‘มิได้ ข้าไม่ควรสบตากับเขา แรงดึงดูดของพระเอกรุนแรงเกินไป ข้าอาจจะพลั้งเผลอเข้าไปในบทบาทเดิม’
“ชิงหนี่ว์ เจ้าฟังข้าอยู่หรือไม่”
“ขออภัยเจ้าค่ะ นานๆ ทีข้าจะได้ออกมาร่วมงานเช่นนี้ ข้าจึงพลั้งเผลอมองบุรุษรูปงามนานเกินไปบ้าง”
“ข้าชอบเจ้ายิ่ง เรามาเป็นสหายกันเถิด” หวังเยว่ฉิงคว้ามือน้อยมาจับไว้ด้วยความดีใจ สตรีตรงไปตรงมาไม่เสแสร้งในเมืองหลวงช่างหากได้ยากยิ่ง
“ข้ายินดีเจ้าค่ะ ท่านล่ะเจ้าคะ อยากเป็นสหายของข้าด้วยหรือไม่” จางชิงหนี่ว์หันไปเอ่ยถามแล้วส่งยิ้มกว้างให้กับนางร้ายที่นั่งเงียบ
“อะ...อืม”
“เข่อชิงตอบรับแล้ว เช่นนั้นต่อจากนี้เราเป็นสหายกันแล้วนะ” หวังเยว่ฉิงกล่าวอย่างอารมณ์ดี พลางเอามือข้างหนึ่งของนางไปวางลงบนมือของเจิ้งเข่อชิงทำให้เจ้าตัวรีบก้มหน้าลงเพื่อซ่อนสีหน้า
‘เหตุใดสตรีผู้นี้ถึงได้งดงามน่ามองเช่นนี้’ คุณหนูเจิ้งผู้เย่อหยิ่งไม่เข้าใจตนเองว่าเหตุใดถึงใจเต้นแรงยามเห็นรอยยิ้มของสหายคนใหม่
เมื่อปรับเปลี่ยนสีหน้าได้แล้วจึงเงยขึ้นมองคุณหนูจางก่อนจะส่งยิ้มให้อย่างจริงใจ
“คุณหนูเจิ้ง ท่านเหมาะกับรอยยิ้มเช่นนี้มาก” คำกล่าวชื่นชมที่ตรงไปตรงมาทำให้ดวงหน้าหวานของเจิ้งเข่อชิงเห่อร้อน
“คุณหนูเจิ้งอันใดกัน เราเป็นสหายกันแล้วเจ้าเรียกนางว่าเข่อชิงก็พอ”
“อืม...เมื่อครู่ที่เจ้าบอกข้าว่าบุรุษที่สวมอาภรณ์สีดำคือชินอ๋องซื่อจื่อ แล้วอีกคนคือใครหรือ”
“คุณชายใหญ่หลิวเฟิงเหมียนน่ะ เขาเป็นสหายขององค์รัชทายาทและชินอ๋องซื่อจื่อ”
“คุณชายหลิวน่ะหรือ” มีใบหน้าเช่นนี้เอง รูปงามไม่น้อยดวงตาเมล็ดซิ่งจับจ้องไปที่คุณชายเจ้าของจวนก่อนจะยกยิ้มเล็กน้อย
เพราะมัวแต่จดจ้องผู้อื่นจางชิงหนี่ว์จึงไม่ได้รับรู้ว่าสตรีที่ตนเองเรียกว่านางร้ายกำลังมองตนด้วยสายตาเช่นไร
‘ข้าจะไปบอกท่านพ่อให้จัดการปฏิเสธการหมั้นหมายกับองค์รัชทายาท บุรุษที่หลงสตรีดอกบัวขาวโง่เง่าเช่นนั้นใครจะสนใจกัน ชิงหนี่ว์ผู้นี้น่าสนใจและน่าทะนุถนอมกว่าตั้งมาก’
ด้านคุณชายหลิวที่กำลังนั่งสนทนากับองค์รัชทายาทโจวเฟยหลง จู่ๆ ก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก พอหันไปมองหน้าสหายก็เจอเข้ากับดวงตาดุดันของชินอ๋องซื่อจื่อ
“อันฉี ข้าเผลอไปเหยียบเท้าเจ้าหรือไม่”
“ไม่”
“แล้วเหตุใดถึงได้มองข้าด้วยแววตาเช่นนั้น”
“ข้าว่าใบหน้าของเจ้าควรจะมีรอยสักสองสามรอย ยามมองเจ้าข้าจะได้สบายตาขึ้น” แม้น้ำเสียงที่กล่าวจะราบเรียบ แต่แววตาที่จับจ้องสหายกลับดุดัน
“นี่เจ้ากำลังหึงหวงข้าที่มีสตรีจับจ้อง จึงได้ทุบไหน้ำส้มจนแตกเปรอะเปื้อนอาภรณ์ใช่หรือไม่”
“...” ชินอ๋องซื่อจื่อไม่ตอบแต่เริ่มแผ่ไอสังหารออกมาแทน
“อันฉี เฟิงเหมียนพวกเจ้าหยุดหยอกล้อกันก่อน ประเดี๋ยวก็จะมีแม่นางมาแสดงความสามารถให้ชื่นชมแล้ว”
“ที่แท้งานจิบชาชมดอกไม้ไม่ได้จัดขึ้นมาเพื่อข้า แต่จัดมาเพื่อพระองค์” ได้ข่าวว่าคุณหนูสวี่ที่องค์รัชทายาทพึงใจก็มาร่วมงานด้วย
“อย่าปากมาก” โจวอันฉีบอกสหาย
“เฟิงเหมียน เจ้ารู้จักคุณหนูจางชิงหนี่ว์เป็นการส่วนตัวหรือไม่” โจวเฟยหลงเอ่ยถามหลังจากได้ยินมาว่าท่านราชเลขาฯ ของบิดาพาน้องสาวมาร่วมงานที่จวนหลิวเป็นครั้งแรก
“จางชิงหนี่ว์หรือ เท่าที่จำได้ข้าไม่เคยเจอนางมาก่อน วันนี้นางมาด้วยหรือ นั่งอยู่จุดใดข้าได้ยินเสียงเล่าลือมานานถึงความหวงแหนน้องสาวของราชเลขาธิการจางวันนี้หากได้พบหน้าคงดีไม่น้อยจะได้รู้กันไปเลยว่านางงดงามสมกับที่พี่ชายหวงแหนหรือไม่”
“ก็เป็นเพียงสตรีผู้หนึ่ง ไม่ได้งดงามอันใดมากมาย เจ้าอย่าได้ให้ความสนใจเลย”
“ไม่งดงามอันใดมากหรือ กล่าวคล้ายเจ้าเคยเจอนางแล้ว โอ๊ะ! ข้าลืมไปจวนเจ้าอยู่ข้างๆ จวนราชครูจาง คงได้พบเจอนางบ่อยครั้งใช่หรือไม่” คุณชายหลิวหันไปถามชินอ๋องซื่อจื่อ
“มิน่า...จางชิงเทียนถึงไม่ค่อยชอบหน้าอันฉี คงเพราะกลัวไปล่อลวงน้องสาวที่ตนหวงแหน” องค์รัชทายาทกล่าว จะว่าไปเขาก็เคยเจอจางชิงหนี่ว์เพียงหนึ่งครั้งเมื่อตอนนางอายุสิบขวบ ตอนที่ท่านแม่ทัพประจิมจางหย่งเอาชนะผู้นำชนเผ่าทะเลทรายได้และสิ้นชีพในสนามรบ ด้วยความดีความชอบบิดาของเขาจึงเรียกนางและพี่ชายเข้าวังเพื่อรับความดีความชอบแทนบิดา
สตรีตัวน้อยที่กล่าวปฏิเสธข้อเสนอการหมั้นหมายกับชินอ๋องซื่อจื่อพร้อมทั้งปฏิเสธรางวัลทั้งหมดแลกกับราชโองการเลือกคู่ครองด้วยตนเอง
การแต่งฮูหยินที่เร่งรีบของท่านราชครู มีคนมากมายที่อาจจะสงสัยว่าเหตุใดท่านราชครูจางเหว่ยถึงได้เร่งรีบตบแต่งเถ้าแก่เนี้ยร้านขายภาพวาดซือซือเข้าจวนจาง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีข่าวลือว่าคบหากัน หรืออาจจะเป็นเพราะได้เห็นบทเรียนจากการเล่าลือเรื่องของคุณหนูสวี่ ที่จู่ๆ คนเหล่านั้นบังเอิญลิ้นขาดกลายเป็นคนพูดไม่ได้ แต่โชคดีหนึ่งในนั้นมีคนเขียนอักษรได้ จึงได้เขียนเตือนคนรอบตัวไม่ให้เล่าลือเรื่องราวเกี่ยวกับเชื้อพระวงศ์หรือตระกูลที่ใกล้ชิดราชวงศ์ สุดท้ายจึงไม่มีใครกล้าเล่าลือหรือสงสัยถึงความเร่งรีบของท่านราชครู “พี่เหว่ย ท่านจะไม่เสียใจทีหลังห
ฮองเฮาพบปะสหาย ภายในจวนท่านราชเลขาฯจาง วุ่นวายไม่น้อยเมื่อมีผู้สูงศักดิ์มาเยือนโดยได้นัดหมายกันล่วงหน้า “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ” ชินอ๋องที่เพิ่งลงจากรถม้าแสดงความเคารพโอรสสวรรค์และฮองเฮา “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ” พระชายาสกุลจางที่ลงรถม้ามาภายหลังทำความเคารพอีกฝ่ายเช่นกัน “ตามสบายเถิด พวกเจ้าเป็นสหายของเราใช้คำธรรมดาสามัญเถิด”
“เจ้าโอบอุ้มบุตรชายของเราให้แน่นๆ ส่วนเจ้าพี่จะจับให้แน่นๆ เอง” กล่าวจบเขาก็ใช้วิชาตัวเบาโอบอุ้มพานางและบุตรชายกลับตำหนัก ทันทีที่ถึงตำหนักโจวหลี่หมิงถูกส่งตัวให้ซานจี สาวใช้ประจำตัวคนใหม่ของนางที่ทางพระสวามีหามาให้ แน่นอนว่านางมิใช่สาวใช้ธรรมดา เพราะสตรีผู้นี้คือองครักษ์เงาที่ถูกฝึกมาอย่างหนักเพื่อดูแลดวงใจของท่านอ๋อง “นำไปซื่อจื่อไปมอบให้แม่นมแล้วเจ้าไปพัก ข้าจะดูแลพระชายาเอง” บุรุษที่ชื่นชอบการปรนนิบัติฮูหยินกล่าว “แงๆ” แม้จะดีดดิ้นเพียงใด แต่บุตรชายมีหรือจะต่อต้านบิดาได้ “ท่านพี่ หากลูกไม่อยากไป...” ไม่มีมาร
เรื่องเล่าหลังเป็นพระชายาของชิงหนี่ว์ ดวงตาเมล็ดซิ่งทอดมองผืนดินที่เขียวชอุ่มไปด้วยพืชผัก ที่ดินผืนนี้นางใช้เงินที่ได้จากการวาดภาพขายมาซื้อเก็บไว้ เพื่อสร้างรายได้ให้กับบ่าวรับใช้ผู้ภักดีทั้งสอง ก่อนหน้าที่นางจะแต่งเข้าตำหนักอ๋องไม่นาน นางก็จัดการให้จื่อรั่วและจื่อเป่าที่ความสัมพันธ์คืบหน้าไปอย่างรวดเร็วได้เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกันก่อนจะคืนสัญญาทาสแล้วให้ทั้งสองคนย้ายมาปลูกจวนอยู่บนที่ผืนนี้ “พระชายาท่านนั่งพักดื่มน้ำก่อนเถิดเพคะ รอแดดร่มลมตกค่อยออกไปเดินดูด้านนอก”&
“เช่นนั้นก่อนจะลงโทษน้อง ท่านพี่กินข้าวก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ” “มิต้อง” กล่าวจบเขาก็รั้งนางเข้าไปแนบชิด มือใหญ่จับยึดคางเรียวเอาไว้ริมฝีปากร้อนกดลงบนกลีบปากบาง ลิ้นร้อนบุกรุกโพรงปากนางอย่างเอาแต่ใจ ในขณะที่มือช่วยปลดเปลื้องอาภรณ์ให้นางอย่างรวดเร็ว ช่างใจร้อนเสียจริง... ดวงหน้าหวานแดงก่ำด้วยความเขินอาย เมื่อพระสวามีของตนที่เพิ่งถอนจุมพิตเร่าร้อนเมื่อครู่ จับจ้องนางราวกับหมาป่าหิวกระหาย “น้องหญิงของพี่เลิศรสกว่าอาหารใดๆ” กล่าวจบเขาก็ช้อนเรือนร่างเปลือยเปล่าเข้าหลังฉากกั้น ว่ากันว่าฮองเฮาชื่นชอบการแช่น้ำร้อน ภายในตำหนักจึงมีบ่อน้ำร้อนขนาดใหญ่อยู่ติดห้องบรรทม 
ฮ่องเต้ผู้เด็ดขาดกับฮองเฮา (แค่บนเตียง) นัยน์ตาดำของบุรุษสูงศักดิ์จับจ้องใบหน้าของสตรีที่ตนรักอย่างไม่ละสายตา มือใหญ่ช่วยคีบอาหารใส่ชามให้นางอย่างเอาใจ “ท่านพี่กินบ้างเถิดเจ้าค่ะ อย่ามัวแต่คีบให้ข้าเลยเจ้าค่ะ” แม้ยามนี้ทั้งสอ