7
อดีตที่ค้างคาของชินอ๋องซื่อจื่อ
ย้อนกลับไปเมื่อเก้าปีก่อนตอนนั้นเขาอายุเพียงสิบสองปี ส่วนนางเป็นเจ้าก้อนแป้งอายุห้าขวบปี เขาซึ่งเป็นศิษย์ของท่านราชครูจางเหว่ยสามารถเข้าออกจวนจางได้ราวกับจวนของตนเอง ส่วนหนึ่งก็เพราะชินอ๋องและท่านราชครูจางเป็นสหายกัน จึงย้ายออกจากวังแล้วมาปลูกเรือนอยู่ข้างๆ จวนจาง
“พี่ชายท่านเป็นใครหรือเจ้าคะ”
“ไปให้พ้น อย่ามายุ่งกับข้า”
“รูปก็งามแต่เหตุใดปากถึงได้กล่าววาจาไม่น่าฟัง” สตรีตัวน้อยกล่าวพลางเอานิ้วชี้แตะคางตน ดวงตาที่จับจ้องเขาเต็มไปด้วยความสงสัย
ท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูนั่นทำให้เขาอ่อนลงและยอมพูดคุยกับนาง นั่นคือจุดเริ่มต้นที่เราสองคนได้พบกัน เขาสนทนาและมาเล่นเป็นเพื่อนเด็กน้อยอยู่หลายครั้งโดยที่ไม่รู้จักกันแม้แต่ชื่อแซ่
เนิ่นนานเกือบเจ็ดวันกว่าเขาจะทราบว่าแท้จริงเจ้าก้อนแป้งน่าเอ็นดู คือสตรีที่บุรุษตระกูลจางทุกคนหวงแหนดุจแก้วตาดวงใจ และวันนั้นมันก็มาพร้อมกับความสงสัยที่ทำให้เขาคาใจมาจนถึงทุกวันนี้
“แฮ่กๆ เหนื่อยชะมัด เมื่อใดขาข้าจะยาวเช่นผู้อื่น” เสียงของเด็กน้อยผู้หนึ่งดังขึ้น
“ฮึก...ฮึก” เขาพยายามกลั้นสะอื้นเพราะไม่อยากแสดงให้เด็กน้อยวัยห้าขวบได้เห็นด้านที่อ่อนแอ
“นั่นเสียงผี หรือไม่”
“ผะ ผีบุรุษ” สตรีตัวน้อยร้องออกมาเสียงตะกุกตะกัก ใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม อยากวิ่งหนีใจแทบขาด แต่สองเท้าไม่ยอมขยับ
“ข้าไม่ใช่ผี เจ้าจำพี่ชายผู้นี้ไม่ได้แล้วหรือ” เด็กชายวัยสิบสองกล่าวหลังจากเช็ดคราบน้ำตาบนหน้าเรียบร้อยแล้ว
“ท่านเพิ่งตายใหม่สินะ คงยังไม่รู้ตัว ไว้ข้าจะทำบุญทำทานไปให้ ท่านอย่าได้มาหลอกมาหลอนข้าเลย” เด็กน้อยใช้สองมือปิดตาด้วยความกลัว ร่างเล็กสั่นเทา ไม่มีสติมากพอจะรับรู้ในสิ่งที่เขากล่าว
“เจ้าเด็กโง่เง่า ข้าคือพี่ชายรูปงามของเจ้า ไม่ได้เจอกันสองวัน เจ้าลืมข้าแล้วหรือ” เขากล่าวพลางดึงมือนางที่ยกขึ้นมาปิดตาออก
“พี่ชาย ท่านอย่าได้หลอกข้าเช่นนี้สิเจ้าคะ ข้ากลัว” นางกล่าวพลางโผเข้าไปกอดบุรุษตรงหน้า
ก็มารยาไปเช่นนั้นแหละจะได้ดูเป็นเด็กน่าเอ็นดู แท้จริงนางจะกลัวไปทำไมผี ในเมื่อตนเองก็ตายเป็นผีก่อนจะมาเกิดเป็นจางชิงหนี่ว์
ที่พิเศษกว่าผู้อื่นหน่อยก็คือนางจำเรื่องราวในชาติก่อนของตนได้จึงรู้ดีว่าที่แห่งนี้เป็นเพียงนิยายเรื่องหนึ่งที่ตนเคยอ่าน
“...” เขายืนนิ่งไม่ขยับ
“แล้วท่านเป็นอันใด เหตุใดถึงได้มานั่งร้องไห้คนเดียวที่นี่เจ้าคะ” นางเอ่ยถามด้วยท่าทางไร้เดียงสา ดวงตาที่จับจ้องเขาฉายแววสงสัยใคร่รู้
“ข้าไม่ได้ร้องไห้ เจ้าได้ยินผิดแล้ว ข้าเพียงแค่กำลังเสียใจ”
“พี่ชายท่านเสียใจเรื่องอันใดเจ้าคะ ท่านสามารถกล่าวกับข้าได้”
“มารดาข้าตายแล้ว”
อ๋อ...เข้าใจแล้วมารดาจากลา บุตรชายถึงได้มานั่งร้องไห้เงียบๆ อยู่ในที่ลับตาคน เด็กชายผู้นี้คงมาจากตระกูลใหญ่สินะ บุรุษยุคนี้มักจะถูกสั่งสอนไม่ให้ร้องไห้ แต่ก็นะไม่ว่าจะบุรุษหรือสตรี เมื่อเสียใจก็ควรจะหลั่งน้ำตาบ้าง จะได้ปลดปล่อยความโศกเศร้าที่อยู่ภายในจิตใจ
“แม่ท่านหรือเจ้าคะ ข้าเสียใจด้วย”
“อืม”
“เช่นนั้นหากท่านอยากร้องไห้ก็ร้องเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนท่านเอง”
“ข้าบอกแล้วอย่างไร ว่าข้าไม่ได้ร้องไห้ เป็นบุรุษห้ามหลั่งน้ำตาง่ายๆ ไม่ใช่หรือ”
ยังไม่ยอมรับอีกทั้งๆ ที่น้ำตาแทบจะไหลรินออกมาจากดวงตาแล้ว
“ท่านอย่าไปฟังพวกคนตัวโตกล่าวให้มาก หากดีใจก็หัวเราะออกมา หากเสียใจก็ร้องไห้ แต่ท่านต้องร้องไห้แค่ตอนอยู่กับข้าเท่านั้นนะเจ้าคะ”
“เพราะเหตุใด” คนตัวโตที่นางกล่าวคงหมายถึงพวกผู้ใหญ่
“เพราะข้าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับให้ ไม่บอกใคร เมื่อเราเสียใจหากไม่ร้องไห้ออกมาน้ำตาจะท่วมอยู่ด้านในจนโศกเศร้าทำอันใดก็ไม่ได้นะเจ้าคะ และข้าก็คิดว่าท่านแม่ของท่านคงไม่อยากให้ท่านเก็บความโศกเศร้านี้ไว้กับตัวหรอกเจ้าค่ะ ดังนั้นท่านต้องปลดปล่อยมันออกมาทางน้ำตา”
“เป็นเช่นนั้นหรือ” กล่าวจบน้ำตาของเด็กชายวัยสิบสองก็เริ่มไหลรินอีกครั้ง
“เจ้าค่ะ ร้องออกมาเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะไม่ล้อท่าน” แม่ตายทั้งคน ใครบ้างไม่อยากร้องไห้
“ฮึก เจ้าจะไม่บอกใครจริงๆ นะ”
“อืม ข้าสัญญา” สตรีตัวน้อยกล่าวและชูนิ้วก้อยให้ ก่อนจะจับมือเขามาแล้วใช้นิ้วก้อยของเขามาเกี่ยวกับของนาง
“ขอบคุณ” กล่าวจบเขาก็ร้องไห้ออกมาด้วยความโศกเศร้าเสียใจ
เนิ่นนานนับเค่อที่เด็กชายแปลกหน้าที่นางไม่รู้จักชื่อนั่งร้องไห้ จนนางเริ่มกลัวเขาจะปวดหัว จึงลุกยืนขึ้นแล้วเข้าไปรั้งศีรษะเขามาพิงตัวนางไว้ก่อนจะโอบกอด
การแต่งฮูหยินที่เร่งรีบของท่านราชครู มีคนมากมายที่อาจจะสงสัยว่าเหตุใดท่านราชครูจางเหว่ยถึงได้เร่งรีบตบแต่งเถ้าแก่เนี้ยร้านขายภาพวาดซือซือเข้าจวนจาง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีข่าวลือว่าคบหากัน หรืออาจจะเป็นเพราะได้เห็นบทเรียนจากการเล่าลือเรื่องของคุณหนูสวี่ ที่จู่ๆ คนเหล่านั้นบังเอิญลิ้นขาดกลายเป็นคนพูดไม่ได้ แต่โชคดีหนึ่งในนั้นมีคนเขียนอักษรได้ จึงได้เขียนเตือนคนรอบตัวไม่ให้เล่าลือเรื่องราวเกี่ยวกับเชื้อพระวงศ์หรือตระกูลที่ใกล้ชิดราชวงศ์ สุดท้ายจึงไม่มีใครกล้าเล่าลือหรือสงสัยถึงความเร่งรีบของท่านราชครู “พี่เหว่ย ท่านจะไม่เสียใจทีหลังห
ฮองเฮาพบปะสหาย ภายในจวนท่านราชเลขาฯจาง วุ่นวายไม่น้อยเมื่อมีผู้สูงศักดิ์มาเยือนโดยได้นัดหมายกันล่วงหน้า “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ” ชินอ๋องที่เพิ่งลงจากรถม้าแสดงความเคารพโอรสสวรรค์และฮองเฮา “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ” พระชายาสกุลจางที่ลงรถม้ามาภายหลังทำความเคารพอีกฝ่ายเช่นกัน “ตามสบายเถิด พวกเจ้าเป็นสหายของเราใช้คำธรรมดาสามัญเถิด”
“เจ้าโอบอุ้มบุตรชายของเราให้แน่นๆ ส่วนเจ้าพี่จะจับให้แน่นๆ เอง” กล่าวจบเขาก็ใช้วิชาตัวเบาโอบอุ้มพานางและบุตรชายกลับตำหนัก ทันทีที่ถึงตำหนักโจวหลี่หมิงถูกส่งตัวให้ซานจี สาวใช้ประจำตัวคนใหม่ของนางที่ทางพระสวามีหามาให้ แน่นอนว่านางมิใช่สาวใช้ธรรมดา เพราะสตรีผู้นี้คือองครักษ์เงาที่ถูกฝึกมาอย่างหนักเพื่อดูแลดวงใจของท่านอ๋อง “นำไปซื่อจื่อไปมอบให้แม่นมแล้วเจ้าไปพัก ข้าจะดูแลพระชายาเอง” บุรุษที่ชื่นชอบการปรนนิบัติฮูหยินกล่าว “แงๆ” แม้จะดีดดิ้นเพียงใด แต่บุตรชายมีหรือจะต่อต้านบิดาได้ “ท่านพี่ หากลูกไม่อยากไป...” ไม่มีมาร
เรื่องเล่าหลังเป็นพระชายาของชิงหนี่ว์ ดวงตาเมล็ดซิ่งทอดมองผืนดินที่เขียวชอุ่มไปด้วยพืชผัก ที่ดินผืนนี้นางใช้เงินที่ได้จากการวาดภาพขายมาซื้อเก็บไว้ เพื่อสร้างรายได้ให้กับบ่าวรับใช้ผู้ภักดีทั้งสอง ก่อนหน้าที่นางจะแต่งเข้าตำหนักอ๋องไม่นาน นางก็จัดการให้จื่อรั่วและจื่อเป่าที่ความสัมพันธ์คืบหน้าไปอย่างรวดเร็วได้เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกันก่อนจะคืนสัญญาทาสแล้วให้ทั้งสองคนย้ายมาปลูกจวนอยู่บนที่ผืนนี้ “พระชายาท่านนั่งพักดื่มน้ำก่อนเถิดเพคะ รอแดดร่มลมตกค่อยออกไปเดินดูด้านนอก”&
“เช่นนั้นก่อนจะลงโทษน้อง ท่านพี่กินข้าวก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ” “มิต้อง” กล่าวจบเขาก็รั้งนางเข้าไปแนบชิด มือใหญ่จับยึดคางเรียวเอาไว้ริมฝีปากร้อนกดลงบนกลีบปากบาง ลิ้นร้อนบุกรุกโพรงปากนางอย่างเอาแต่ใจ ในขณะที่มือช่วยปลดเปลื้องอาภรณ์ให้นางอย่างรวดเร็ว ช่างใจร้อนเสียจริง... ดวงหน้าหวานแดงก่ำด้วยความเขินอาย เมื่อพระสวามีของตนที่เพิ่งถอนจุมพิตเร่าร้อนเมื่อครู่ จับจ้องนางราวกับหมาป่าหิวกระหาย “น้องหญิงของพี่เลิศรสกว่าอาหารใดๆ” กล่าวจบเขาก็ช้อนเรือนร่างเปลือยเปล่าเข้าหลังฉากกั้น ว่ากันว่าฮองเฮาชื่นชอบการแช่น้ำร้อน ภายในตำหนักจึงมีบ่อน้ำร้อนขนาดใหญ่อยู่ติดห้องบรรทม 
ฮ่องเต้ผู้เด็ดขาดกับฮองเฮา (แค่บนเตียง) นัยน์ตาดำของบุรุษสูงศักดิ์จับจ้องใบหน้าของสตรีที่ตนรักอย่างไม่ละสายตา มือใหญ่ช่วยคีบอาหารใส่ชามให้นางอย่างเอาใจ “ท่านพี่กินบ้างเถิดเจ้าค่ะ อย่ามัวแต่คีบให้ข้าเลยเจ้าค่ะ” แม้ยามนี้ทั้งสอ