3
ความเก่งกาจของสหายคนใหม่
ด้านหลิวเฟิงเหมียนที่หลังจากช่วยกู้หน้าให้สาวงามแล้วกลับมานั่งที่เดิม กำลังจะยกชาขึ้นจิบต้องชะงักเมื่อเห็นสายตาไม่ใคร่พอใจของสหาย
“อันฉี หากเจ้าไม่พอใจข้าที่ลุกไปเก็บผ้าคลุมหน้าให้กับคุณหนูสวี่ เหตุใดเจ้าไม่ลุกไปเองเล่า” เพราะได้ยินมาจากน้องสาวว่าคุณหนูสวี่กับชินอ๋องซื่อจื่อมีใจให้กัน จึงคิดว่าสหายเกรงใจองค์รัชทายาทที่ก็มีใจให้คุณหนูสวี่จึงไม่กล้าแสดงออกมากนัก ตนเองก็เลยช่วยรักษามารยาทให้
“ข้ามาคิดดูแล้ว ใบหน้าของเจ้าควรมีรอยตำหนิสักสองสามรอยจริง”
“อย่าได้คิดทำเช่นนั้นเชียว”
“เช่นนั้นก็ไปทำให้ใบหน้าตนไม่น่ามองซะ” ดวงตาดำของโจวอันฉีฉายแววจริงจังจนสหายขนลุก
“หากเจ้าไม่พอใจข้าเรื่องคุณหนูสวี่ เจ้าไม่ต้องห่วงไปหรอกอย่างไรนางก็ยังชื่นชอบเจ้า”
“หุบปากซะ”
“แค่กล่าวถึงก็ไม่ได้ เจ้ามันขี้หวงเกินไปแล้ว”
‘ต่อไปเป็นการแสดงความสามารถของคุณหนูเจิ้ง จากจวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย’
“หากข้าจำไม่ผิดในรายชื่อคุณหนูที่จะขึ้นแสดงไม่มีชื่อของคุณหนูเจิ้งนี่” หลิวเฟิงเหมียนงุนงง เพราะคนจัดการเรื่องนี้คือน้องสาวของเขาที่ไม่ใคร่จะชอบหน้าคุณหนูจวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย ดังเช่นบิดาที่ก็ไม่ชอบเสนาบดีฝ่ายซ้าย แล้วนางจะขึ้นแสดงได้อย่างไร
“หึ” ชินอ๋องซื่อจื่อปรายตามองโจวเฟยหลงครู่หนึ่งก่อนเค้นเสียงจากลำคอ
“ข้าเบื่อหน่ายเจ้าจริงๆ อันฉี” คุณชายหลิวได้แต่ถอดถอนใจกับความปากหนักของสหาย
ทางฝั่งสตรีก็งุนงงไม่น้อยที่จู่ๆ สตรีที่ตนไม่ชอบหน้าถูกประกาศเรียกให้ขึ้นแสดงต่อจากโฉมงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง
“เจ้าใส่ชื่อนางไปด้วยหรือเมิ่งเอ๋อร์” สวี่ลู่ฟางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“ไม่นะ ในรายชื่อที่ข้าเขียนไม่มีรายชื่อของนาง”
“หากเจ้าไม่ได้ใส่แล้วใครกันที่เพิ่มชื่อนางลงไป”
“ข้าก็อยากทราบเช่นกัน ลู่ฟางเจ้าไม่โกรธข้าใช่หรือไม่ที่จู่ๆ เข่อชิงได้ขึ้นแสดงความสามารถ” หลิวเมิ่งที่เป็นสหายและรับรู้มาตลอดว่าคุณหนูแห่งจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายไม่ใคร่ชอบหน้าสหายตนถึงขั้นปล่อยข่าวว่าสหายตนลอบเจอองค์รัชทายาทหวังทำลายชื่อเสียง ไหนจะส่งคนมากลั่นแกล้งอีกมากมาย
“ข้าจะกล้าโกรธเจ้าได้อย่างไร แค่เจ้ายอมใส่ชื่อให้ข้าได้แสดงเป็นคนแรก ข้าก็ขอบคุณมากแล้ว”
“เจ้าช่างจิตใจดี ขอบคุณนะที่ไม่โกรธข้า”
“อืม” สวี่ลู่ฟางตอบรับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนสมกับสมญานาม โฉมสะคราญอันดับหนึ่งของเมืองหลวง
ในขณะที่สหายรักทั้งสองคนกำลังสนทนากัน คุณหนูอีกคนก็กำลังต่อว่าคนที่กลั่นแกล้งสหายตนหวังให้อับอาย
“กัดไม่ปล่อยเลยจริงๆ หลิวเมิ่ง” หวังเยว่ฉิงกล่าวพลางมองไปที่คุณหนูเจ้าของจวนด้วยสายตาไม่พอใจ เพราะรู้ดีว่าสหายของตนไม่มีทางไปลงชื่อเพื่อแสดงความสามารถแน่นอน
“ช่างเถิด ในเมื่อพวกนางอยากประจักษ์ด้วยตาตนเอง ข้าก็จะทำให้พวกอ่อนหัดได้เห็น ชิงหนี่ว์เจ้าดูข้าให้ดีๆ นะ”
“อื้ม...ข้าจะคอยมองเจ้าอยู่ตลอด ใช้ความสามารถตอกกลับสตรีพวกนั้นให้หน้าหงายไปเลย” รู้จักความสามารถของว่าที่ฮองเฮาผู้นี้น้อยไปเสียแล้ว เจิ้งเข่อชิงเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่มีหรือจะเก่งกาจน้อยไปกว่าบุตรสาวหมอชาวบ้านที่บังเอิญโชคดีรักษาพระสนมหาย จึงได้เป็นหมอหลวงอยู่ในวังหลวง
นางร้ายนิสัยดีส่งยิ้มให้นางก่อนจะเดินออกไปด้านหน้าเพื่อแสดงความสามารถให้คนที่คิดกลั่นแกล้งนางได้เห็น
“ชิงหนี่ว์เจ้าเป็นตัวนำโชคของข้าจริงๆ”
“ตัวนำโชค? ข้าหรือ” คุณหนูจางมีสีหน้างุนงง
“เพราะความน่ารักน่าเอ็นดูของเจ้า เข่อชิงถึงได้ยิ้มออก เจ้ารู้หรือไม่ตั้งแต่ได้รู้ว่าตนต้องหมั้นหมายกับองค์รัชทายาท เข่อชิงไม่เคยยิ้มเช่นวันนี้อีกเลย วันๆ นางเอาแต่ฝึกฝนการเป็นฮองเฮาไม่หยุดพัก”
“แล้วเข่อชิงมีใจให้องค์รัชทายาทหรือไม่”
“มีหรือไม่ บิดามารดาไม่สนใจหรอก ทุกคนสนใจแต่ความเหมาะสม ในความโชคร้ายของเจ้ายังมีความโชคดีอยู่เพราะอย่างน้อยเจ้าก็ไม่ต้องโดนบังคับให้หมั้นหมายหรือแต่งกับบุรุษคนไหน” เมื่อไม่มีบิดามารดาก็ไม่ต้องโดนบังคับ
“แล้วเรื่องที่ถูกเล่าลือของคุณหนูสวี่นั่นเป็นเรื่องจริงหรือไม่”
“เพราะเป็นเรื่องจริง เข่อชิงจึงไม่ชอบสตรีดอกบัวขาว”
“อืม...เป็นสตรีดอกบัวขาวจริงๆ นั่นแหละ” นางยิ้มก่อนจะหันไปมองสหายคนใหม่ที่กำลังจะเริ่มบรรเลงเพลง
ตึง...เมื่อเสียงเริ่มดังขึ้นทุกคนต่างแปลกใจกับท่วงท่าการบรรเลงเพลงของคุณหนูเจิ้งผู้มาจากตระกูลใหญ่ เพลงที่เลือกเป็นเพลงที่บอกเรื่องราวของสตรีผู้หนึ่งที่เบื่อหน่ายกับความรักจึงอยากปล่อยวางแล้วท่องออกไปในโลกกว้าง
แม้ที่ผ่านมาคุณหนูเจิ้งจะเย่อหยิ่งและมีข่าวลือว่าร้ายกาจแต่บุรุษทั้งหลายที่กำลังจับจ้องอยู่ก็ไม่อาจจะปฏิเสธความงดงามเย้ายวนของนางได้ หากเปรียบคุณหนูสวี่ลู่ฟางเป็นดอกโบตั๋น[1]ที่งดงามเพียบพร้อม คุณหนูเจิ้งเข่อชิงคงจะเปรียบดังดอกเหมยกุ้ย[2] ที่สวยงามกลิ่นหอมและเย้ายวนน่าสัมผัสแต่ทว่ามีหนามแหลมคมคอยปกป้อง ต่างจากดอกโบตั๋นที่สามารถชื่นชมและเข้าถึงง่าย
ท่าทางสง่างามไร้ที่ติของคุณหนูแห่งจวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย และสายตาบุรุษที่จับจ้องนางด้วยความชื่นชมทำให้สตรีนางหนึ่งจิกเล็บลงบนฝ่ามือใต้อาภรณ์อย่างแรงเพื่อข่มโทสะตน
ยิ่งนัยน์ตาหงส์ของสตรีผู้นั้นมองเห็นบุรุษที่นั่งในตำแหน่งเหนือกว่าผู้อื่นจ้องมองไปที่ว่าที่คู่หมั้นด้วยสายตาล้ำลึก ยิ่งทำให้นางไม่พอใจ
[1] ดอกพีโอนี (Peony)
[2] ดอกกุหลาบ
การแต่งฮูหยินที่เร่งรีบของท่านราชครู มีคนมากมายที่อาจจะสงสัยว่าเหตุใดท่านราชครูจางเหว่ยถึงได้เร่งรีบตบแต่งเถ้าแก่เนี้ยร้านขายภาพวาดซือซือเข้าจวนจาง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีข่าวลือว่าคบหากัน หรืออาจจะเป็นเพราะได้เห็นบทเรียนจากการเล่าลือเรื่องของคุณหนูสวี่ ที่จู่ๆ คนเหล่านั้นบังเอิญลิ้นขาดกลายเป็นคนพูดไม่ได้ แต่โชคดีหนึ่งในนั้นมีคนเขียนอักษรได้ จึงได้เขียนเตือนคนรอบตัวไม่ให้เล่าลือเรื่องราวเกี่ยวกับเชื้อพระวงศ์หรือตระกูลที่ใกล้ชิดราชวงศ์ สุดท้ายจึงไม่มีใครกล้าเล่าลือหรือสงสัยถึงความเร่งรีบของท่านราชครู “พี่เหว่ย ท่านจะไม่เสียใจทีหลังห
ฮองเฮาพบปะสหาย ภายในจวนท่านราชเลขาฯจาง วุ่นวายไม่น้อยเมื่อมีผู้สูงศักดิ์มาเยือนโดยได้นัดหมายกันล่วงหน้า “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ” ชินอ๋องที่เพิ่งลงจากรถม้าแสดงความเคารพโอรสสวรรค์และฮองเฮา “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ” พระชายาสกุลจางที่ลงรถม้ามาภายหลังทำความเคารพอีกฝ่ายเช่นกัน “ตามสบายเถิด พวกเจ้าเป็นสหายของเราใช้คำธรรมดาสามัญเถิด”
“เจ้าโอบอุ้มบุตรชายของเราให้แน่นๆ ส่วนเจ้าพี่จะจับให้แน่นๆ เอง” กล่าวจบเขาก็ใช้วิชาตัวเบาโอบอุ้มพานางและบุตรชายกลับตำหนัก ทันทีที่ถึงตำหนักโจวหลี่หมิงถูกส่งตัวให้ซานจี สาวใช้ประจำตัวคนใหม่ของนางที่ทางพระสวามีหามาให้ แน่นอนว่านางมิใช่สาวใช้ธรรมดา เพราะสตรีผู้นี้คือองครักษ์เงาที่ถูกฝึกมาอย่างหนักเพื่อดูแลดวงใจของท่านอ๋อง “นำไปซื่อจื่อไปมอบให้แม่นมแล้วเจ้าไปพัก ข้าจะดูแลพระชายาเอง” บุรุษที่ชื่นชอบการปรนนิบัติฮูหยินกล่าว “แงๆ” แม้จะดีดดิ้นเพียงใด แต่บุตรชายมีหรือจะต่อต้านบิดาได้ “ท่านพี่ หากลูกไม่อยากไป...” ไม่มีมาร
เรื่องเล่าหลังเป็นพระชายาของชิงหนี่ว์ ดวงตาเมล็ดซิ่งทอดมองผืนดินที่เขียวชอุ่มไปด้วยพืชผัก ที่ดินผืนนี้นางใช้เงินที่ได้จากการวาดภาพขายมาซื้อเก็บไว้ เพื่อสร้างรายได้ให้กับบ่าวรับใช้ผู้ภักดีทั้งสอง ก่อนหน้าที่นางจะแต่งเข้าตำหนักอ๋องไม่นาน นางก็จัดการให้จื่อรั่วและจื่อเป่าที่ความสัมพันธ์คืบหน้าไปอย่างรวดเร็วได้เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกันก่อนจะคืนสัญญาทาสแล้วให้ทั้งสองคนย้ายมาปลูกจวนอยู่บนที่ผืนนี้ “พระชายาท่านนั่งพักดื่มน้ำก่อนเถิดเพคะ รอแดดร่มลมตกค่อยออกไปเดินดูด้านนอก”&
“เช่นนั้นก่อนจะลงโทษน้อง ท่านพี่กินข้าวก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ” “มิต้อง” กล่าวจบเขาก็รั้งนางเข้าไปแนบชิด มือใหญ่จับยึดคางเรียวเอาไว้ริมฝีปากร้อนกดลงบนกลีบปากบาง ลิ้นร้อนบุกรุกโพรงปากนางอย่างเอาแต่ใจ ในขณะที่มือช่วยปลดเปลื้องอาภรณ์ให้นางอย่างรวดเร็ว ช่างใจร้อนเสียจริง... ดวงหน้าหวานแดงก่ำด้วยความเขินอาย เมื่อพระสวามีของตนที่เพิ่งถอนจุมพิตเร่าร้อนเมื่อครู่ จับจ้องนางราวกับหมาป่าหิวกระหาย “น้องหญิงของพี่เลิศรสกว่าอาหารใดๆ” กล่าวจบเขาก็ช้อนเรือนร่างเปลือยเปล่าเข้าหลังฉากกั้น ว่ากันว่าฮองเฮาชื่นชอบการแช่น้ำร้อน ภายในตำหนักจึงมีบ่อน้ำร้อนขนาดใหญ่อยู่ติดห้องบรรทม 
ฮ่องเต้ผู้เด็ดขาดกับฮองเฮา (แค่บนเตียง) นัยน์ตาดำของบุรุษสูงศักดิ์จับจ้องใบหน้าของสตรีที่ตนรักอย่างไม่ละสายตา มือใหญ่ช่วยคีบอาหารใส่ชามให้นางอย่างเอาใจ “ท่านพี่กินบ้างเถิดเจ้าค่ะ อย่ามัวแต่คีบให้ข้าเลยเจ้าค่ะ” แม้ยามนี้ทั้งสอ