“เรื่องถอนหมั้น...” เจิ้งเข่อชิงกำลังจะกล่าวถึงเรื่องราวที่เขามีสตรีที่พึงใจ แต่เขากลับเอ่ยแทรกขึ้นอย่างเสียมารยาท
“ก่อนที่จะกล่าวเรื่องนั้น ขอให้ข้าได้อธิบายเรื่องที่ชาวบ้านพวกนั้นเล่าลือก่อนได้หรือไม่”
“เจ้าค่ะ” นางตอบรับพลางรอดูว่าบุรุษผู้นี้จะปั้นเรื่องอันใดขึ้นมาหลอกนางอีก
“แท้จริงเรื่องราวไม่มีอันใดเลย วันนั้นข้าแค่ออกไปหาอาหารเลิศรสกินที่โรงเตี๊ยมเหอหยวนกับหลิวเฟิงเหมียน แต่บังเอิญไปเจอน้องสาวของเขาและสหายที่ชื่อสวี่ลู่ฟาง จึงได้ร่วมโต๊ะ ก่อนกลับคุณหนูเมิ่งร่ำร้องให้พี่ชายพาไปซื้อเครื่องประดับ แต่สหายของนางต้องรีบกลับจวน นางจึงขอร้องให้ข้าไปส่งสตรีผู้นั้นที่จวนสวี่ เรื่องราวมีเพียงแค่นี้” เขาก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเหตุใดชาวบ้านถึงได้เล่าลือไปไกลถึงเพียงนั้น
“...” เจิ้งเข่อชิงทำหน้าเอือมระอาพลางหยิบใบไม้ที่ปลิวตกบนโต๊ะมาฉีกเล่น อยากบอกอันใดก็กล่าวไปเถิด
“เจ้าไม่เชื่อที่ข้ากล่าว?”
‘ข้าไม่แคะหูระหว่างฟังท่านก็ดีแค่ไหนแล้ว’ วาจาบุรุษเลื่อนลอย นางไม่คิดสนใจ หากเปลี่ยนบุรุษผู้นี้เป็นชิงหนี่ว์คงดีไม่น้อย
“ข้ากับสวี่ลู่ฟางไม่ได้เป็นดังเช่นที่ชาวบ้านเล่าลือจริงๆ ข้าอาจจะเคยเจอนางบ้างเมื่อครั้งไปจวนตระกูลหลิว แต่ก็ไม่ได้สนิทสนมดั่งเช่นที่เจ้าเข้าใจ”
“เจ้าค่ะ” นางรับคำส่งๆ ไป บุรุษผู้นี้หากสตรีดอกบัวขาวผู้นั้นอยากได้ก็เชิญรีบเอาตัวไป นางจะได้ไปสร้างสัมพันธ์อันดีกับชิงหนี่ว์
เพียงคิดถึงรอยยิ้มของคุณหนูจาง เจิ้งเข่อชิงก็รู้สึกสบายใจและอุ่นใจ ดวงหน้าหวานจึงอ่อนลงพร้อมกับมุมปากที่ยกยิ้มเล็กน้อย
ตึกตักๆ หัวใจดวงน้อยของบุรุษผู้สูงศักดิ์สั่นไหวเมื่อเห็นรอยยิ้มเช่นนั้น ตั้งแต่ได้รับเลือกให้เป็นคู่หมายของเขา รอยยิ้มเช่นนี้ของนางก็เลือนหายไปเหลือเพียงรอยยิ้มมารยาทที่เขามองว่ามันเสแสร้งมาโดยตลอด เพราะเหตุนี้ที่ผ่านมาเขาจึงไม่ค่อยชื่นชอบคู่หมายของตนเอง
พอคิดมาถึงตรงนี้ หรือแท้จริงเขามีส่วนทำให้นางแปรเปลี่ยนเป็นเช่นนั้น
“ท่านกล่าวจบแล้วใช่หรือไม่”
“อะ...อืม” เพราะถูกสอนมาตั้งแต่เด็กให้เก็บสีหน้าไม่ให้เผยความรู้สึกออกไป เขาจึงทำมันได้อย่างไร้ที่ติ
“เช่นนั้นข้าจะได้กล่าวบ้าง”
“อืม” มุมปากหยักยกยิ้ม นัยน์ตาดำจับจ้องดวงหน้าหวานเพื่อรอฟังในสิ่งที่นางจะเอื้อนเอ่ย
“เรื่องที่ข้าต้องการให้ท่านยกเลิกการหมั้นหมายนั้น เป็นความต้องการของข้าจริงๆ ข้ามิได้กล่าวออกมาเพราะน้อยใจหรือเพื่อประชดประชันท่าน แต่เป็นเรื่องที่ข้าไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าตัวข้าไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นพระชายาของท่าน ข้าจึงอยากเปิดโอกาสให้ท่านได้เสนอนามสตรีที่ท่านพึงใจกับฮ่องเต้” หากไม่มีคู่หมายอย่างนางแล้ว ต่อจากนี้เขาจะทำอันใดย่อมเป็นอิสระ
“เมื่อครู่ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่า เรื่องของข้ากับคุณหนูสวี่ลู่ฟางเป็นเช่นไร”
“ข้าหมายถึงสตรีที่ท่านพึงใจจริงๆ ซึ่งท่านอาจจะได้เจอแล้วหรือได้เจอต่อจากนี้”
“หากข้าบอกว่าข้าพึงใจเจ้าล่ะ” นัยน์ตาลุ่มลึกที่จ้องมองทำให้นางขนลุก
บรรดาองค์ชายช่างแสดงสีหน้าเสแสร้งได้เก่งยิ่ง...
“ท่านอย่าล้อข้าเล่นเลยเจ้าค่ะ”
“...”
“ส่วนเรื่องที่จวนเจิ้งจะสนับสนุนท่าน ทุกอย่างยังคงเดิม ขอเพียงท่านยอมเอ่ยปากกับฮ่องเต้เพื่อยืนยันการยกเลิกการหมั้นหมายพวกนี้”
“ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ ว่าการหมั้นหมายของเราเพิ่งถูกกำหนด” เขาจะทำให้มันถูกกำหนดหลังจากกลับวังนี่แหละ
“ท่านล้อข้าเล่นอีกแล้ว” หากมีกำหนดออกมา บิดาต้องรีบวิ่งหน้าตาตื่นมาแจ้งนางแล้วสิ
“ข้าไม่ได้ล้อเล่น ฮองเฮาเอ็นดูเจ้ามากมายถึงเพียงนั้น เจ้าคิดว่านางจะยินยอมให้เจ้าถอนหมั้นหรือ” ยิ่งเห็นนางดิ้นรนอยากถอยห่าง เขายิ่งอยากจะเอาชนะ หลังกลับวังเขาจะรีบไปทูลขอฮ่องเต้ให้รีบออกประกาศวันหมั้น
“หากเราสองคนช่วยกันกล่าว ข้าว่าพระนางต้องไม่คิดฝืนใจ”
“เจ้าเอาแต่กล่าวเหตุผลที่ดูดีมากมายเพื่อจะถอนหมั้น แต่เหตุใดไม่กล่าวเหตุผลที่แท้จริงออกมาเล่า”
“เหตุผลที่ข้ากล่าวไปทั้งหมด คือความต้องการของข้าจริงๆ”
“ความต้องการของเจ้าหรือ น่าขันนัก มิใช่ว่าที่เจ้าอยากถอนหมั้นกับข้า เพราะแท้จริงแล้วเจ้าเป็นหมัวจิ้ง[1] ทั้งยังหมายปองคุณหนูจาง เจ้าคิดหรือว่าหากคุณหนูจางทราบเรื่องนี้นางจะยังยินดีคบหาเป็นสหายกับเจ้า”
“ข้าจะเป็นอันใดก็เรื่องของข้า ท่านอย่าได้คิดไปยุ่งเกี่ยวกับนาง” น้ำเสียงนางเข้มขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาหงส์ตวัดมองผู้สูงศักดิ์อย่างลืมตัว
“ข้าไม่ได้อยากยุ่งเกี่ยวกับคุณหนูจางอยู่แล้ว แต่หากเจ้าคิดไม่ซื่อหมายปองคุณหนูจาง ข้าคิดว่าบุรุษผู้หนึ่งคงไม่ยอมอยู่เฉย”
“บุรุษผู้นั้นเป็นใคร” นางจะได้กีดกันให้ออกห่างจากสตรีน่าเอ็นดูอย่างชิงหนี่ว์ของนาง
“เอาไว้ข้าอารมณ์ดีเมื่อใดจะบอก”
“กล่าวเช่นนี้ แท้จริงแล้วก็คงเป็นเรื่องโกหก”
“ข้าเตือนเจ้าแล้ว อย่าได้คิดแย่งชิงคุณหนูจางกับบุรุษผู้นั้น”
“ท่านควรจัดการเรื่องของตนเอง อย่าได้มายุ่งเกี่ยวเรื่องของข้าเลยเจ้าค่ะ วันนี้ข้าไม่มีอันใดจะกล่าวแล้ว หากองค์รัชทายาทอยากเสด็จกลับวังบูรพาก็เชิญเถิดเพคะ”
“แม้เจ้าจะอยากถอนหมั้นจากข้าเพียงใด แต่ตอนนี้เราสองคนยังมีพันธะต่อกันอยู่ หากคิดจะเกี้ยวพาคุณหนูจางโปรดอย่ากระทำสิ่งใดเกินงาม” บุรุษในอาภรณ์สูงค่าลุกขึ้นก่อนจะโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้เพื่อเอ่ยประโยคท้ายที่ข้างหูนาง
ลมหายใจของเขาที่เป่ารดหูทำให้นางรีบถอยห่างจนเกือบจะตกเก้าอี้ หากไม่ได้เขาช่วยโอบรั้งเอาไว้
“นั่งให้ดีๆ” คู่หมายน่าชังผู้นี้ยังคงกล่าวที่ข้างหูนาง ลมหายใจเขาที่เป่าโดนหูทำให้นางขนลุกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“ขอบพระทัยเพคะ” นางกล่าวพลางเบี่ยงตัวหลบ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วก้าวถอยออกไปให้ห่างเขาที่สุด
‘ตัวอันตรายผู้นี้บังอาจมากินเต้าหู้นาง’ นัยน์ตาหงส์มีประกายไม่พอใจพาดผ่านก่อนจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
“เอาเถิดวันนี้ข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว งานปักปิ่นวันนี้เจ้าคงตื่นเช้า อย่างไรหากกินอันใดเรียบร้อยแล้วก็รีบพักผ่อนเถิด” องค์รัชทายาทหนุ่มกล่าว มุมปากหยักยกยิ้มอย่างมีเลศนัย
“น้อมส่งองค์รัชทายาทเพคะ” คุณหนูเจิ้งกล่าวจบก็หมุนตัวเดินจากไป ทิ้งให้โจวเฟยหลงมองตามด้วยแววตาล้ำลึก คราแรกก็ว่าจะกลับแล้ว แต่พอได้ยินนางออกปากไล่เช่นนี้เขาเปลี่ยนใจแล้ว
‘ในเมื่อทราบแล้วว่าสิ่งใดสำคัญ หากข้าไม่รีบไขว่คว้าข้าก็คงกลายเป็นบุรุษโง่งมในสายตาเจ้า’
[1] สตรีมีใจชื่นชอบและรักกับสตรี
การแต่งฮูหยินที่เร่งรีบของท่านราชครู มีคนมากมายที่อาจจะสงสัยว่าเหตุใดท่านราชครูจางเหว่ยถึงได้เร่งรีบตบแต่งเถ้าแก่เนี้ยร้านขายภาพวาดซือซือเข้าจวนจาง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีข่าวลือว่าคบหากัน หรืออาจจะเป็นเพราะได้เห็นบทเรียนจากการเล่าลือเรื่องของคุณหนูสวี่ ที่จู่ๆ คนเหล่านั้นบังเอิญลิ้นขาดกลายเป็นคนพูดไม่ได้ แต่โชคดีหนึ่งในนั้นมีคนเขียนอักษรได้ จึงได้เขียนเตือนคนรอบตัวไม่ให้เล่าลือเรื่องราวเกี่ยวกับเชื้อพระวงศ์หรือตระกูลที่ใกล้ชิดราชวงศ์ สุดท้ายจึงไม่มีใครกล้าเล่าลือหรือสงสัยถึงความเร่งรีบของท่านราชครู “พี่เหว่ย ท่านจะไม่เสียใจทีหลังห
ฮองเฮาพบปะสหาย ภายในจวนท่านราชเลขาฯจาง วุ่นวายไม่น้อยเมื่อมีผู้สูงศักดิ์มาเยือนโดยได้นัดหมายกันล่วงหน้า “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ” ชินอ๋องที่เพิ่งลงจากรถม้าแสดงความเคารพโอรสสวรรค์และฮองเฮา “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ” พระชายาสกุลจางที่ลงรถม้ามาภายหลังทำความเคารพอีกฝ่ายเช่นกัน “ตามสบายเถิด พวกเจ้าเป็นสหายของเราใช้คำธรรมดาสามัญเถิด”
“เจ้าโอบอุ้มบุตรชายของเราให้แน่นๆ ส่วนเจ้าพี่จะจับให้แน่นๆ เอง” กล่าวจบเขาก็ใช้วิชาตัวเบาโอบอุ้มพานางและบุตรชายกลับตำหนัก ทันทีที่ถึงตำหนักโจวหลี่หมิงถูกส่งตัวให้ซานจี สาวใช้ประจำตัวคนใหม่ของนางที่ทางพระสวามีหามาให้ แน่นอนว่านางมิใช่สาวใช้ธรรมดา เพราะสตรีผู้นี้คือองครักษ์เงาที่ถูกฝึกมาอย่างหนักเพื่อดูแลดวงใจของท่านอ๋อง “นำไปซื่อจื่อไปมอบให้แม่นมแล้วเจ้าไปพัก ข้าจะดูแลพระชายาเอง” บุรุษที่ชื่นชอบการปรนนิบัติฮูหยินกล่าว “แงๆ” แม้จะดีดดิ้นเพียงใด แต่บุตรชายมีหรือจะต่อต้านบิดาได้ “ท่านพี่ หากลูกไม่อยากไป...” ไม่มีมาร
เรื่องเล่าหลังเป็นพระชายาของชิงหนี่ว์ ดวงตาเมล็ดซิ่งทอดมองผืนดินที่เขียวชอุ่มไปด้วยพืชผัก ที่ดินผืนนี้นางใช้เงินที่ได้จากการวาดภาพขายมาซื้อเก็บไว้ เพื่อสร้างรายได้ให้กับบ่าวรับใช้ผู้ภักดีทั้งสอง ก่อนหน้าที่นางจะแต่งเข้าตำหนักอ๋องไม่นาน นางก็จัดการให้จื่อรั่วและจื่อเป่าที่ความสัมพันธ์คืบหน้าไปอย่างรวดเร็วได้เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกันก่อนจะคืนสัญญาทาสแล้วให้ทั้งสองคนย้ายมาปลูกจวนอยู่บนที่ผืนนี้ “พระชายาท่านนั่งพักดื่มน้ำก่อนเถิดเพคะ รอแดดร่มลมตกค่อยออกไปเดินดูด้านนอก”&
“เช่นนั้นก่อนจะลงโทษน้อง ท่านพี่กินข้าวก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ” “มิต้อง” กล่าวจบเขาก็รั้งนางเข้าไปแนบชิด มือใหญ่จับยึดคางเรียวเอาไว้ริมฝีปากร้อนกดลงบนกลีบปากบาง ลิ้นร้อนบุกรุกโพรงปากนางอย่างเอาแต่ใจ ในขณะที่มือช่วยปลดเปลื้องอาภรณ์ให้นางอย่างรวดเร็ว ช่างใจร้อนเสียจริง... ดวงหน้าหวานแดงก่ำด้วยความเขินอาย เมื่อพระสวามีของตนที่เพิ่งถอนจุมพิตเร่าร้อนเมื่อครู่ จับจ้องนางราวกับหมาป่าหิวกระหาย “น้องหญิงของพี่เลิศรสกว่าอาหารใดๆ” กล่าวจบเขาก็ช้อนเรือนร่างเปลือยเปล่าเข้าหลังฉากกั้น ว่ากันว่าฮองเฮาชื่นชอบการแช่น้ำร้อน ภายในตำหนักจึงมีบ่อน้ำร้อนขนาดใหญ่อยู่ติดห้องบรรทม 
ฮ่องเต้ผู้เด็ดขาดกับฮองเฮา (แค่บนเตียง) นัยน์ตาดำของบุรุษสูงศักดิ์จับจ้องใบหน้าของสตรีที่ตนรักอย่างไม่ละสายตา มือใหญ่ช่วยคีบอาหารใส่ชามให้นางอย่างเอาใจ “ท่านพี่กินบ้างเถิดเจ้าค่ะ อย่ามัวแต่คีบให้ข้าเลยเจ้าค่ะ” แม้ยามนี้ทั้งสอ