เนิ่นนานนับเค่อที่เด็กชายแปลกหน้าที่นางไม่รู้จักชื่อนั่งร้องไห้ จนนางเริ่มกลัวเขาจะปวดหัว จึงลุกยืนขึ้นแล้วเข้าไปรั้งศีรษะเขามาพิงตัวนางไว้ก่อนจะโอบกอด
“ท่านแม่ของท่าน แท้จริงนางไม่ได้อยากจะทิ้งท่านไปเช่นนี้หรอก แต่เพราะนางเห็นท่านเติบใหญ่เป็นคนที่ดีและน่าภูมิใจ นางจึงหมดห่วง”
“ฮือ...”
“แม้ว่าตอนนี้นางจะไม่ได้โอบกอดท่านแล้ว แต่นางยังคงอยู่ตรงนี้” เด็กหญิงตัวน้อยชี้ไปที่อกของเขา
“ภาพความทรงจำที่ดีงามระหว่างท่านและนางจะไม่มีใครมาลบล้างไปได้ ข้าเชื่อว่านางยังคงมองดูท่านจากที่ตรงโน้น แม้ท่านจะเสียใจแต่ข้าว่านางคงอยากเห็นท่านเติบโตเป็นบุรุษที่องอาจและเก่งกาจ”
“ปล่อยข้าได้แล้ว”
“ท่านรู้สึกดีขึ้นแล้วใช่หรือไม่”
“อืม” พอได้ร้องไห้ปลดปล่อยน้ำตา มันทำให้เขารู้สึกดีขึ้น
“ท่านแม่ของพี่ชายต้องดีใจที่ท่านเข้มแข็งถึงเพียงนี้”
“อืม ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าอายุแค่ห้าขวบจริงๆ หรือ เหตุใดถึงได้ช่างเจรจานัก”
“ข้าน่ะหรือ ห้าขวบ หกขวบ หรือเจ็ดขวบแหละมั้ง” นางแสร้งนับนิ้วผิดๆ ถูกๆ ให้ดูคล้ายเด็กน้อยไร้เดียงสา
“ชิงหนี่ว์ เจ้ามาอยู่ที่นี่เอง ลุงเดินหาทั่วจวนเลย”
“อ่ะ...ท่านลุงข้ามาแล้วรีบเช็ดน้ำตาเร็วเข้า” กล่าวจบนางก็รีบยัดผ้าเช็ดหน้าของตนใส่มือเขา ซึ่งเด็กชายที่ดูจะอายุมากกว่านางเล็กน้อยรีบทำตามแต่โดยดี
“มาหลบอยู่ที่นี่นี่เอง แล้วเจ้ากำลังนั่งคุยกับใครอยู่หรือ” บุรุษที่เดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เอ่ยถาม
“แค่พี่ชายผู้หนึ่งที่หลงทางมาเจ้าค่ะ” นางรีบก้าวเท้าขึ้นหน้าเพื่อยืนบังเด็กชายที่นั่งอยู่ไม่ให้ท่านลุงเห็น
“พี่ชายหรือ ในจวนลุงไม่มีเด็กผู้ชายนะชิงหนี่ว์”
‘ท่านลุงไม่เห็นเขาเช่นนี้หรือว่าเขาจะเป็นผีจริงๆ นี่ข้าเล่นกับผีมาตั้งหลายวันหรือ’ เพียงแค่คิดขนนางก็ลุกเกรียว ก่อนจะหันกลับไปมองด้านหลังเพื่อดูให้แน่ใจ
‘ยังอยู่ เฮ้อ...โล่งอกไปที’ นางคิดก่อนจะส่งยิ้มให้เด็กชายแล้วหันกลับมาเผชิญหน้ากับท่านลุง
“เจ้าเด็กดื้อบอกมาซะดีๆ ว่าแอบมาทำอันใดที่ท้ายจวนลุงเช่นนี้”
“ข้าก็แค่...” นางกำลังจะหาเรื่องแก้ตัว แต่คนที่อยู่ด้านหลังนางลุกยืนขึ้นเสียก่อน แล้วก้าวเท้าขึ้นมายืนอยู่ข้างนาง
“คารวะท่านอาจารย์ขอรับ”
“ที่แท้พี่ชายที่หลงทางมาก็คือพระองค์นั่นเอง”
“ขออภัยที่เปิ่นหวางเข้ามาในจวนของท่านอาจารย์โดยมิได้บอกกล่าว เปิ่นหวางเพียงแค่อยากหาที่เงียบๆ เท่านั้น"
“มิต้องกล่าวอันใดหรอก อาจารย์เข้าใจพระองค์ หากยังไม่พร้อมพระองค์จะยังไม่กลับจวนก็ได้ อาจารย์จะแจ้งชินอ๋องให้” สิ้นคำกล่าวจางชิงหนี่ว์ก็รีบก้าวเท้าถอยไปด้านข้างทันที
‘ชินอ๋อง! บุรุษผู้นี้คงมิใช่โจวอันฉี ชินอ๋องซื่อจื่อผู้นั้นหรอกนะ’
“ขอบคุณอาจารย์” เขากล่าวก่อนจะหันไปมองเด็กน้อยที่มองเขาด้วยสายตาหวาดกลัว
“ท่านลุงเจ้าขา พี่ชายผู้นี้คือใครหรือเจ้าคะ” เพราะต้องการยืนยันความคิดตน นางจึงเอ่ยปากถามออกไป
“เขามีนามว่า โจวอันฉี เป็นบุตรชายคนเดียวของชินอ๋อง”
‘ตายห่าละงานนี้’ แม้จะพยายามซ่อนสีหน้าตกใจและตื่นกลัว แต่เพราะยังเป็นเด็กจึงไม่อาจเก็บสีหน้าได้เก่งเท่าใด
“ขออภัยเพคะ ที่เมื่อครู่หม่อมฉันล่วงเกินพระองค์” ท่าทางที่เปลี่ยนไปของเด็กหญิงวัยห้าขวบทำให้จางเหว่ย ผู้เป็นลุงรู้สึกแปลกใจ
“มิเป็นไร” เขากล่าวพลางก้าวเดินเข้าไปใกล้ แต่สตรีตัวน้อยช่างเจรจาเมื่อครู่กลับถอยห่าง
“ชิงหนี่ว์ของลุงช่างรู้ความ”
“ท่านลุงเจ้าขา ข้าอยากกินขนมแล้ว ท่านพูดคุยกับชินอ๋องซื่อจื่อไปก่อนนะเจ้าคะ ข้าไปล่ะ”
“ประเดี๋ยวก่อน...” โจวอันฉีส่งเสียงเรียก แต่นางมีหรือจะสน
“เป็นเพียงแค่เด็กน้อย ขาก็สั้นแต่เดินเร็วนักแล” ผู้เป็นลุงอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มเมื่อเห็นท่าทางของหลานสาว
“นางเป็นใครหรือขอรับท่านอาจารย์”
“นางคือบุตรสาวคนเล็กของแม่ทัพประจิม จางหย่ง นามว่าชิงหนี่ว์”
“ชิงหนี่ว์” เมื่อครู่ยังพูดคุยช่างเจรจา แต่เหตุใดพอรู้ว่าเขาคือใคร นางถึงได้ไม่ยอมใกล้ถึงเพียงนั้น
“นางเป็นแค่เด็กน้อย หากทำอันใดให้พระองค์ไม่พอใจ ก็อย่าได้ถือสาเลย”
“ขอรับ” เขาตอบรับพลางยกมือขึ้นแตะอกเสื้อที่เพิ่งเอาผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยยัดไว้
หนีไปก่อนเช่นนี้ เขาจะคืนผ้าเช็ดหน้าให้นางได้อย่างไร
และหลังจากวันนั้นหลานสาวของท่านราชครูจางเหว่ยก็ไม่มาที่จวนจางอีกเลย ตัวตนของนางก็ดูเหมือนจะค่อยๆ ลบเลือนไปจากเมืองหลวง มีเพียงเสียงเล่าลือที่ว่าหลังจากที่ปฏิเสธฮ่องเต้ไม่หมั้นหมายกับชินอ๋องซื่อจื่ออย่างเขา จางชิงเทียนที่หวงแหนน้องสาวไม่ยอมให้นางออกจากจวนไปไหน ขนาดท่านราชครูและอดีตราชครูหากอยากเจอหลานสาวก็ต้องมาหาที่จวน
เรื่องราวเกี่ยวกับนางจึงค่อยๆ เลือนหายไปจากความทรงจำของเขาจนกระทั่งได้เจอกันอีกครั้งในวันนั้น...
การแต่งฮูหยินที่เร่งรีบของท่านราชครู มีคนมากมายที่อาจจะสงสัยว่าเหตุใดท่านราชครูจางเหว่ยถึงได้เร่งรีบตบแต่งเถ้าแก่เนี้ยร้านขายภาพวาดซือซือเข้าจวนจาง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีข่าวลือว่าคบหากัน หรืออาจจะเป็นเพราะได้เห็นบทเรียนจากการเล่าลือเรื่องของคุณหนูสวี่ ที่จู่ๆ คนเหล่านั้นบังเอิญลิ้นขาดกลายเป็นคนพูดไม่ได้ แต่โชคดีหนึ่งในนั้นมีคนเขียนอักษรได้ จึงได้เขียนเตือนคนรอบตัวไม่ให้เล่าลือเรื่องราวเกี่ยวกับเชื้อพระวงศ์หรือตระกูลที่ใกล้ชิดราชวงศ์ สุดท้ายจึงไม่มีใครกล้าเล่าลือหรือสงสัยถึงความเร่งรีบของท่านราชครู “พี่เหว่ย ท่านจะไม่เสียใจทีหลังห
ฮองเฮาพบปะสหาย ภายในจวนท่านราชเลขาฯจาง วุ่นวายไม่น้อยเมื่อมีผู้สูงศักดิ์มาเยือนโดยได้นัดหมายกันล่วงหน้า “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ” ชินอ๋องที่เพิ่งลงจากรถม้าแสดงความเคารพโอรสสวรรค์และฮองเฮา “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ” พระชายาสกุลจางที่ลงรถม้ามาภายหลังทำความเคารพอีกฝ่ายเช่นกัน “ตามสบายเถิด พวกเจ้าเป็นสหายของเราใช้คำธรรมดาสามัญเถิด”
“เจ้าโอบอุ้มบุตรชายของเราให้แน่นๆ ส่วนเจ้าพี่จะจับให้แน่นๆ เอง” กล่าวจบเขาก็ใช้วิชาตัวเบาโอบอุ้มพานางและบุตรชายกลับตำหนัก ทันทีที่ถึงตำหนักโจวหลี่หมิงถูกส่งตัวให้ซานจี สาวใช้ประจำตัวคนใหม่ของนางที่ทางพระสวามีหามาให้ แน่นอนว่านางมิใช่สาวใช้ธรรมดา เพราะสตรีผู้นี้คือองครักษ์เงาที่ถูกฝึกมาอย่างหนักเพื่อดูแลดวงใจของท่านอ๋อง “นำไปซื่อจื่อไปมอบให้แม่นมแล้วเจ้าไปพัก ข้าจะดูแลพระชายาเอง” บุรุษที่ชื่นชอบการปรนนิบัติฮูหยินกล่าว “แงๆ” แม้จะดีดดิ้นเพียงใด แต่บุตรชายมีหรือจะต่อต้านบิดาได้ “ท่านพี่ หากลูกไม่อยากไป...” ไม่มีมาร
เรื่องเล่าหลังเป็นพระชายาของชิงหนี่ว์ ดวงตาเมล็ดซิ่งทอดมองผืนดินที่เขียวชอุ่มไปด้วยพืชผัก ที่ดินผืนนี้นางใช้เงินที่ได้จากการวาดภาพขายมาซื้อเก็บไว้ เพื่อสร้างรายได้ให้กับบ่าวรับใช้ผู้ภักดีทั้งสอง ก่อนหน้าที่นางจะแต่งเข้าตำหนักอ๋องไม่นาน นางก็จัดการให้จื่อรั่วและจื่อเป่าที่ความสัมพันธ์คืบหน้าไปอย่างรวดเร็วได้เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกันก่อนจะคืนสัญญาทาสแล้วให้ทั้งสองคนย้ายมาปลูกจวนอยู่บนที่ผืนนี้ “พระชายาท่านนั่งพักดื่มน้ำก่อนเถิดเพคะ รอแดดร่มลมตกค่อยออกไปเดินดูด้านนอก”&
“เช่นนั้นก่อนจะลงโทษน้อง ท่านพี่กินข้าวก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ” “มิต้อง” กล่าวจบเขาก็รั้งนางเข้าไปแนบชิด มือใหญ่จับยึดคางเรียวเอาไว้ริมฝีปากร้อนกดลงบนกลีบปากบาง ลิ้นร้อนบุกรุกโพรงปากนางอย่างเอาแต่ใจ ในขณะที่มือช่วยปลดเปลื้องอาภรณ์ให้นางอย่างรวดเร็ว ช่างใจร้อนเสียจริง... ดวงหน้าหวานแดงก่ำด้วยความเขินอาย เมื่อพระสวามีของตนที่เพิ่งถอนจุมพิตเร่าร้อนเมื่อครู่ จับจ้องนางราวกับหมาป่าหิวกระหาย “น้องหญิงของพี่เลิศรสกว่าอาหารใดๆ” กล่าวจบเขาก็ช้อนเรือนร่างเปลือยเปล่าเข้าหลังฉากกั้น ว่ากันว่าฮองเฮาชื่นชอบการแช่น้ำร้อน ภายในตำหนักจึงมีบ่อน้ำร้อนขนาดใหญ่อยู่ติดห้องบรรทม 
ฮ่องเต้ผู้เด็ดขาดกับฮองเฮา (แค่บนเตียง) นัยน์ตาดำของบุรุษสูงศักดิ์จับจ้องใบหน้าของสตรีที่ตนรักอย่างไม่ละสายตา มือใหญ่ช่วยคีบอาหารใส่ชามให้นางอย่างเอาใจ “ท่านพี่กินบ้างเถิดเจ้าค่ะ อย่ามัวแต่คีบให้ข้าเลยเจ้าค่ะ” แม้ยามนี้ทั้งสอ