ว่านเยว่เฟยรู้โดยสัญชาตญาณทันทีว่าสองคนที่พึ่งเดินเข้ามาในห้องนี้มิได้หวังดีกับเจ้าของร่าง อีกทั้งยังเห็นนางเป็นศัตรูอีกด้วย แม้จะไม่บอกก็รู้ว่านางคือผู้ใดในจวนแห่งนี้เพราะสังเกตจากท่าทีของสาวใช้ที่เกรงใจนาง
“เอาล่ะ ๆ ไหน ๆ เจ้าก็มาแล้วก็นั่งเถอะอย่าพึ่งพูดมากเลย ไม่เห็นหรือว่าเยว่เฟยพึ่งจะฟื้น”
“ท่านพ่อ ลูกไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะเพียงแค่ยังรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อยเท่านั้น”
“ก็แน่ละสิ เจ้านอนโอบเมืองไปเสียหลายวันเลยนี่หากไม่ฟื้นวันนี้ข้าก็คงคิดว่า...”
“ซูหลิง!! ข้าบอกให้เจ้าหยุด”
“นายท่าน!!”
“หากเจ้าไม่รู้จะพูดสิ่งใดก็พาลี่เอ๋อร์ออกไปก่อนเถอะให้นางได้พักผ่อน”
“ท่านพ่อเจ้าคะ”
สตรีอ่อนวัยกว่านางราว ๆ สามถึงสี่ปีเดินออกมาพร้อมกับสีหน้าละห้อย ว่านเยว่เฟยที่หันไปมองก็รู้สึกว่านางน่ารักแต่ก็เพียงเท่านั้นเพราะคำพูดที่ออกมาจากปากนางหลังจากนั้น….
“ท่านแม่เป็นห่วงพี่ใหญ่จริง ๆ เจ้าค่ะ มิเช่นนั้นจะสั่งให้ท่านหมอมาดูอาการนางอย่างใกล้ชิดหรือเจ้าคะ อีกอย่างยารักษาอาการที่แพง ๆ ดี ๆ ท่านแม่ก็ล้วนเป็นผู้จัดหามาให้ทั้งนั้นท่านพ่อพูดเช่นนี้ไม่รักษาน้ำใจท่านแม่ไม่เกรงว่าผู้อื่นจะหาว่าท่านลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่หรือเจ้าคะ”
พูดเสร็จก็บีบน้ำตาในทันทีราวกับสั่งได้ ผู้ที่ป่วยอยู่บนเตียงถึงกับเบิกตามองดู นึกว่ามีแต่ในละครเสียอีกที่นางร้ายจะบีบน้ำตาเช่นนี้
“เอาเถอะ ๆ พวกเจ้ามาเยี่ยมแล้วก็กลับไปได้แล้ว”
แม่นมอิ๋งและสาวใช้อีกสองคนเดินหน้าตาตื่นเข้ามาในห้องพร้อมกับความแปลกใจของเสนาบดีว่าน
“นายท่านเจ้าคะ”
“มีอะไรถึงได้แตกตื่นกันขนาดนี้”
“องค์ชายแปดเสด็จมาเจ้าค่ะตอนนี้อยู่หน้าจวนแล้ว”
“อะไรนะ องค์ชายแปดงั้นหรือ เร็ว ๆ เข้ารีบออกไปรับเสด็จ”
ว่านเยว่เฟยได้ยินเพียงคำว่าองค์ชายก็หันไปมองสาวใช้ที่ยืนข้าง ๆ ซึ่งตอนนี้นางจำชื่อได้แล้ว
“นี่เสี่ยวชิง องค์ชายมาทำอะไรที่นี่งั้นหรือ”
“ท่านหญิง!! ท่านจดจำแม้กระทั่งองค์ชายแปด "ฮ่าวจื่อหรง" ผู้ที่ท่านชื่นชอบจนคลั่งไคล้มิได้หรือเจ้าคะ"
“อะไรนะ!! ถึงกับคลั่งเลยหรือ”
“เจ้าค่ะ ท่านเอาแต่ตามติดเขาไปทุกที่อีกทั้งยังทำเรื่องมิบังควรกับองค์ชายไปหลายครั้งจน…”
“องค์ชายแปดเสด็จ!!”
เยว่เฟยหันรีหันขวางเพราะทำตัวไม่ถูก เสี่ยวชิงค่อย ๆ ผลักผู้เป็นนายนอนเอนลงที่เตียงเป็นสัญญาณเพื่อให้เยว่เฟยไม่ตกใจแต่ไม่ทันที่จะเอนกายลง บุรุษหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งสวมชุดทางการสีดำขลิบทองพร้อมเครื่องประดับแม้จะไม่มากแต่ก็นับว่าดูหล่อเหลารับกับใบหน้าที่รูปงามดุจเซียนปั้นนั่น เมื่อเห็นก็รู้ว่าเหตุใดเสี่ยวชิงจึงได้ใช้คำว่า “คลั่งไคล้” กับนาง เพราะคนที่มายืนอยู่ตรงหน้านี้หล่อเหลาราวกับเทพเซียนลงมาจากสวรรค์ก็ไม่ปาน
“ขออภัยที่กระหม่อมไม่ทันออกไปรับเสด็จพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านเสนาบดีว่านไม่ต้องเกรงใจ ข้ารับบัญชาเสด็จพ่อให้มาตรวจอาการ…ของนาง จึงได้มาที่นี่ตามบัญชา”
เยว่เฟยเผลอตัวมองใบหน้าที่หล่อเหลานั่นตาไม่กะพริบแต่เขาเพียงเอียงมองมาและหันกลับไปทันทีและหันไปทักทายอนุซูและน้องสาวต่างมารดาของนางอย่างเป็นมิตร
“ไม่ทราบว่าองค์ชายจะเสด็จมา มิเช่นนั้นจะให้ลี่เอ๋อร์ตั้งสำรับของว่างรอเพคะ ลี่เอ๋อร์เจ้ารีบไปสั่งให้คนจัดเตรียมของว่างเอาไว้รับรององค์ชายแปดเร็วเข้า”
“อนุซูอย่าได้ลำบากเลย ข้ามาเพราะคำสั่งเสด็จพ่อเพื่อตรวจอาการ เมื่อเสร็จก็จะรีบกลับไปทูลแจ้งอาการให้เสด็จพ่อทรงทราบทันที”
องค์ชายแปดเดินมาที่เตียงของนางช้า ๆ และวางของที่องครักษ์ข้างกายนำมาวางที่โต๊ะกลางก่อนจะนั่งลงอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่เพื่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาจึงจำใจต้องมาอยู่ตรงนี้
“เฟย…. ว่านเยว่เฟย”
“คะ!! เอ่อ…เพคะ”
เยว่เฟยที่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่เมื่อหันกลับมาอีกครั้งก็พบว่าตัวเองเผชิญหน้ากับบุรุษหนุ่มรูปงามตรงหน้า ใบหน้าเขาอยู่ห่างนางไม่มาก ดูแล้วเขาน่าจะเป็นหมอ
“ข้าบอกว่าจะตรวจชีพจรให้”
“อ้อ ไม่ต้องเพคะ ตอนนี้ชีพจรเต้นปกติหัวใจเต้นเจ็ดสิบครั้งต่อ…เอ่อ…เอาเป็นว่าหม่อมฉันยังเหลืออาการหูอื้อคงเพราะน้ำเข้าหูมากตอนจมน้ำขอเพียงพารา…. เอ่อ…ยาแก้ปวด แก้ไข้อย่างละสามโดส…ไม่ใช่ สาม..”
บุรุษหนุ่มปัดมือนางออกโดยทันทีพร้อมกับสีหน้าที่ดูหงุดหงิดพร้อมกับลุกขึ้นจนนางตกใจกับการกระทำของเขา
“ดูเหมือนว่านางจะปลอดภัยแล้วจริง ๆ อาการทั่วไปนอกจากดูอ่อนเพลียมากกว่าเดิมก็ไม่เห็นว่า…. จะมีสิ่งอื่นผิดปกติ หึ”
เยว่เฟยขมวดคิ้วอีกครั้ง เสียงแค่นหัวเราเยาะนั่นนางไม่ได้หูฝาดเป็นแน่ ชายผู้นี้แม้จะหน้าตาดีแต่พฤติกรรมที่ปฏิบัติกับสตรีช่างหยาบนัก แม้ว่าจะเป็นถึงองค์ชายและยังเป็นหมอด้วยก็ตาม
“องค์ชาย มั่นพระทัยแน่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านเสนาบดีมิได้ฟังที่นางพูดออกมาเมื่อครู่หรอกหรือ เมื่อครู่นี้นางพูดราวกับรู้ดีกว่าหมอเสียอีก”
“เอ่อ กระหม่อมคิดว่านางน่าจะ…. มันน่าจะเป็นอาการผิดปกติหลังจากตกน้ำพ่ะย่ะค่ะ”
“งั้นหรือ ได้ เช่นนั้นเราขอเวลาตรวจอีกสักครู่ พวกท่านออกไปให้หมดข้าขอตรวจนางโดยละเอียดอีกครั้ง”
องค์ชายแปดยิ้มให้กับเสนาบดีว่านอย่างสุภาพ ทุกคนจึงเริ่มทยอยเดินออกไป แม้แต่สาวใช้ที่ชื่อเสี่ยวชิงก็เช่นกัน เมื่อทุกคนออกไปแล้วองค์ชายแปด “ฮ่าวจื่อหรง” ก็พยักหน้าให้กับองครักษ์ของตนเองเดินออกไปและปิดประตูทันทีพร้อมกับหันมามองว่านเยว่เฟยที่กำลังจับแขนและมือของตัวเอง เขาพินิจมองนางอยู่สักพักและเอ่ยขึ้น
“ว่านเยว่เฟย”
นางเพียงแค่เงยหน้ามองสบตาเขา ครั้งนี้เองที่นางหยุดมองเขาแม้แต่ฮ่าวจื่อหรงเองก็มองนางนิ่ง ๆ เช่นกัน สายตาที่มองเขากลับไม่เหมือนเดิม สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย สับสนและบางอย่างซึ่งเขาเองก็บอกไม่ถูก
“เจ้ากล้ามากนะที่กล้าใช้เรื่องนี้มาเรียกร้องความสนใจของเสด็จพ่อจนต้องส่งข้ามาถึงที่นี่”
“อะไรนะ? พระองค์กล่าว เอ่อ…ตรัสเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไรเพคะหม่อมฉันไม่เข้าใจ …พูดถูกแล้วใช่ไหมนะ”
“เจ้าพูดอะไร อย่างไรเจ้ายังน่ารังเกียจเช่นเดิมเมื่อใดจะเลิกใช้วิธีการสกปรกเช่นนี้เสียที ข้าบอกเจ้าไปหลายครั้งแล้วว่าถึงอย่างไรงานหมั้นหมายระหว่างเราก็ไม่มีทางเกิดขึ้น ต่อให้เจ้าจะพยายามมากเพียงใดก็ตาม”
“เขาพูดอะไรของเขากันน่ะ ใครจะหมั้นกับเขากันตาขี้เก๊กเอ๊ย”
“ข้าพูดกับเจ้าอยู่นะว่านเยว่เฟย!!”
เยว่เฟยตกใจสุดชีวิตจนตื่นตระหนกซึ่งแม้แต่จื่อหรงเองก็ตกใจกับท่าทางของนาง โดยปกติแล้วคนอย่างว่านเยว่เฟยที่เขารู้จักจะเป็นคนดื้อดึง เถียงคำไม่ตกฟาก พูดอะไรไปก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้างราวกับหูซ้ายทะลุหูขวาและไม่ใส่ใจ นางสนใจเพียงแต่ความต้องการของตัวเองเท่านั้น
“เป็นอะไร เจ้ากำลังเปลี่ยนไปเล่นบทใสซื่อบริสุทธิ์อยู่งั้นหรือ เจ้าไม่คิดว่าหลังจากเหตุการณ์ที่เจ้า…ลอบเข้าไปหาข้าที่ตำหนักสองเดือนก่อนนั่นผู้คนจะหลงลืมงั้นหรือ "สตรีน่ารังเกียจแห่งต้าหยวน" อย่าคิดว่าแกล้งตกน้ำแล้วจะเรียกร้องความสงสารจากเสด็จพ่อเพื่อบีบบังคับให้ข้ารับเจ้ามาเป็นพระชายา ชาตินี้ต่อให้เหลือเจ้าเป็นสตรีเพียงคนเดียว ข้าก็ไม่มีทางที่จะ…."
“ท่านพล่ามพอหรือยัง”
“อะไรนะ”
“ข้าถามว่า ท่านพูดพล่ามเพ้อเจ้อเรื่อยเปื่อยเป็นนกแก้วนกขุนทองพอหรือยัง ถ้าพอแล้วก็เงียบแล้วฟังสักหน่อยเถอะ คิดว่าเป็นองค์ชายแล้วแน่นักหรือ ใหญ่มาจากไหนก็แค่มังกรน้อยลูกของฮ่องเต้ไม่ใช่หรืออย่างไรมีสิทธิ์อันใดมาต่อว่าผู้อื่น...”
“หุบปาก!!”
เยว่เฟยหยุดทันที เป็นอีกครั้งที่เขาแผดเสียงใส่นาง โลกที่ไม่เคยรู้จัก เมื่อข้ามมาก็พบแต่ผู้คนแปลก ๆ อีกทั้งคนผู้นี้ยังมายืนชี้หน้าด่านางว่าอะไรนะ “สตรีน่ารังเกียจ” งั้นหรือ น้ำตาที่เริ่มคลอหน่วยทำให้องค์ชายผู้วางท่าใจหายวาบไปในทันที เขาไม่เคยเห็นน้ำตาของคนอย่างว่านเยว่เฟยมาก่อน
“นี่เจ้า…”
“หากพระองค์มิได้มาตรวจก็จงกลับไปเสียแต่เดี๋ยวนี้ ก่อนที่หม่อมฉัน…จะกระโดดถีบยอดหน้าพระองค์ออกจากห้องนี้ไป”
“ลู่หนิงลี่” ผลักประตูเข้ามาโดยพลการ หมอฮ่าวและเยว่เฟยที่อยู่ในห้องหันมาและจื่อหรงก็ดึงคู่หมั้นของเขามาใกล้ ๆ ทันที“หนิงลี่ เธอมาทำอะไรที่นี่ พี่บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าหากไม่มีธุระก็ไม่ต้องมา”“พี่จื่อหรง พี่จะแต่งงานกับ...เธองั้นเหรอ”“ใช่ มีอะไรน่าตกใจกันล่ะ”“แล้วฉันล่ะ ฉันละคะพี่เอาฉันไปไว้ที่ไหนพี่จื่อหรงทั้ง ๆ ที่คุณพ่อของพี่ก็บอกว่าเรา…”“แต่พี่ก็บอกคุณพ่อไปแล้วว่าไม่ได้คิดอะไรกับเธอ พูดต่อหน้าเธอด้วยและวันนั้นเราก็คุยกันจบแล้ว คุณพ่อเธอก็รับรู้แล้วคุณพ่อพี่ก็เช่นกันดังนั้นระหว่างเราไม่มีอะไรเกินกว่าคำว่าคนรู้จัก”“แต่ว่าฉันรักพี่นะคะ”“ตายจริงใครมาวิ่งตามผู้ชายถึงที่นี่ล่ะเนี่ยเสียงดังออกไปถึงข้างนอก อ้อ เธออีกแล้วเหรอหนิงลี่”“พี่ชิงอัน!! ฉันเป็นน้องพี่นะ”ชื่อที่ถูกเรียกทำให้ว่านเยว่เฟยหันไปมองทันที “ลู่ชิงอัน” ในชุดกาวน์สีขาวเดินมามองหน้าผู้หญิงอีกคนที่ยืนหน้าประตูและหันเอาแฟ้มมาวางที่โต๊ะของจื่อหรง“พี่หรงนี่รายงานที่ขอไปวันก่อน ไม่มีอะไรผิดปกติวางใจได้ เธอคือ…ว่าที่พี่สะใภ้ของน้องเหรอ”“ใช่แล้วชิงอัน จริงสิเยว่เฟยนี่ลู่ชิงอัน เจ้าหน้าที่เทคนิคการแพทย์ในโรงพยาบาลนี้”“อะไรนะ
คอนโดเยว่เฟย “คุณพักที่นี่เหรอ”“ค่ะ ฉันซื้อเอาไว้ตอนที่แม่เสียเมื่อหลายปีก่อน”“หรูจริง ๆ ด้วยแฮะ”“คุณหมอคงไม่รังเกียจคนว่างงานที่เอาแต่เขียนนิยายอย่างฉันหรอกใช่ไหมคะ”“คุณเคยเป็นหมอมาก่อนนี่ หมอศัลยกรรมสมองคนเก่งของโรงพยาบาลชื่อดังเสียด้วยทำไมคุณถึงลาออกล่ะ”“คุณสืบประวัติฉันเหรอคะ อยากโดนลงโทษเหรอคะคุณหมอ”“ไม่ใช่นะ ผมก็แค่… คุ้นชื่อคุณก็เลยไปสืบดูเท่านั้น ทำไมคุณถึงลาออกแล้วไปเป็นแอร์โฮสเตสละครับ”“อืม คงเพราะอยากจะพบคุณมั้งคะ สวรรค์คงจะกำหนดเอาไว้แบบนั้นตั้งแต่แรกแล้ว”“เยว่เฟย คำพูดของคุณทำไมดูโบราณจังเลยล่ะ”“อะไรนะ โบราณงั้นเหรอคะ”“ใช่ ผมว่าจะถามมานานแล้วแต่…”“เจ้าคือบุปผาในฤดู…”“เดี๋ยว!! อย่าพึ่งพูด”“หมอคะ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”“เปล่า แต่ผมเคยได้ยินประโยคนี้”“อะไรนะคะ”ว่านเยว่เฟยมองดูฮ่าวจื่อหรงที่ยืนขึ้นและจับเธอเอาไว้พร้อมกับสบตาเธออีกครั้ง“เจ้าคือบุปผาในฤดูใบไม้ผลิสำหรับข้าเสมอ เยว่เฟยของข้า”ว่านเยว่เฟยยิ้มทั้งน้ำตาเมื่อมองไปที่เขาอีกครั้ง ฮ่าวจื่อหรงเองก็เผลอร้องไห้ออกมาเช่นกันโดยที่เขาเองก็ไม่เข้าใจแต่เขารู้สึกว่าประโยคนี้ควรจะพูดตอนนี้กับเธอคนนี้เพียงคนเดียว“
เธอขยับหนีเขาไม่ได้ ราวกับร่างกายถูกสะกดเอาไว้ให้หยุดนิ่งและเมื่อเขาเริ่มโน้มตัวเข้ามาใกล้ เธอก็เผลอตัวยื่นหน้าขึ้นไปรับสัมผัสที่คุ้นเคยเพราะในชาติก่อนว่านเยว่เฟยและท่านอ๋องฮ่าวจื่อหรงมักจะแสดงความรักต่อกันตลอดเวลาที่มีโอกาส ตลอดเวลาที่แต่งงานและใช้ชีวิตร่วมกันมาเกือบหกสิบปี พวกเขารักกันจนลมหายใจสุดท้ายจริง ๆ“อือ…อ๊ะ หมอคะ”แทนที่เขาจะหยุดแต่กลับเลือกที่จะดันตัวเธอเข้าไปในห้องข้างในและเริ่มยกตัวเธอเข้าไปวางที่เตียงของเขา เสียงหายใจหอบถี่เพราะความตื่นเต้นจนเธอเองก็รู้สึกได้เพราะเธอเองก็เป็นเหมือนกับเขา“ว่านเยว่เฟย คุณเป็นแม่มดเหรอ”“คะ? คุณหมอคุณพูดอะไรนะคะ ฉัน…อื้อ”เธอกำต้นแขนเขาแน่น หมอฮ่าวยังสวมชุดกาวน์สีขาวอยู่ตอนที่วิ่งตามเธอออกมาจากโรงพยาบาลและตอนนี้ก็กำลังจูบเธออย่างกระหายและกำลังซึมซับบางอย่างพร้อมกับความสับสนของเขาที่เริ่มคลี่คลายเมื่อได้เห็นหน้าเธออีกครั้ง“เยว่เฟย”“จื่อหรง…”“คุณต้องการผมหรือเปล่า”“ฉัน…”“เยว่เฟย ผมถามคุณว่า….”“อย่าถามอีกเลยค่ะ ฉันเป็นของคุณ… มาโดยตลอด”เสื้อกาวน์สีขาวและเสื้อโค้ชของเธอถูกโยนทิ้งไปคนละทาง ตอนนี้เขาไม่สนใจแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพียงแค่เ
ว่านเยว่เฟยมองสบตาเขา แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเธอจึงขยับหน้าเข้าไปใกล้เขาโดยไม่รู้ตัว ฮ่าวจื่อหรงเองก็ราวกับมีแรงดึงดูดบางอย่างให้ทำในสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาก่อนกับคนไข้ของตัวเอง เมื่อริมฝีปากของทั้งคู่ทาบปิดกันสนิทและเริ่มขยับเข้าหากันอย่างเผลอตัว ภาพในหัวก็เกิดขึ้นในสมองของหมอฮ่าวทันที“เจ้าคือบุปผาในฤดูใบไม้ผลิสำหรับข้าเสมอ… เยว่เฟยของข้า”“อ๊ะ!!”ว่านเยว่เฟยตกใจเมื่อคุณหมอฮ่าวถอยออกและกึ่งผลักเธอออกมาทันทีด้วยท่าทางที่ตกใจเมื่อหันมามองหน้าเธอชัด ๆ อีกครั้ง เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองและทำไมถึงได้เห็นภาพแบบนั้นในหัวเวลาที่เขาจูบเธอ และนี่เป็นสิ่งที่หมอไม่ควรทำกับคนไข้ของตัวเอง“ผม… ผมขอโทษ ขอตัวก่อน”“คุณ…”เยว่เฟยไม่ร้องตามเขาแม้ว่าอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สัมผัสจากริมฝีปากนั้นคุ้นเคยจนทำให้เธอร้องไห้ออกมาอีกครั้ง คงมีเพียงแค่เธอคนเดียวที่จดจำเขาได้ไม่มีวันลืม“จื่อหรง… ท่านช่างใจร้ายนัก เหตุใดต้องปล่อยข้าเอาไว้เช่นนี้ หากรู้ว่าต้องเป็นเช่นนี้ข้าไม่ตามท่านมาหรอกคนใจร้าย ฮือ…”“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!!”ฮ่าวจื่อหรงยืนหน้าแดงอยู่ที่หน้าห้องคนไข้พิเศษของเขา สิ่งที่เขาเห็นตอน
แววตาของเธอรื้นไปด้วยน้ำตาทันที ไม่ใช่เพราะยังปรับแสงไม่ได้แต่เพราะชื่อที่พึ่งจะได้ยิน เธอพยายามลุกขึ้นมาและมองเขาใกล้ ๆ ชัด ๆ อีกครั้ง คุณหมอเห็นว่าเธอพยายามจะลุกขึ้นมาซึ่งเป็นเรื่องน่าประหลาดที่คนไข้จะสามารถลุกขึ้นมาได้ทั้ง ๆ ที่หมดสติไปหลายวันอีกทั้งเธอยังบาดเจ็บตามตัวอยู่หลายแห่ง“คุณค่อย ๆ ลุกอย่าพึ่งรีบร้อน…คนไข้ครับ นี่คุณทำอะไร”“จะ…จื่อ…คุณ…. ชื่อ….”สายตาที่หันมามองสบตาเธอนั้นนิ่งไป และเมื่อทั้งคู่สบตากันก็เหมือนจะมีบางอย่างทำให้คุณหมอฮ่าวหยุดนิ่งไปเช่นกัน ทำไมเขาถึงได้รู้สึกคุ้นเคยกับเธอแบบนี้ และรู้สึกเหมือนกับเคยรู้จักเธอมาก่อนทั้ง ๆ ที่เขามั่นใจว่าเขาไม่เคยเจอเธอแน่ ๆ“ตอนนี้คนไข้รู้สึกยังไงบ้างครับ”“จื่อ.... หรง”หมอฮ่าวชะงักไปเมื่อเธอเรียกชื่อเขาเฉย ๆ อย่างคนคุ้นเคย เขาหันไปขมวดคิ้วและมองเธออีกครั้งด้วยความแปลกใจกึ่งสงสัย สีหน้าของเธอซีดเซียวแต่ยังคงสวยมาก ๆ เพราะเธอเป็นแอร์โฮสเตสละมั้งถึงได้มีหน้าตาที่สวยแม้แต่ตอนที่ป่วยก็ยังดูสวยอยู่“คุณ รู้จักผมเหรอครับ”เพียงคำถามนั้นก็ทำเอาเธอปากสั่นและน้ำตาก็เริ่มไหลออกมาไม่หยุดจนเขาตกใจ กล่องทิชชูถูกยกมาวางที่ตรงหน้าและเขาก็รี
โรงพยาบาล ติ๊ด ติ๊ด….. เสียงของใครคนหนึ่งที่คุยกับคนอีกหนึ่งหรือสองคนไม่แน่ใจเพราะสติที่ยังไม่เข้าที่เข้าทาง เสียงที่ดังขึ้นมาแม้ว่าจะจับใจความอะไรไม่ได้แม้ว่าหูจะเริ่มได้ยินเสียงที่ชัดขึ้นแต่ร่างกายกลับยังไม่ตอบสนองอย่างที่ต้องการ เมื่อค่อย ๆ เริ่มหายใจ ลมเย็น ๆ ที่อยู่ปลายจมูกก็เริ่มรู้สึกว่าไม่ต้องพยายามขนาดนั้น แม้ว่าจะมองไม่เห็นตัวคนพูดแต่เสียงที่เริ่มชัดขึ้นก็ทำให้ร่างที่นอนอยู่ค่อย ๆ กะพริบตาขึ้น ราวกับหลับไปนานแสนนานและแสงที่เริ่มไม่คุ้นเคยนี้ก็ทำให้ “ว่านเยว่เฟย” หลับตาลงไปอีกครั้ง “ข้าอยู่ที่ไหน เกิดใหม่อีกแล้วงั้นหรือ ท่านพี่ท่านพาข้ามาที่ใดข้าไม่อยากจากท่านไป นานเหลือเกินแล้วที่เราจากกัน แม้จะเพียงแค่ปีเดียวที่ท่านด่วนจากไปแต่ข้าไม่มีทางลืมท่าน จื่อหรง…พาข้าไปกับท่านด้วย” “เยว่เฟยยอดรักของข้า อีกไม่นานเราจะได้พบกัน…อีกครั้ง” “อย่าไปเพคะท่านพี่ รอข้าก่อนฮ่าวจื่อหรง อย่าไป!! รอข้าก่อน” “รอ…รอก่อน…หรง…จื่อหรง” เสียงงึมงำนั้นเรียกความสนใจของพยาบาลสาวที่กำลังปรับเครื่องช่วยหายใจอยู่ เมื่อคนไข้มีการตอบสนองเธอจึงเรียกคุณหมอทันที “คุณหมอคะ ดูเหมือนว่าคนไข้จะมีการตอบสนอ