
“ยังมีอาหารหลายอย่างเพคะ นอกจากเกี๊ยวนี่ ก็เป็นพวกซาลาเปาไส้ผัก ผัดผัก เห็ดนึ่งซีอิ๊ว”
“ฟังแล้วน่ากินหลายอย่าง พวกเจ้าปลูกผักกันเองด้วยงั้นหรือ”
“ใช่เพคะ ทุกๆต้นเดือนจะมีอาจารย์บางท่านลงเขาไปเพื่อซื้อเมล็ดพันธุ์ขึ้นมา พวกเราจะช่วยกันปลูกผักบางอย่างกินกันเอง ส่วนเนื้อสัตว์จะมีบ้างประปราย”
“เจ้าคงลำบากน่าดูสินะ”
“ไม่เลยเพคะ ส่วนใหญ่แล้วก็แบ่งหน้าที่กันทำ ศิษย์พี่หลายๆคนก็ช่วยดูแลน้องๆดีมากเพคะ”
“ศิษย์พี่งั้นหรือ”
“เพคะ”
เขาขมวดคิ้วเป็นเชิงถาม เรื่องของศิษย์คนอื่นๆเขาไม่เคยเขียนไปสอบถามเลยนอกจากความเป็นอยู่ของนางและปัญหาที่จะพบ
แต่อาจารย์ทุกคนล้วนแต่บอกมาคล้ายๆกันหมดว่านางเป็นคนเรียบง่ายเข้ากับคนอื่นได้เป็นอย่างดีและขยันฝึกและท่องตำรา
“ศิษย์พี่ของเจ้า หรือว่าสหายนี่..เป็นสตรีหรือว่าบุรุษ”
“มีทั้งสตรีและบุรุษเลยเพคะ”
“บุรุษด้วยงั้นหรือ อย่างไรกันไม่เห็นเจ้าเคยเล่าให้ข้าฟังเลย!!”
เยว่ซินตกใจ นางก็เพียงพูดไปเพราะเขาถาม แต่ใบหน้าของท่านอ๋องกลับดูเคร่งเครียดอย่างที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน นางพึ่งสังเกตในตอนนี้เองว่าเขาแตกต่างจากเมื่อสี่ปีก่อนอย่างมาก ทั้งใบหน้าที่คมคายมากขึ้นและยังดูเป็นบุรุษหนุ่มเต็มตัว ดูไม่เหมือนอ๋องหนุ่มอายุน้อยในความทรงจำของนางเมื่อสี่ปีก่อน
“ว่าอย่างไรเล่าเยว่ซิน ข้าถามเจ้าอยู่นะ”
“เพคะ เสด็จอาถามว่าอย่างไรนะเพคะ”
“ศิษย์พี่ที่เจ้าพูดถึงนั่น ชื่อว่าอะไร”
“อ้อ ศิษย์พี่ฟู่หย่งเล่อเพคะ”
“ฟู่ สกุลฟู่ที่เป็นขุนนางในเฉินโจวงั้นหรือ”
“ใช่เพคะ อีกคนก็ลี่หลานเฟิน บุตรีของท่านมหาบัณฑิตลี่ของเฉินโจว”
“อ้อ ฟู่หย่งเล่อ….”
“เสด็จอา ถามด้วยเหตุใดหรือเพคะ”
“อ้อ เปล่าๆ ไม่มีอะไร เจ้ากลับมาแล้วทั้งที และตอนนี้ก็ไม่มีเหตุการณ์อันใดแล้ว ข้าคิดว่าควรจะต้องจัดงานเลี้ยงต้อนรับเจ้าเสียหน่อย พร้อมกับเชิญสหายเจ้าในเฉินโจวมาร่วมด้วย เจ้าเห็นว่าอย่างไร”
“นั่น..มันจะไม่สิ้นเปลืองไปหรอกหรือเพคะ หม่อมฉันมิได้สำคัญอะไรขนาดนั้น”
“สำคัญสิ!!”
เสียงที่ดังขึ้นทำเอาคนฟังตกใจ แม้แต่คนที่พูดก็ตกใจด้วยเช่นกัน
“ข้าหมายถึง…เจ้าจากไปตั้งสี่ปี กลับมาพร้อมกับความสงบสุขของบ้านเมือง เช่นนี้จะไม่สำคัญอย่างไรกันเล่า ใช่หรือไม่ ข้าเองก็จะถือโอกาสนี้จัดงานเลี้ยงให้กับเหล่ากองทัพ ทหารทั้งหลายที่ร่วมสู้รบกับข้าในศึกครั้งนี้ด้วยเช่นกัน”
“เช่นนั้น ก็คงต้องแล้วแต่เสด็จอาเถิดเพคะ”
“ดี…เช่นนั้น…”
ไม่ทันได้เอ่ยจบ จงลี่เดินเข้ามาพร้อมกับข่าวใหม่
“ทูลท่านอ๋อง คุณหนูซ่งมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
หลันเยว่ซินจำชื่อนี้ได้ดี ซ่งเหมยลี่ สี่ปีที่แล้วก็เป็นนางที่แนะนำท่านอ๋องส่งเยว่ซินออกจากตำหนักด้วยการส่งไปเรียนที่สำนักศึกษา มาครั้งนี้เมื่อท่านอ๋องกลับมาถึงตำหนัก นางก็มาเยือนในเวลาอันรวดเร็ว เยว่ซินลุกขึ้นยืนพร้อมกับสีหน้าที่ตกใจของท่านอ๋องที่รีบคว้าแขนของนางเอาไว้
“เจ้าจะไปที่ใดอีก”
“เสด็จอามีแขก หม่อมฉันขอตัวก่อน”
“ไม่ใช่แขกอะไรที่ไหนหรอก นางคงแค่มาเพราะรู้ข่าวว่าเจ้ากลับมากระมัง”
“เสด็จอาเพคะ หม่อมฉันกลับมาที่ตำหนักนี้ร่วมเดือนแล้วเพคะ มิได้มีแขกอื่นมาพบ ครั้งนี้คิดว่านางคงมาเพราะทราบข่าวของเสด็จอามากกว่าเพคะ”
ท่านอ๋องหันไปมองจงลี่ที่รู้ดีแต่ไม่พูด เขาปล่อยมือจากเยว่ซิน ซ่งเหมยลี่เป็นบุตรของเจ้ากรมขุนนางซึ่งเขามีความสำคัญในการช่วยจัดการและระเบียบในราชสำนักเฉินโจว เขาจึงต้องไว้หน้า
“นางอยู่ที่ใดกันละ”
“รออยู่ที่ห้องโถงพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นก็ไปเถอะ”
เขาเดินออกมาพบกับซ่งเหมยลี่ ก่อนที่เขาจะออกรบก็ได้พบนางครั้งหนึ่ง ในตอนนั้นนางมาส่งเขาที่กองทัพหน้าเมือง ความรู้สึกของนางที่มีต่อเขานั้นชัดเจนและเขาเองก็พอมองออก เสียแต่ว่าเขากลับมิได้คิดอะไรกับนางเลย
“แม่นางซ่ง”
“ถวายบังคมท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันทราบข่าวว่าพระองค์จะเสด็จกลับถึงเฉินโจววันนี้จึงได้รีบมาต้อนรับ”
“อ่อ ไม่ต้องมากพิธี ข้าไม่ได้ต้องการให้จัดงานเอิกเกริกเท่าใดนักจึงได้มาเงียบๆ”
“ท่านพ่อแจ้งข่าวให้หม่อมฉันทราบเพคะ”
เขานึกเอาไว้แล้ว ตาเฒ่าสกุลซ่งนั่นอยากเกี่ยวดองกับสกุลอ๋อง จึงได้พยายามส่งบุตรสาวให้เข้าหาเขา ตอนนี้เมื่อผ่านเหตุการณ์หลายอย่าง จวินลู่หานในวันนี้เติบโตขึ้น จนรู้ความหลายๆอย่าง เขาพลาดเชื่อความคิดของซ่งเหมยลี่ ถึงได้ส่งหลันเยว่ซินไปเรียนที่สำหนักศึกษาถึงสี่ปี
“หม่อมฉันทราบว่าพระองค์ตลอดเวลาที่ออกศึกด้านนอกนั่นคงลำบากไม่น้อย หม่อมฉันจึงตุ๋นน้ำแกงโสมอย่างดีมาให้พระองค์เพคะ”
“ขอบใจแม่นางซ่งมาก เสียแต่ว่าวันนี้ข้ากินเกี๊ยวของเยว่ซินไปเสียหลายชาม คงไม่มีท้องเหลือให้กับน้ำแกงตุ๋นนี้ เอาเป็นว่าข้าขอบใจเจ้ามากก็แล้วกัน”
ชื่อที่ไม่เคยได้ยินมานานกว่าสี่ปีผุดขึ้นมาอีกครั้งในวันนี้ นางคิดว่าหลันเยว่ซินไปแล้วนางจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดท่านอ๋อง แต่ไม่เลย เขาไม่เคยเปิดโอกาสให้นางได้ทำเช่นนั้น อีกทั้งปีก่อนนี้เกิดสงคราม ท่านอ๋องจึงออกศึกตลอดทั้งเหนือใต้ มาพบกันอีกทีก็พบว่า ตัวเกะกะที่นางสู้ยุยงให้เขาส่งออกไป กลับมาแล้ว….
“พระองค์ทรงหมายถึง หลันเยว่ซิน..กลับมาแล้วงั้นหรือเพคะ”
เมี่ยวเข่ออ้ายนิ่งไป นางรู้สึกตกใจราวกับว่าไม่ใช่เรื่องจริง ลี่หยางจินผู้นั้น คนที่เอาแต่พูดหลักการมากมาย บัณฑิตที่พูดแต่สิ่งที่นางไม่เข้าใจ บอกรักนางงั้นหรือ นางตกใจอีกครั้งเมื่อเขากระชับกอดเข้ามาพร้อมกับใบหน้าที่วางที่ไหล่ของนาง“เข่ออ้าย ข้ารักท่านจริงๆ เรื่องนี้มิได้โกหก แม้ว่าสิ่งที่ข้าพูดกับท่านก่อนหน้านี้จะร้ายกาจ แต่ที่พูดเรื่องเจ้ากับหย่งเล่อ เพราะว่าข้า…หึงเจ้า ไม่อยากให้เจ้าอยู่ใกล้กับบุรุษอื่น”เข่ออ้ายทำตัวไม่ถูก ลี่หยางจินผู้นั้น บัณฑิตน่ารำคาญนั่นบอกว่ากำลังหึงนางงั้นหรือ นี่เขาป่วยจนเพี้ยนไปแล้วใช่หรือไม่“นี่ท่าน เพ้อเพราะพิษไข้งั้นหรือ”“เรื่องที่ข้าป่วยเป็นเรื่องโกหก แต่เรื่องความรู้สึกของข้าเป็นความจริง เจ้าอย่าผลักใสข้าอีกเลยนะเข่ออ้าย”“นี่พวกท่าน…รวมหัวกันหลอกข้างั้นหรือ”“มันจำเป็น หากว่าครั้งนี้ไม่อาจคุยกับเจ้า ข้าก็ไม่มีโอกาสแล้ว ดังนั้น…”“ดังนั้นพวกท่านจึงใช้เรื่องนี้มาล้อเล่นกับความรู้สึกข้า มาหลอกข้า ท่านมัน…อุ๊บ…อื้มมม”ลี่หยางจินผลักนางลงที่เตียงและจูบนางทันทีเพื่อให้นางหยุดโมโห หากว่าเขาปล่อยนางไป ให้พบนางอีกครั้งคงยากแล้ว แผนแรกพูดไปแล้ว เหลือแค่แผนที
วังหลวงแคว้นฮั่วซู“องค์หญิง เอ่อ…กระหม่อม…”ลี่หยางจินเดินตามเมี่ยวเข่ออ้ายเมื่อเขาเดินออกมาจากห้องทรงงานของฝ่าบาทและจะเดินกลับไปยังตำหนัก ตั้งแต่ที่ทุ่งหญ้าเมื่อวานนี้พอกลับมาที่วังหลวง พวกเขาก็ไม่พบนางอีกเลย….“ท่านทูตเจ้าคะ องค์หญิงให้ข้าน้อยเรียนว่าวันนี้นางไม่ค่อยสบาย จึงไม่อยากรับแขกเจ้าค่ะ ขอเชิญท่านทูตกลับไปก่อนเถิดเจ้าค่ะ”“แต่ว่า…”“พี่ใหญ่ ท่านไปหาเข่ออ้ายมาอีกแล้วงั้นหรือ เหตุใดจึงไม่รอทำตามแผนการของข้าก่อนเล่าเจ้าคะ”“แต่เวลาอีกแค่สองวัน ข้าเกรงว่านางจะไม่ให้โอกาสข้าอีกแล้ว”“เฮ้อ….เช่นนี้แผนของพวกข้าก็ล่มหมดสิเจ้าคะ”“แผน แผนอันใดกัน”“เช่นนี้นะเพคะ…..”ตำหนักองค์หญิง“พี่เยว่ซิน พี่หลานเฟิน พวกท่านมาแล้ว”“เข่ออ้าย เหตุใดเจ้าดูซูบเช่นนี้เล่า เจ้า…อดอาหารงั้นหรือ”“เปล่าเจ้าค่ะพี่เยว่ซิน ข้าเพียงแต่….”“อดนอน…นี่เข่ออ้าย เจ้าจะป่วยอีกคนไม่ได้นะ ให้พี่จอมอ่อนแอของข้าป่วยแค่คนเดียวก็พอ อุ่ย…”“หลานเฟิน ไหนเจ้ารับปากพี่ลี่แล้วอย่างไรว่าจะไม่…”เข่ออ้ายตกใจเมื่อได้ยินว่าลี่หยางจินล้มป่วย“เกิดสิ่งใดขึ้น พี่หยางจินป่วยงั้นหรือ เหตุใดไม่เห็นมีผู้ใดมาแจ้งข้าเลย”"เข่ออ้ายเจ้าใ
ลี่หยางจินยืนเฝ้ามองที่ทุ่งหญ้าว่างเปล่านั้นเป็นเวลาเกือบสองเค่อ เมื่อมองออกไปอีกทีก็เห็นว่าองค์หญิงขี่ม้ากลับมาพร้อมกับม้าอีกตัว น่าจะเป็นม้าของฟู่หย่งเล่อ แต่ไม่เห็นอีกสองคน “องค์หญิง แล้ว…”“ไม่พบ แต่ไม่ต้องห่วง พี่ฟู่ไม่หลงทางหรอก”“แต่ว่าหย่งเล่อไม่เคยมาที่นี่”“ข้าพาเขามาขี่ม้าสำรวจเมื่อวันก่อน เขาบอกว่าจะมาหาที่ให้พี่หลานเฟินหัดขี่ม้า”“องค์หญิงเสด็จมากับเขาตามลำพังงั้นหรือ!!”เข่ออ้ายหันไปมองเขาอย่างนึกตกใจ เมื่อนางลงจากม้าและดื่มน้ำพักเหนื่อย เขาเดินตรงมาถามนางอย่างใคร่รู้จนนางเริ่มตกใจ“ท่านเป็นอะไรไป ข้าก็แค่พาเขามาสำรวจทุ่งหญ้าเท่านั้น”“แต่ชายหญิงห้ามอยู่ด้วยกันตามลำพัง เหตุใดท่าน…อย่าว่าแต่อยู่ด้วยกันเลย นี่ท่านกล้าพาเขาออกมาสองต่อสองในที่เช่นนี้ เหตุใดท่านจึงไม่ทำตัวเหมือนสตรี….”“พอที!!”“เลิกเอาข้าไปเปรียบเทียบกับสตรีในดวงใจของท่าน ข้าก็เป็นคนเช่นนี้อยู่แล้ว และเรื่องที่ข้าจะไปไหนกับผู้ใดก็มิใช่กงการอะไรของท่าน ขอตัวก่อน”“เดี๋ยว องค์หญิง เหตุใดท่านออกมากับคุณชายฟู่ กระหม่อมจึงไม่ทราบเรื่องนี้”เขาเอื้อมมือไปจับนางไว้พร้อมกับดึงเข้ามาถาม เมี่ยวเข่ออ้ายตกใจเมื่อเขาดึง
ฟู่หย่งเล่อและหลานเฟินกลับมายังที่พักม้า เข่ออ้ายและหยางจินรอพวกเขาอยู่ที่นั่น องค์หญิงนั้นนั่งอยู่ห่างจากหยางจินคนละทางเมื่อสาวใช้ตะโกนบอกว่าพวกเขามาถึงแล้ว“องค์หญิงเพคะ แม่นางกับท่านรองแม่ทัพมาถึงแล้วเพคะ”เข่ออ้ายรีบวิ่งไปที่ม้าของหย่งเล่อเพื่อรอพวกเขา หยางจินที่ยืนมองนางอยู่กำลังจะพูด แต่เข่ออ้ายหันมามองเขาและเดินเลี่ยงไปอีกฝั่งของม้าเมื่อหลานเฟินถูกอุ้มลงมาจากหลังม้าแต่นางเหมือนกับเดินไม่ไหวจนหย่งเล่อตัดสินใจอุ้มนางเดินมาหาพวกเขา“พี่หลานเฟิน เหตุใดเป็นเช่นนี้เกิดอะไรขึ้น!!”“เข่ออ้าย คือว่าข้า…”หลานเฟินนั้นไม่กล้าตอบ ใครจะกล้าพูดว่าฟู่หย่งเล่อรังแกนางจนนางเดินไม่ไหวจนเขาต้องอุ้มนางนั่งม้ามาด้วยกันเช่นนี้ แต่ฟู่หย่งเล่อนั้นเก็บอาการได้ดีกว่านางมากนัก เขาเป็นผู้เอ่ยขึ้นมา“นางตกม้าน่ะ ข้าไปช่วยเอาไว้ทันแต่ขานางยังเจ็บอยู่ ช้าไปมากเพราะมัวแต่เรียกและตามหาม้าอยู่” (ม้าบอกโบ้ยความผิดมาที่ตรูเฉยเลย พวกเอ็งนั่นแหละ)“เช่นนั้น ท่านไปนั่งรถม้าดีหรือไม่”“ดีเหมือนกัน”“ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง หลานเฟินอยากจะขี่ม้า ให้กระหม่อมนั่งไปกับนางจะได้ช่วยสอนไปด้วย ไม่ต้องห่วงนะพี่ลี่”“เอ่อ น้
หลานเฟินมองเขาที่ถูกนางนอนทับอยู่จึงได้จะลุกขึ้นแต่เขาดึงนางเข้ามาพร้อมกับประกบปากจูบอย่างรวดเร็วและผลักนางลงไปอยู่ด้านล่างแทนสายคาดเอวถูกปลดออกไปจนได้ด้วยมือเขาที่ดึงออกมา มือหนาเริ่มรุกล้ำไปที่ด้านในปกเสื้อผ่านชั้นในเข้าไป นางรู้ว่ามือเขาสั่นน้อยๆเมื่อสัมผัสถูกยอดปทุมด้านในนั้น“พี่หย่งเล่อ ท่าน…ตื่นเต้นหรือเจ้าคะ”“ข้า…อยากเห็นข้างใน เจ้า..จะอนุญาตหรือไม่”“เจ้าค่ะ ตัวข้า ใจข้าเป็นของท่านทั้งหมด ในเมื่อตกลงแล้วข้าย่อมยินยอม”“หลานเฟินเจ้าพูดเช่นนี้รู้หรือไม่ว่ามันหมายความว่าเช่นไร”“ข้าเองก็อยากเห็นเช่นกันว่าในตอนนี้แผงอกกว้างของท่านยังเหมือนเดิมเหมือนครั้งที่อยู่ที่สำนักศึกษาหรือไม่”มือเรียวบางนั้นเอื้อมไปปลดเข็มขัดของเขาออกเช่นกัน ฟู่หย่งเล่อรู้งานทันที เขาถอดชุดคลุมด้านนอกออกและปูรองเอาไว้ที่พื้นและพาหลานเฟินไปนอนที่ชุดคลุมของเขาลิ้นที่ยังพัวพันกันไม่หยุดและเริ่มถอดชุดของนางออก เขาเริ่มเห็นเนินอกขาวเนียนนั้นแต่เขาอยากเห็นมากกว่านั้นเมื่อหลานเฟินเริ่มครางอย่างพอใจ“หลานเฟิน เจ้างามจริงๆ”ปากของเข้าเปลี่ยนมาครอบครองหน้าอกขาวตรงหน้าทันที ช่างพอเหมาะพอดีมือของเขาเสียยิ่งนัก เสียง
ทุ่งหญ้าแคว้นฮั่วซู“เบาๆหน่อย เจ้าอย่าดึงบังเหียนแรงเกินไปหลานเฟิน หากมันเจ็บมันจะดีดเจ้าเอา”“ข้ารู้ๆ อย่าพูดมากนัก ข้าตื่นเต้นจนลนลานไปหมดแล้ว”“เจ้าอย่าเกร็งจนหลังตรงเช่นนั้นปล่อยตัวตามสบาย”“หากท่านพูดอีกอีกคำเดียวนะฟู่หย่งเล่อ ข้าจะ ว๊าย…”“หลานเฟิน!! จับให้แน่นๆ”ม้าที่นางขี่เกิดตกใจเมื่อลี่หลานเฟินเผลอใช้เท้ากระแทกไปที่ลำตัวมันเพราะโมโหฟู่หย่งเล่อ มันจึงพานางวิ่งไปยังทุ่งหญ้ากว้างด้านล่าง ตัวนางเอนไปมาเพราะยังทรงตัวไม่ได้ ฟู่หย่งเล่อเร่งความเร็วม้าของเขาตามนางไป“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!!”“ข้ามาแล้ว เจ้าอยู่นิ่งๆ จับให้แน่นๆนะ”“พี่หย่งเล่อ ช่วยข้าด้วย มัน…มันวิ่งไม่หยุดเลยข้ากลัว”“เจ้าอย่าตะโกนมันจะตกใจข้ามาแล้ว”ฟู่หย่งเล่อเร่งความเร็วม้าและขี่เข้าไปใกล้ม้าพร้อมกับกระโดดไปที่ม้าตัวที่นางนั่งอยู่ เขาซ้อนตัวอยู่ด้านหลังของนางและเริ่มคุมบังเหียนม้าให้นิ่ง ใช้เวลาไม่นานมันก็ค่อยๆสงบลงและลดความเร็วลง “จับดีๆ ค่อยๆลุกขึ้นมาสิเจ้าปลอดภัยแล้ว”“ข้า…ข้าอยากลง”“หากเจ้ากลัวมัน เจ้าก็จะขี่มันไม่ได้ เจ้าลองลืมตาดูสิ”“ข้ากลัว ไม่เอา”นางลุกขึ้นได้ก็หันเข้าซบอกของเขาทันที ฟู่หย่งเล่อนั้นเร