2
แรกพบสบตา
ในที่สุดก็ถึงวันงานจิบชาชมดอกไม้ของจวนหลิวมีคุณหนูคุณชายมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก เนื่องจากผู้นำตระกูลหลิวเป็นถึงเสนาบดีฝ่ายขวาที่มีความสำคัญต่อราชสำนัก และเนื่องจากตระกูลหลิวได้แจ้งถึงจุดประสงค์การจัดงานชัดเจน สตรีวัยออกเรือนที่เข้าร่วมจึงพากันแต่งตัวงดงามอวดโฉมโดยหวังว่าจะมีบุรุษที่เพียบพร้อมด้วยรูปโฉมและชาติตระกูลหมายปองตน
“เจ้าอย่ามัวเหม่อมอง ประเดี๋ยวจะพลัดหลงกับพี่”
“เจ้าค่ะ” อีกไม่กี่เดือนนางก็จะปักปิ่นแล้ว พี่ใหญ่ก็เป็นห่วงนางเกินไป
“เจ้าต้องระวังตัวให้ดี ในงานเลี้ยงเหล่านี้มักจะเกิดเรื่องไม่ดีงาม คุณหนูบางคนพลาดท่าเสียทีศัตรูจนต้องแต่งงานกับบุรุษที่ตนไม่พึงใจมานักต่อนัก”
“พี่ชายข้าช่างเก่งกาจ รู้เท่าทันมารยาและเล่ห์กลของสตรี” การวางยาปลุกกำหนัดคนที่ตนไม่ชอบเพื่อให้กระทำการเสื่อมเสียชื่อเสียง ไม่ก็วางยาปลุกกำหนัดหวังผูกมัดบุรุษโดยแลกมาด้วยชื่อเสียงตน มันคือเล่ห์กลดาษดื่นที่พวกตัวร้ายในนิยายใช้กัน
“ประเดี๋ยวตอนเปิดงาน เจ้าอาจจะต้องแยกไปนั่งฝั่งสตรี หากเป็นไปได้อย่าได้ดื่มกินอันใด หูตาต้องสอดส่องไปทั่วอย่างระวังตัวอย่าได้ชะล่าใจ”
“เจ้าค่ะ พี่ใหญ่ท่านเตือนข้ามากมายราวกับพามาออกรบไม่ใช่มางานชมดอกไม้”
“พี่เป็นห่วงเจ้า”
“ข้ารู้เจ้าค่ะว่าท่านพี่ดีกับข้าที่สุด”
“รู้เช่นนั้นก็ดีแล้ว อย่าลืมระวังตัวด้วย”
เมื่อใกล้ถึงการเปิดงานชมดอกไม้จางชิงหนี่ว์จึงแยกตัวไปฝั่งสตรี ซึ่งมีคุณหนูนั่งประจำที่อยู่แล้วหลายคน
“เจ้าเป็นคุณหนูจวนไหนหรือ ข้าไม่เคยเห็นหน้าเจ้ามาก่อน” คุณหนูที่นั่งอยู่ข้างๆ หันมาถามพร้อมกับส่งยิ้มให้นางอย่างเป็นมิตร
“ข้าเป็นคุณหนูจวนจางเจ้าค่ะ”
“จวนจาง...เจ้าคือคุณหนูจางชิงหนี่ว์สินะ”
“ท่านรู้จักข้าด้วยหรือเจ้าคะ” นางไม่ค่อยชอบออกจากจวนไปเจอผู้คนในฐานะคุณหนูตระกูลใหญ่เท่าใดนัก จึงเข้าใจไปว่าไม่ค่อยมีคนรู้จักตน
“จริงๆ ข้าไม่ได้รู้จักเจ้า แต่ข้ารู้จักพี่ชายของเจ้า ท่านราชเลขาธิการจางผู้เปี่ยมไปด้วยความสามารถทั้งบู๊และบุ๋น เป็นขุนนางหนุ่มอนาคตไกลมีเหล่าสตรีหมายปอง และยังเป็นพี่ชายที่รักและหวงแหนน้องสาวเป็นอย่างมาก”
“มีสตรีหมายปองหรือเจ้าคะ รวมทั้งท่านด้วยหรือไม่”
“ข้าน่ะหรือ อืม...เขาก็รูปงามอยู่หรอก แต่หากเขาไม่ชอบข้า ข้าก็ไม่สนใจเขาหรอก เพราะตอนนี้ข้าว่าเจ้าน่าสนใจกว่าพี่ชายเจ้าเสียอีก”
“ท่านรู้จักชื่อแซ่ข้าแล้ว ไม่คิดจะแนะนำตัวบ้างหรือเจ้าคะ”
“ข้าหวังเยว่ฉิง คุณหนูใหญ่จวนเจ้ากรมคลัง แล้วที่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จาอยู่ข้างๆ ข้าคือเจิ้งเข่อชิง คุณหนูจวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย”
“ยินดีที่ได้รู้จักท่านทั้งสองเจ้าค่ะ ข้าจางชิงหนี่ว์ หรือเรียกสั้นๆ ว่าชิงหนี่ว์ก็ได้เจ้าค่ะ” เมื่ออีกฝ่ายแนะนำตัว ตามมารยาทนางก็ควรแจ้งชื่อแซ่ตนด้วย
“ยินดีที่ได้รู้จัก” คุณหนูจากจวนเจ้ากรมคลังกล่าว
“อืม” สตรีที่ตอบรับด้วยท่าทางเย่อหยิ่งคือคุณหนูจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายและเป็นนางร้ายนั่นเอง
“นี่เจ้า! เหตุใดถึงมองข้าด้วยสายตาเวทนาเช่นนั้น” คำกล่าวของเจิ้งเข่อชิงทำให้นางได้สติ
“ขออภัยเจ้าค่ะ พอดีข้าเห็นท่านแล้วคิดถึงสหายในวัยเด็กผู้หนึ่ง” นางโป้ปดไปเรื่อย แท้จริงแล้วนางแค่รู้สึกสงสารสตรีที่ถูกลิขิตให้มีชะตากรรมเดียวกับตน
เป็นคู่หมั้นที่ถูกต้องแต่กลับไม่ถูกรัก
“เอ๊ะ! นั่นมือเจ้าบาดเจ็บหรือ”
“เจ้าค่ะ ข้าซุกซนเผลอเดินเข้าไปในลานประลองของผู้ติดตามจึงโดนกระบี่บาด”
“ผู้ติดตามเจ้าช่างสะเพร่าเช่นนี้ควรขายออกไปให้หมด” หวังเยว่ฉิงกล่าวโทษ
“ไม่หรอกเจ้าค่ะ เป็นความผิดของข้าที่เข้าไปในที่แห่งนั้นโดยพลการ”
“เจ้าช่างจิตใจดี”
“โชคดีที่ไม่สวมใส่อาภรณ์สีขาว มิเช่นนั้นข้าคงคิดว่าเจ้าเป็นพวกสตรีดอกบัวขาว” คุณหนูจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าวเสียงห้วน
“ข้าต้องขออภัยแทนสหายข้าด้วย นางมีความหลังที่ไม่ดีเกี่ยวกับสตรีจิตใจดี ใสซื่อน่ะ”
“มิเป็นไรเจ้าค่ะ ข้าไม่ถือ แต่คุณหนูเจิ้งควรจะเรียนรู้การเป็นสตรีดอกบัวขาวไว้บ้างนะเจ้าคะ เพราะบุรุษบางคนต่อให้เก่งกาจเพียงใดก็ต้องโง่เง่าพลาดท่าให้กับสตรีดอกบัวขาว” นอกจากไม่ถือสา นางยังถือโอกาสสอดแทรกคำสอนให้กับอีกฝ่ายอย่างเป็นมิตร
“องค์รัชทายาทเสด็จ” สิ้นเสียงประกาศ บุรุษที่มีรูปร่างองอาจและรูปงามก็เดินออกมา โดยมีบุรุษอีกสองคนเดินตาม
“นั่นใครหรือเจ้าคะ” จางชิงหนี่ว์ที่เพิ่งมาร่วมงานเป็นครั้งแรกเอ่ยถาม
“คนเดินนำคือองค์รัชทายาท ส่วนบุรุษที่สวมอาภรณ์สีดำคือชินอ๋องซื่อจื่อ” พอกล่าวถึงตรงนี้หูนางก็อื้ออึงไม่ได้ยินคำพูดของสหายคนใหม่อีก
ชินอ๋องซื่อจื่อ ตัวซวยผู้นั้นรูปงามกว่าพระรองอีก มิน่านางเอกผู้นั้นถึงได้เลือกเขา แต่...ต่อให้รูปงามเพียงใด นางก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวหรอกนะ อยู่ห่างๆ กันเช่นนี้น่ะดีแล้ว
สตรีตัวน้อยรีบเบี่ยงสายตามองไปทางอื่นเมื่อจู่ๆ พระเอกตัวซวยดันหันมาสบตานางที่กำลังจดจ้องเขาอยู่พอดี
‘มิได้ ข้าไม่ควรสบตากับเขา แรงดึงดูดของพระเอกรุนแรงเกินไป ข้าอาจจะพลั้งเผลอเข้าไปในบทบาทเดิม’
การแต่งฮูหยินที่เร่งรีบของท่านราชครู มีคนมากมายที่อาจจะสงสัยว่าเหตุใดท่านราชครูจางเหว่ยถึงได้เร่งรีบตบแต่งเถ้าแก่เนี้ยร้านขายภาพวาดซือซือเข้าจวนจาง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีข่าวลือว่าคบหากัน หรืออาจจะเป็นเพราะได้เห็นบทเรียนจากการเล่าลือเรื่องของคุณหนูสวี่ ที่จู่ๆ คนเหล่านั้นบังเอิญลิ้นขาดกลายเป็นคนพูดไม่ได้ แต่โชคดีหนึ่งในนั้นมีคนเขียนอักษรได้ จึงได้เขียนเตือนคนรอบตัวไม่ให้เล่าลือเรื่องราวเกี่ยวกับเชื้อพระวงศ์หรือตระกูลที่ใกล้ชิดราชวงศ์ สุดท้ายจึงไม่มีใครกล้าเล่าลือหรือสงสัยถึงความเร่งรีบของท่านราชครู “พี่เหว่ย ท่านจะไม่เสียใจทีหลังห
ฮองเฮาพบปะสหาย ภายในจวนท่านราชเลขาฯจาง วุ่นวายไม่น้อยเมื่อมีผู้สูงศักดิ์มาเยือนโดยได้นัดหมายกันล่วงหน้า “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ” ชินอ๋องที่เพิ่งลงจากรถม้าแสดงความเคารพโอรสสวรรค์และฮองเฮา “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ” พระชายาสกุลจางที่ลงรถม้ามาภายหลังทำความเคารพอีกฝ่ายเช่นกัน “ตามสบายเถิด พวกเจ้าเป็นสหายของเราใช้คำธรรมดาสามัญเถิด”
“เจ้าโอบอุ้มบุตรชายของเราให้แน่นๆ ส่วนเจ้าพี่จะจับให้แน่นๆ เอง” กล่าวจบเขาก็ใช้วิชาตัวเบาโอบอุ้มพานางและบุตรชายกลับตำหนัก ทันทีที่ถึงตำหนักโจวหลี่หมิงถูกส่งตัวให้ซานจี สาวใช้ประจำตัวคนใหม่ของนางที่ทางพระสวามีหามาให้ แน่นอนว่านางมิใช่สาวใช้ธรรมดา เพราะสตรีผู้นี้คือองครักษ์เงาที่ถูกฝึกมาอย่างหนักเพื่อดูแลดวงใจของท่านอ๋อง “นำไปซื่อจื่อไปมอบให้แม่นมแล้วเจ้าไปพัก ข้าจะดูแลพระชายาเอง” บุรุษที่ชื่นชอบการปรนนิบัติฮูหยินกล่าว “แงๆ” แม้จะดีดดิ้นเพียงใด แต่บุตรชายมีหรือจะต่อต้านบิดาได้ “ท่านพี่ หากลูกไม่อยากไป...” ไม่มีมาร
เรื่องเล่าหลังเป็นพระชายาของชิงหนี่ว์ ดวงตาเมล็ดซิ่งทอดมองผืนดินที่เขียวชอุ่มไปด้วยพืชผัก ที่ดินผืนนี้นางใช้เงินที่ได้จากการวาดภาพขายมาซื้อเก็บไว้ เพื่อสร้างรายได้ให้กับบ่าวรับใช้ผู้ภักดีทั้งสอง ก่อนหน้าที่นางจะแต่งเข้าตำหนักอ๋องไม่นาน นางก็จัดการให้จื่อรั่วและจื่อเป่าที่ความสัมพันธ์คืบหน้าไปอย่างรวดเร็วได้เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกันก่อนจะคืนสัญญาทาสแล้วให้ทั้งสองคนย้ายมาปลูกจวนอยู่บนที่ผืนนี้ “พระชายาท่านนั่งพักดื่มน้ำก่อนเถิดเพคะ รอแดดร่มลมตกค่อยออกไปเดินดูด้านนอก”&
“เช่นนั้นก่อนจะลงโทษน้อง ท่านพี่กินข้าวก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ” “มิต้อง” กล่าวจบเขาก็รั้งนางเข้าไปแนบชิด มือใหญ่จับยึดคางเรียวเอาไว้ริมฝีปากร้อนกดลงบนกลีบปากบาง ลิ้นร้อนบุกรุกโพรงปากนางอย่างเอาแต่ใจ ในขณะที่มือช่วยปลดเปลื้องอาภรณ์ให้นางอย่างรวดเร็ว ช่างใจร้อนเสียจริง... ดวงหน้าหวานแดงก่ำด้วยความเขินอาย เมื่อพระสวามีของตนที่เพิ่งถอนจุมพิตเร่าร้อนเมื่อครู่ จับจ้องนางราวกับหมาป่าหิวกระหาย “น้องหญิงของพี่เลิศรสกว่าอาหารใดๆ” กล่าวจบเขาก็ช้อนเรือนร่างเปลือยเปล่าเข้าหลังฉากกั้น ว่ากันว่าฮองเฮาชื่นชอบการแช่น้ำร้อน ภายในตำหนักจึงมีบ่อน้ำร้อนขนาดใหญ่อยู่ติดห้องบรรทม 
ฮ่องเต้ผู้เด็ดขาดกับฮองเฮา (แค่บนเตียง) นัยน์ตาดำของบุรุษสูงศักดิ์จับจ้องใบหน้าของสตรีที่ตนรักอย่างไม่ละสายตา มือใหญ่ช่วยคีบอาหารใส่ชามให้นางอย่างเอาใจ “ท่านพี่กินบ้างเถิดเจ้าค่ะ อย่ามัวแต่คีบให้ข้าเลยเจ้าค่ะ” แม้ยามนี้ทั้งสอ