“นี่เจ้า!! ช่างหยาบคายยิ่งนัก เจ้ากล้างั้นหรือ”
“จะลองไหมเล่า ก็มาสิวะ!!”
“หยาบคาย ไร้มารยาท สิ้นคิด!!”
“ก็เหมือนกันละวะใครใช้ให้หาเรื่องก่อนล่ะ หรือจะลองเอาไหมล่ะแม่จะอัดด้วยมวยไทยแค่ครึ่งยกก็หมอบแล้ว วางท่าใหญ่โตโธ่เอ๊ย!! คิดว่ากลัวหรืออย่างไร!!”
ฮ่าวจื่อหรงโกรธจนตัวสั่น พระพักตร์แดงจัดเพราะฟังคำด่านางไม่ทัน ส่วนที่ฟังทันก็เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง อีกทั้งท่าทีที่แสดงออกนั่นทำให้เขาโมโหจนลมแทบจับและอยากจะบีบคอนางเสียเหลือเกินหากไม่ติดว่านางเป็นสตรีแล้วล่ะก็….
“ว่านเยว่เฟย…. เอาป้ายหยกของข้าคืนมา”
“หยกอะไร ป้ายอะไร!!”
“ป้ายหยกที่เจ้าแอบขโมยมันมาจากตำหนักข้าแล้วนำไปแอบอ้างไปทั่วเมืองว่า….”
“ว่าอันใด”
“เอาเป็นว่า คืนป้ายหยกข้ามา”
“แล้วหน้าตามันเป็นเช่นไรไอ้ป้ายที่ว่านั่นน่ะ”
ฮ่าวจื่อหรงไม่เคยโกรธผู้ใดจนสติขาดผึงมากถึงเพียงนี้มาก่อน เขาเดินเข้าไปจนชิดแต่อีกฝ่ายกลับไม่มีท่าทางกลัวเลยแม้แต่น้อยแม้ว่าสายตาจะเกรงกลัวแต่นางก็กำหมัดแน่นและจ้องตอบเขากลับ ท่าทีเช่นนี้เขาไม่เคยพบเจอ ต่อให้เป็นสตรีทั้งเมืองหลวงก็เถอะ
“แม้ว่าจะเป็นถึงท่านหญิงแต่เจ้าก็ไม่ควรจะไร้มารยาทถึงเพียงนี้ ข้าขอเตือนเจ้า….”
“รอเดี๋ยว ป้าย…. อยู่ไหนละวะทำไมของเยอะแยะขนาดนี้ล่ะนี่”
“นั่นเจ้าจะทำสิ่งใด”
“ก็หาป้ายหยกให้อย่างไรเล่าท่านอยากได้มิใช่หรือ จะดีมากหากองค์ชายจะพูดออกมาว่ามันหน้าตาเช่นไร”
เยว่เฟยไม่ได้ฟังที่เขาพูดแต่รีบค้นหาของในห้องตามลิ้นชักและกล่องต่าง ๆ ของเจ้าของร่าง นางอยากให้องค์ชายแปดผู้นี้ออกไปจากห้องเสียเดี๋ยวนี้ทันทีและไม่อยากเห็นหน้าเขาอีกแม้แต่เวลาเดียวเพราะเกรงว่าจะอดใจทำร้ายเขาไม่ได้ ส่วนอีกฝ่ายเฝ้ามองนางราวกับไม่เคยเห็นว่านเยว่เฟยมาก่อนแต่เขาไม่ทันได้คิดอะไรนางก็ตะโกนออกมา
“เจอแล้ว!! น่าจะใช่ แล้วแบบนี้น่ะหรือที่เรียกว่าป้ายหยกว่าแต่มันคืออันไหนกันล่ะ”
นางยกกล่องไม้โบราณที่มีน้ำหนักเบาแต่หรูหราเดินมาให้เขา ข้างในนั้นมีป้ายหยกเกือบยี่สิบอันอยู่ ฮ่าวจื่อหรงถึงกับอ้าปากค้างเพราะไม่คิดว่าสตรีนางนี้จะทำตัวน่ารังเกียจถึงเพียงนี้ นางเก็บป้ายหยกของบุรุษเอาไว้มากถึงเพียงนี้ได้เช่นไร
“ไม่หยิบไปเล่าเพคะ ไม่มีงั้นหรือถ้าเช่นนั้นยังมีอีกกล่อง”
“ยังมี…. อีกกล่องงั้นหรือ นี่เจ้า…”
“อย่าถาม ๆ ข้าเองก็ไม่รู้ พึ่งจะมาถึงจะรู้ได้เช่นไร”
“อะไรนะ!!”
“เปล่า ๆ รีบหาของแล้วรีบกลับเถอะเสียเวลา”
“ช่างเถอะ!! หาไม่เจอก็เอาไว้วันหลังแต่ป้ายเหล่านี้….”
“ทำไม พระองค์อยากได้หรือเพคะ”
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือมีสตรีที่ใดทำเช่นนี้บ้าง ไร้ยางอาย น่ารังเกียจข้ากลับล่ะ”
จื่อหรงมองนางด้วยสายตาที่เหยียดหยามและเกลียดชังอย่างเปิดเผยจนนางนึกตกใจ เขาเดินออกไปพร้อมกับสาวใช้ของนางที่เดินเข้ามาข้างใน
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านทะเลาะกับองค์ชายอีกแล้วหรือเจ้าคะ”
“อีกแล้ว? หมายความว่าอย่างไร เขากับข้าทะเลาะกันบ่อย ๆ หรือ”
“แย่แล้วคุณหนู ท่านนำกล่องลับนี่ออกมาด้วยเหตุใดเจ้าคะ ไหนท่านบอกว่าท่าน…”
“อะไร อันนี้น่ะหรือก็เขาบอกว่าข้าไปขโมยป้ายหยกของเขามาก็เลยให้เขาหาดู เขาบอกไม่มี”
“คุณหนู ตายแน่ ๆ”
“อะไรตายอีกเล่า หมายถึงอันใดกันเสี่ยวชิงใครจะตายแล้วทำไมต้องตาย”
“คุณหนูเจ้าคะป้ายหยกเหล่านี้ท่านเป็นคนได้รับมาจากบุรุษทั่วเมืองหลวง ท่านจงใจแกล้งคุณหนูสกุลลู่เพื่อยืนยันว่าท่าน…เป็นสตรีงดงามอันดับหนึ่งอย่างไรเล่าเจ้าคะ”
“แค่ป้ายพวกนี้น่ะหรือ ไร้สาระชะมัด”
“เจ้าค่ะ”
“หือ…”
“คุณหนูข้าหมายความว่า…”
“คุณหนูเจ้าคะ” / อี้ฝู
สาวใช้อีกคนที่ท่าทางห้าวกว่าพี่สาววิ่งเข้ามาในห้องของนางราวกับมีเรื่องด่วน
“มีอะไร แคก แคก โอย พูดเร็ว ๆ เหนื่อยจริง”
“แย่แล้วเจ้าค่ะแย่แล้ว คุณหนูรองกำลังคุยอยู่กับองค์ชายแปดในสวนเจ้าค่ะ”
“คุณหนูรอง อ่อ แล้วอย่างไรเล่า”
""คุณหนู""
สองสาวใช้ถึงกับงงกับการเปลี่ยนไปของคุณหนูของพวกนาง
“ปกติหากมีสตรีใดเข้าใกล้หรือแม้แต่กล้าทักทายองค์ชายแปด ท่านก็จะ…”
“จะอะไรล่ะ”
แต่ละวีรกรรมที่สองสาวใช้ผลัดกันเล่าให้ฟัง ทั้งการจัดการสตรีที่ลอบคุยกับองค์ชายแปดและว่านเยว่เฟยที่ชอบสังสรรค์จัดงานเลี้ยงและเที่ยวหอคณิกาชายเพื่อฟังดนตรีและดื่มสุราอีกทั้งยังชอบใช้สายตากรีดกรายมองชายอื่นเพื่อให้สนใจเพียงนางทำเอาผู้ฟังถึงกับทำตัวไม่ถูก
“ดังนั้น…คำว่าสตรีน่ารังเกียจนั่นคือคำที่เขาใช้เรียกข้าใช่หรือไม่”
เสี่ยวชิงและลี่ฝูยิ้มแห้ง ๆ ส่งมาให้เพราะเดิมทีเยว่เฟยก็ไม่ได้สนใจคำเรียกนี้เพราะนางเป็นคนไม่ใส่ใจคนหรือเสียงนินทา แต่หากได้ยินกับหูหรือเห็นกับตา นางก็ตาต่อตาฟันต่อฟันกับคนพวกนั้นเท่านั้น
“ร้ายกาจถึงเพียงนี้…”
“เจ้าค่ะ”
“ดี!! เช่นนั้นก็จะร้ายแบบนี้สืบไป”
""คุณหนูกลับมาแล้ว""
“หาได้แคร์ไม่”
“อะไรนะเจ้าคะ…แคอะไรเจ้าคะ”
“เอ่อ เอาใหม่ หาได้สนใจไม่”
""เจ้าค่ะ""
ว่านเยว่เฟยลุกขึ้นยืนและบิดขี้เกียจด้วยความโล่งใจ ชีวิตก่อนหน้านี้ตลอดเวลายี่สิบปี นางใช้ชีวิตเพื่อคนอื่นมาโดยตลอดจนขึ้นชื่อว่าเป็นอัจฉริยะทั้งเรื่องเรียน กีฬา และการทำงานร่วมกับคนอื่นนางก็ทำได้ดีจนมารดานางเสียชีวิต และพึ่งจะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองเลือกได้ไม่ถึงครึ่งปีก็ตายและข้ามภพมาที่นี่ ในเมื่อโชคชะตาพานางมาเป็นเช่นนี้…
“ข้าเป็นลูกคนรวยเป็นคนสวยแล้วก็เก่ง ท่านพ่อก็ตามใจและสามารถใช้ชีวิตตามที่ต้องการได้นี่แหละชีวิตที่ต้องการ ดีก็ได้ร้ายก็เป็น”
“คุณหนูแล้วองค์ชายแปดเล่าเจ้าคะจะทำเช่นไรต่อ”
“เอ้อ…เจ้าพูดมาก็ดีแล้ว ไหนเล่าป้ายของเขาน่ะ”
“คุณหนูหมายถึงตราประจำพระองค์ที่คุณหนูแอบหยิบมาจากตำหนักองค์ชายเมื่อสองเดือนก่อนหรือเจ้าคะ”
“น่าจะใช่กระมัง เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันเก็บเอาไว้ที่ใด”
สองสาวใช้ส่ายหน้าด้วยเพราะไม่ทราบจริง ๆ ว่าคุณหนูของนางเก็บสิ่งนี้ไว้ที่ใด
“คุณหนูไม่เคยบอกเจ้าค่ะว่าเก็บเอาไว้ที่ใด”
“อีกทั้งยังพูดว่านี่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดของท่านจึงได้เอาไปเก็บเองไม่เก็บรวมกับของเหล่านี้เจ้าค่ะ”
“งั้นหรือ นี่นาง…เอ่อ ข้าชอบเขาถึงเพียงนั้นเลยงั้นหรือ พวกเจ้าเล่าให้ฟังทีสิว่าคน ไม่ใช่องค์ชายแปดผู้นี้มีดีอย่างไร”
“เป็นองค์ชายที่เก่งวิชาแพทย์เจ้าค่ะ” / อี้ฝู
“ก็ไม่เท่าไหร่ข้าก็เก่งเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน” / เยว่เฟย
“เป็นผู้ที่มีความรู้คงแก่เรียนเจ้าค่ะ” / เสี่ยวชิง
“ข้าเองก็สอบได้ที่หนึ่งตลอดกาลเกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทองเชียวนะไม่อยากจะคุย”
“เป็นพระโอรสบุญธรรมของฝ่าบาทแต่ว่าถืออภิสิทธิ์เหนือกว่าองค์ชายที่กำเนิดโดยพระสนมเสียอีกเจ้าค่ะ”
“ข้าก็เป็น…เดี๋ยวนะ เขามิใช่พระโอรสแท้ ๆ งั้นหรือ”
“มิใช่เจ้าค่ะ เป็นบุตรของท่านหมอที่เคยช่วยเหลือฝ่าบาทครั้งที่ออกศึกเมื่อยี่สิบปีก่อน ท่านหมอผู้นั้นยอมรับพิษแทนฝ่าบาทเพื่อจะได้ช่วยชีวิตฝ่าบาทเอาไว้ดังนั้นจึงรับเลี้ยงแทนและประทานยศองค์ชายให้ ซึ่งให้ความสำคัญไม่ต่างกับราชวงศ์คนอื่น ๆ เจ้าค่ะ”
“เช่นนี้นี่เอง ดังนั้นข้ากับเขาก็มิใช่ญาติกันสินะ แบบนี้นี่เองแต่ว่าข้าไปชอบเขาตรงไหนกันนะ”
“คุณหนู ท่านจำคุณหนูลู่ชิงอันไม่ได้หรือเจ้าคะ”
“ลู่อะไรนะ….”
“ลู่ชิงอันเจ้าค่ะ”
ชื่อนี้นางคุ้นหูนัก ดูเหมือนว่านางก็เป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยของเจ้าของร่างเดิมเช่นกันแต่ว่าอยู่คนละจวนเช่นนี้จะเป็นไปได้เช่นไรที่นางจะเป็นผู้ลอบฆ่าว่านเยว่เฟย
“นางก็ชื่นชอบองค์ชายแปดงั้นหรือ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ เพราะพระโอรสของฝ่าบาทเหลือเพียงองค์ชายแปดเพียงพระองค์เดียวที่ยังมิได้เลือกคู่อภิเษกเจ้าค่ะ”
“ลู่หนิงลี่” ผลักประตูเข้ามาโดยพลการ หมอฮ่าวและเยว่เฟยที่อยู่ในห้องหันมาและจื่อหรงก็ดึงคู่หมั้นของเขามาใกล้ ๆ ทันที“หนิงลี่ เธอมาทำอะไรที่นี่ พี่บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าหากไม่มีธุระก็ไม่ต้องมา”“พี่จื่อหรง พี่จะแต่งงานกับ...เธองั้นเหรอ”“ใช่ มีอะไรน่าตกใจกันล่ะ”“แล้วฉันล่ะ ฉันละคะพี่เอาฉันไปไว้ที่ไหนพี่จื่อหรงทั้ง ๆ ที่คุณพ่อของพี่ก็บอกว่าเรา…”“แต่พี่ก็บอกคุณพ่อไปแล้วว่าไม่ได้คิดอะไรกับเธอ พูดต่อหน้าเธอด้วยและวันนั้นเราก็คุยกันจบแล้ว คุณพ่อเธอก็รับรู้แล้วคุณพ่อพี่ก็เช่นกันดังนั้นระหว่างเราไม่มีอะไรเกินกว่าคำว่าคนรู้จัก”“แต่ว่าฉันรักพี่นะคะ”“ตายจริงใครมาวิ่งตามผู้ชายถึงที่นี่ล่ะเนี่ยเสียงดังออกไปถึงข้างนอก อ้อ เธออีกแล้วเหรอหนิงลี่”“พี่ชิงอัน!! ฉันเป็นน้องพี่นะ”ชื่อที่ถูกเรียกทำให้ว่านเยว่เฟยหันไปมองทันที “ลู่ชิงอัน” ในชุดกาวน์สีขาวเดินมามองหน้าผู้หญิงอีกคนที่ยืนหน้าประตูและหันเอาแฟ้มมาวางที่โต๊ะของจื่อหรง“พี่หรงนี่รายงานที่ขอไปวันก่อน ไม่มีอะไรผิดปกติวางใจได้ เธอคือ…ว่าที่พี่สะใภ้ของน้องเหรอ”“ใช่แล้วชิงอัน จริงสิเยว่เฟยนี่ลู่ชิงอัน เจ้าหน้าที่เทคนิคการแพทย์ในโรงพยาบาลนี้”“อะไรนะ
คอนโดเยว่เฟย “คุณพักที่นี่เหรอ”“ค่ะ ฉันซื้อเอาไว้ตอนที่แม่เสียเมื่อหลายปีก่อน”“หรูจริง ๆ ด้วยแฮะ”“คุณหมอคงไม่รังเกียจคนว่างงานที่เอาแต่เขียนนิยายอย่างฉันหรอกใช่ไหมคะ”“คุณเคยเป็นหมอมาก่อนนี่ หมอศัลยกรรมสมองคนเก่งของโรงพยาบาลชื่อดังเสียด้วยทำไมคุณถึงลาออกล่ะ”“คุณสืบประวัติฉันเหรอคะ อยากโดนลงโทษเหรอคะคุณหมอ”“ไม่ใช่นะ ผมก็แค่… คุ้นชื่อคุณก็เลยไปสืบดูเท่านั้น ทำไมคุณถึงลาออกแล้วไปเป็นแอร์โฮสเตสละครับ”“อืม คงเพราะอยากจะพบคุณมั้งคะ สวรรค์คงจะกำหนดเอาไว้แบบนั้นตั้งแต่แรกแล้ว”“เยว่เฟย คำพูดของคุณทำไมดูโบราณจังเลยล่ะ”“อะไรนะ โบราณงั้นเหรอคะ”“ใช่ ผมว่าจะถามมานานแล้วแต่…”“เจ้าคือบุปผาในฤดู…”“เดี๋ยว!! อย่าพึ่งพูด”“หมอคะ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”“เปล่า แต่ผมเคยได้ยินประโยคนี้”“อะไรนะคะ”ว่านเยว่เฟยมองดูฮ่าวจื่อหรงที่ยืนขึ้นและจับเธอเอาไว้พร้อมกับสบตาเธออีกครั้ง“เจ้าคือบุปผาในฤดูใบไม้ผลิสำหรับข้าเสมอ เยว่เฟยของข้า”ว่านเยว่เฟยยิ้มทั้งน้ำตาเมื่อมองไปที่เขาอีกครั้ง ฮ่าวจื่อหรงเองก็เผลอร้องไห้ออกมาเช่นกันโดยที่เขาเองก็ไม่เข้าใจแต่เขารู้สึกว่าประโยคนี้ควรจะพูดตอนนี้กับเธอคนนี้เพียงคนเดียว“
เธอขยับหนีเขาไม่ได้ ราวกับร่างกายถูกสะกดเอาไว้ให้หยุดนิ่งและเมื่อเขาเริ่มโน้มตัวเข้ามาใกล้ เธอก็เผลอตัวยื่นหน้าขึ้นไปรับสัมผัสที่คุ้นเคยเพราะในชาติก่อนว่านเยว่เฟยและท่านอ๋องฮ่าวจื่อหรงมักจะแสดงความรักต่อกันตลอดเวลาที่มีโอกาส ตลอดเวลาที่แต่งงานและใช้ชีวิตร่วมกันมาเกือบหกสิบปี พวกเขารักกันจนลมหายใจสุดท้ายจริง ๆ“อือ…อ๊ะ หมอคะ”แทนที่เขาจะหยุดแต่กลับเลือกที่จะดันตัวเธอเข้าไปในห้องข้างในและเริ่มยกตัวเธอเข้าไปวางที่เตียงของเขา เสียงหายใจหอบถี่เพราะความตื่นเต้นจนเธอเองก็รู้สึกได้เพราะเธอเองก็เป็นเหมือนกับเขา“ว่านเยว่เฟย คุณเป็นแม่มดเหรอ”“คะ? คุณหมอคุณพูดอะไรนะคะ ฉัน…อื้อ”เธอกำต้นแขนเขาแน่น หมอฮ่าวยังสวมชุดกาวน์สีขาวอยู่ตอนที่วิ่งตามเธอออกมาจากโรงพยาบาลและตอนนี้ก็กำลังจูบเธออย่างกระหายและกำลังซึมซับบางอย่างพร้อมกับความสับสนของเขาที่เริ่มคลี่คลายเมื่อได้เห็นหน้าเธออีกครั้ง“เยว่เฟย”“จื่อหรง…”“คุณต้องการผมหรือเปล่า”“ฉัน…”“เยว่เฟย ผมถามคุณว่า….”“อย่าถามอีกเลยค่ะ ฉันเป็นของคุณ… มาโดยตลอด”เสื้อกาวน์สีขาวและเสื้อโค้ชของเธอถูกโยนทิ้งไปคนละทาง ตอนนี้เขาไม่สนใจแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพียงแค่เ
ว่านเยว่เฟยมองสบตาเขา แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเธอจึงขยับหน้าเข้าไปใกล้เขาโดยไม่รู้ตัว ฮ่าวจื่อหรงเองก็ราวกับมีแรงดึงดูดบางอย่างให้ทำในสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาก่อนกับคนไข้ของตัวเอง เมื่อริมฝีปากของทั้งคู่ทาบปิดกันสนิทและเริ่มขยับเข้าหากันอย่างเผลอตัว ภาพในหัวก็เกิดขึ้นในสมองของหมอฮ่าวทันที“เจ้าคือบุปผาในฤดูใบไม้ผลิสำหรับข้าเสมอ… เยว่เฟยของข้า”“อ๊ะ!!”ว่านเยว่เฟยตกใจเมื่อคุณหมอฮ่าวถอยออกและกึ่งผลักเธอออกมาทันทีด้วยท่าทางที่ตกใจเมื่อหันมามองหน้าเธอชัด ๆ อีกครั้ง เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองและทำไมถึงได้เห็นภาพแบบนั้นในหัวเวลาที่เขาจูบเธอ และนี่เป็นสิ่งที่หมอไม่ควรทำกับคนไข้ของตัวเอง“ผม… ผมขอโทษ ขอตัวก่อน”“คุณ…”เยว่เฟยไม่ร้องตามเขาแม้ว่าอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สัมผัสจากริมฝีปากนั้นคุ้นเคยจนทำให้เธอร้องไห้ออกมาอีกครั้ง คงมีเพียงแค่เธอคนเดียวที่จดจำเขาได้ไม่มีวันลืม“จื่อหรง… ท่านช่างใจร้ายนัก เหตุใดต้องปล่อยข้าเอาไว้เช่นนี้ หากรู้ว่าต้องเป็นเช่นนี้ข้าไม่ตามท่านมาหรอกคนใจร้าย ฮือ…”“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!!”ฮ่าวจื่อหรงยืนหน้าแดงอยู่ที่หน้าห้องคนไข้พิเศษของเขา สิ่งที่เขาเห็นตอน
แววตาของเธอรื้นไปด้วยน้ำตาทันที ไม่ใช่เพราะยังปรับแสงไม่ได้แต่เพราะชื่อที่พึ่งจะได้ยิน เธอพยายามลุกขึ้นมาและมองเขาใกล้ ๆ ชัด ๆ อีกครั้ง คุณหมอเห็นว่าเธอพยายามจะลุกขึ้นมาซึ่งเป็นเรื่องน่าประหลาดที่คนไข้จะสามารถลุกขึ้นมาได้ทั้ง ๆ ที่หมดสติไปหลายวันอีกทั้งเธอยังบาดเจ็บตามตัวอยู่หลายแห่ง“คุณค่อย ๆ ลุกอย่าพึ่งรีบร้อน…คนไข้ครับ นี่คุณทำอะไร”“จะ…จื่อ…คุณ…. ชื่อ….”สายตาที่หันมามองสบตาเธอนั้นนิ่งไป และเมื่อทั้งคู่สบตากันก็เหมือนจะมีบางอย่างทำให้คุณหมอฮ่าวหยุดนิ่งไปเช่นกัน ทำไมเขาถึงได้รู้สึกคุ้นเคยกับเธอแบบนี้ และรู้สึกเหมือนกับเคยรู้จักเธอมาก่อนทั้ง ๆ ที่เขามั่นใจว่าเขาไม่เคยเจอเธอแน่ ๆ“ตอนนี้คนไข้รู้สึกยังไงบ้างครับ”“จื่อ.... หรง”หมอฮ่าวชะงักไปเมื่อเธอเรียกชื่อเขาเฉย ๆ อย่างคนคุ้นเคย เขาหันไปขมวดคิ้วและมองเธออีกครั้งด้วยความแปลกใจกึ่งสงสัย สีหน้าของเธอซีดเซียวแต่ยังคงสวยมาก ๆ เพราะเธอเป็นแอร์โฮสเตสละมั้งถึงได้มีหน้าตาที่สวยแม้แต่ตอนที่ป่วยก็ยังดูสวยอยู่“คุณ รู้จักผมเหรอครับ”เพียงคำถามนั้นก็ทำเอาเธอปากสั่นและน้ำตาก็เริ่มไหลออกมาไม่หยุดจนเขาตกใจ กล่องทิชชูถูกยกมาวางที่ตรงหน้าและเขาก็รี
โรงพยาบาล ติ๊ด ติ๊ด….. เสียงของใครคนหนึ่งที่คุยกับคนอีกหนึ่งหรือสองคนไม่แน่ใจเพราะสติที่ยังไม่เข้าที่เข้าทาง เสียงที่ดังขึ้นมาแม้ว่าจะจับใจความอะไรไม่ได้แม้ว่าหูจะเริ่มได้ยินเสียงที่ชัดขึ้นแต่ร่างกายกลับยังไม่ตอบสนองอย่างที่ต้องการ เมื่อค่อย ๆ เริ่มหายใจ ลมเย็น ๆ ที่อยู่ปลายจมูกก็เริ่มรู้สึกว่าไม่ต้องพยายามขนาดนั้น แม้ว่าจะมองไม่เห็นตัวคนพูดแต่เสียงที่เริ่มชัดขึ้นก็ทำให้ร่างที่นอนอยู่ค่อย ๆ กะพริบตาขึ้น ราวกับหลับไปนานแสนนานและแสงที่เริ่มไม่คุ้นเคยนี้ก็ทำให้ “ว่านเยว่เฟย” หลับตาลงไปอีกครั้ง “ข้าอยู่ที่ไหน เกิดใหม่อีกแล้วงั้นหรือ ท่านพี่ท่านพาข้ามาที่ใดข้าไม่อยากจากท่านไป นานเหลือเกินแล้วที่เราจากกัน แม้จะเพียงแค่ปีเดียวที่ท่านด่วนจากไปแต่ข้าไม่มีทางลืมท่าน จื่อหรง…พาข้าไปกับท่านด้วย” “เยว่เฟยยอดรักของข้า อีกไม่นานเราจะได้พบกัน…อีกครั้ง” “อย่าไปเพคะท่านพี่ รอข้าก่อนฮ่าวจื่อหรง อย่าไป!! รอข้าก่อน” “รอ…รอก่อน…หรง…จื่อหรง” เสียงงึมงำนั้นเรียกความสนใจของพยาบาลสาวที่กำลังปรับเครื่องช่วยหายใจอยู่ เมื่อคนไข้มีการตอบสนองเธอจึงเรียกคุณหมอทันที “คุณหมอคะ ดูเหมือนว่าคนไข้จะมีการตอบสนอ