บทที่ 9 เริ่มงาน
บรรยากาศในจวนสกุลเจียงเย็นเยือกและสงบเงียบในยามพลบค่ำ เจียงเสิ่นเย่วและเจียงอันเล่อเดินทางกลับจากการจัดการตามแผนที่วางไว้อย่างเรียบร้อย
เจียงเสิ่นเย่วก้าวเข้ามาภายในห้องโถงใหญ่พร้อมกับบุตรสาวด้วยความรู้สึกสงสัยที่ติดอยู่ในใจในความฉลาดหลักแหลมของบุตรสาวที่มีอย่างมิอาจเชื่อได้ มือใหญ่ยังคงกำวนกันไปมาอย่างใช้ความคิดและชั่งใจอยู่นาน หน้าผากของเขาขมวดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด สุดท้ายเจียงเสิ่นเย่วจึงตัดสินใจหันหลังกลับไปเผชิญหน้ากับเจียงอันเล่ออีกครั้ง พร้อมกับจ้องมองบุตรสาวด้วยสายตาที่จับพิรุธอยู่ในที
“เล่อเอ๋อร์...แม้ว่าเจ้าจะได้เข้าทำงานที่สำนักโยธาแล้ว แต่ข้ากลับอดรู้สึกสงสัยไม่ได้...เจ้าคิดสิ่งประดิษฐ์เช่นนี้ขึ้นมาได้เช่นใด” เจียงเสิ่นเย่วเอ่ยขึ้นมาอย่างต้องการคลายความค้างคาในใจที่มี ปลายสายตาคมกริบยังคงจับจ้องไปยังบุตรสาวอย่างไม่กะพริบตา
เจียงอันเล่อได้แต่ยิ้มบางออกมาพร้อมกับใบหน้าที่มีสีหน้าเจื่อนลงเล็กน้อยเมื่อต้องพบกับคำถามดังกล่าวของบิดา
เจียงอันเล่อเม้มปากแน่นอย่างต้องการตั้งสติ ก่อนจะกล่าวออกไปอย่างหน้าตาย “ท่านพ่อ...ตัวข้าเป็นเพียงหญิงสาวภายในจวนจะหาได้มีความรู้อันใดไม่ เพียงแต่ก่อนหน้านี้ข้าได้บังเอิญพบกับผู้รู้ท่านหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ จึงได้ลักจำความคิดดังกล่าวนั้นมา”
“ผู้รู้หรือ...ผู้ใดกัน” เจียงเสิ่นเย่วเอ่ยถามอีกครั้งด้วยความสงสัยไม่คลาย
เจียงอันเล่อจึงเดินเข้าไปกอดลำแขนหนาของบิดาอย่างออดอ้อน “ข้าเองก็มิได้เอ่ยถามความมากนัก เพียงแต่วันนั้นข้าได้ไปไหว้พระที่อารามวัดบนเขา บังเอิญได้มีโอกาสช่วยเหลือชายผู้หนึ่งเอาไว้ ชายผู้นั้นจึงได้เล่าความรู้บางอย่างที่เขามีให้กับข้าฟัง ข้าจึงอาศัยความคิดนั้นมาต่อยอดเพียงเท่านั้น” เจียงอันเล่อพูดพลางลอบสังเกตปฏิกิริยาของเจียงเสิ่นเย่วไปพลาง แต่เมื่อเห็นเขายังคงยืนฟังอย่างสงบนิ่ง เจียงเสิ่นเย่วจึงได้กล่าวตอบออกไปต่อ “แต่ท่านก็เห็นแล้วมิใช่หรือว่าความคิดนี้ช่างวิเศษยิ่งนัก ตอนนี้ข้าได้ทำงานข้างกายใต้เท้าหานแล้ว ต่อไปท่านพ่อก็วางใจได้แล้ว”
เจียงเสิ่นเย่วยังคงจ้องบุตรสาวอย่างครุ่นคิดอีกครั้ง “แล้วเหตุใดเจ้าจึงมิได้เล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟังแต่แรก หากบุรุษผู้นั้นมีปัญญาหลักแหลมเช่นนี้ ข้าจะได้เชิญเขาเข้ามาทำงานภายในจวนสกุลเจียงของเรา”
“ท่านพ่อ...ข้าจะไปรู้ได้เช่นใดว่าความคิดนั้นจะดีเลิศเช่นนี้ เดิมทีข้าเพียงฟังแล้วคิดว่าช่างเป็นเรื่องเหลวไหลและเพ้อเจ้อยิ่งนัก ข้าจึงมิได้ใส่ใจในคราแรก” เจียงอันเล่อยังคงลอยหน้าลอยตากล่าวเท็จต่อไปอีกครั้ง
เจียงอันเล่อรีบแกว่งแขนออดอ้อนบิดาของตนอีกหนอย่างเอาใจ “ท่านพ่อ โปรดอย่าสงสัยเรื่องนี้อีกเลยนะเจ้าคะ หากในวันหน้าข้าได้พบเขาอีกครั้ง ข้าจะรีบดึงตัวเขามารับใช้ท่านเป็นแน่ทีเดียว”
เจียงเสิ่นเย่วได้แต่ถอนหายใจหนักออกมา แม้จะนึกเสียดายชายผู้นั้นอยู่มาก แต่เหตุผลที่เจียงอันเล่อกล่าวก็มิได้ผิดเสียทีเดียว ดังนั้นเขาจึงได้แต่หวังว่าบุตรสาวจะมีโอกาสพบเจอคนผู้นั้นอีกครั้งและดึงเขามาเป็นพวกได้ในอนาคต หากความรู้ที่เขามีนั้นเลิศล้ำถึงเพียงนี้ ต่อไปแผนการใหญ่ของเขาจะต้องบรรลุผลโดยง่ายเป็นแน่
“เล่อเอ๋อร์...แม้เวลานี้เจ้าจะได้เข้าทำงานกับใต้เท้าหานแล้ว แต่ว่าในอนาคตเจ้ายังต้องเผชิญกับปัญหาอยู่อีกมาก หากมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นเจ้าต้องรีบส่งข่าวให้ข้ารู้โดยเร็ว...เข้าใจหรือไม่” เจียงเสิ่นเย่วเอ่ยออกมาด้วยความเป็นห่วงอีกครั้ง แม้ว่าการที่เจียงอันเล่อได้เข้าไปอยู่ข้างกายหานอี้หลงซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์ต่อเขาไม่น้อย แต่ความห่วงใยในตัวบุตรสาวซึ่งเป็นหญิงสาวที่มิได้ออกเรือนก็ยังคงเป็นเรื่องหนักใจของเขาอยู่เช่นเดิม
“เจ้าค่ะท่านพ่อ...ข้าจะจัดการทุกอย่างอย่างเรียบร้อย ท่านอย่าได้เป็นกังวลใจไปเลย”
หลายวันต่อมาเจียงอันเล่อในคราบชายหนุ่มหลงซีอ่าวก็เดินทางมาถึงที่ทำการของหานอี้หลงแต่เช้าตรู่ด้วยความรู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก
เจียงอันเล่อเหลือบมองไปรอบๆ บริเวณอย่างพินิจพิเคราะห์ ทุกมุมเต็มไปด้วยขุนนางที่ขะมักเขม้นอยู่กับงาน เอกสารสูงเป็นตั้งวางอยู่บนโต๊ะหลายตัว เสียงกระซิบกระซาบจากการพูดคุยดังเป็นระยะ
“เจ้าคือหลงซีอ่าวใช่หรือไม่” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากชายวัยกลางคนรูปร่างผอมสูง สวมชุดขุนนางปักลายเมฆน้อย
“ใช่ขอรับ” เจียงอันเล่อพยักหน้ารับในทันทีด้วยความกระตือรือร้น
“วันนี้เจ้าจะเริ่มจากงานง่ายๆ ก่อน ไปจัดเอกสารที่ห้องเก็บด้านหลัง เจ้าจะได้เรียนรู้งานพื้นฐานไปในตัว” ชายวัยกลางคนพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ แต่แฝงด้วยอำนาจบางอย่าง
เจียงอันเล่อรีบโค้งกายรับคำ “ขอรับ”
ภายในห้องเก็บเอกสารที่เต็มไปด้วยชั้นวางไม้เรียงรายสูงถึงเพดาน เจียงอันเล่อเริ่มต้นการทำงานอย่างกระตือรือร้น แต่เพียงเวลาไม่กี่ก้านธูปความตื่นเต้นกลับเริ่มจางหายเหลือเพียงความเหนื่อยล้าจากการยกเอกสารหนักๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เจียงอันเล่อเหลือบมองไปที่ประตูเป็นระยะ สายตากลมโตเอาแต่ชะเง้อตามองอย่างไม่ขาด หัวใจเต้นแรงด้วยหวังว่าจะได้พบ “หานอี้หลง” บุรุษในดวงใจของนาง
“ทำไมเขายังไม่มาสักทีนะ” เจียงอันเล่อรำพึงในใจ ขณะหยิบเอกสารปึกใหม่ขึ้นมาวางอย่างไม่ใส่ใจ
เวลาล่วงเลยจนเข้าสู่ช่วงบ่าย แสงแดดที่สาดส่องจากหน้าต่างเริ่มอ่อนแรง ในที่สุดเจียงอันเล่อก็หมดความอดทน นางหันไปหาขุนนางหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านข้างซึ่งกำลังตรวจตราเอกสารอย่างเคร่งเครียด
“เอ่อ...ใต้เท้าหานล่ะขอรับ เหตุใดวันนี้จึงไม่เห็นเขาเลย” เจียงอันเล่อใช้ความกล้าเอ่ยถามออกมาในที่สุด
ชายหนุ่มคนดังกล่าวเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสาร หัวคิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างแปลกใจ “วันนี้ใต้เท้าหานมิได้มาทำงานหรอก”
เจียงอันเล่อทำตาโตขึ้นมาในทันที “ไม่มาหรือขอรับ”
“วันนี้ฮูหยินหานไปไหว้พระที่อาราม ใต้เท้าหานจึงเดินทางไปเป็นเพื่อนของนาง ข้าคิดว่าฮูหยินหานช่างโชคดียิ่งนักที่ใต้เท้าหานปฏิบัติต่อนางอย่างดียิ่งเช่นนี้ นับว่าทั้งสองเป็นคู่ที่เหมาะสมยิ่งนัก” ขุนนางหนุ่มตอบด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
“เชอะ” เจียงอันเล่อพ่นลมออกจากปาก ในใจของนางลุกวาวด้วยความขัดเคือง เจียงอันเล่อพยายามซ่อนสีหน้าด้วยการยิ้มเจื่อนออกมาในที่สุด
ตอนที่ 53 บทสรุปของนิยายค่ำคืนในเมืองหลวงสงบเงียบลงหลังจากความวุ่นวายภายในวังหลวงได้จบสิ้นลง เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็ค่อยๆ จางหายไปตามกาลเวลาเหตุการณ์ในครั้งนั้นส่งผลให้เจียงเสิ่นเย่วถูกริบทรัพย์สินจนหมดสิ้นเหลือเพียงเงินทองบางส่วนเพื่อประทังชีวิตอย่างไม่ยากลำบากนัก เขาถูกกักบริเวณอยู่ภายในจวนสกุลเจียงโดยมีทหารควบคุมเพื่อมิให้ติดต่อผู้ใดซึ่งอาจเป็นการกบฏขึ้นอีกในภายหลัง ส่วนเหล่าขุนนางที่เกี่ยวข้อง บ้างก็ถูกประหาร บ้างก็ถูกเนรเทศจนมิเหลือสิ้นในขณะที่องค์หญิงห้าหงอวิ๋นชิว เจียงอันเล่อรู้ดีว่านางมีความทะเยอทะยานอยากมีอำนาจเพื่อปกป้องตนเองจากความโหดร้ายของวังหลวงมากเพียงใด การร่วมมือกันในครั้งนี้จึงทำให้นางได้รับความโปรดปรานจากหงจูเหลียง รวมถึงได้รับพระราชทานตรายศสำหรับละเว้นโทษให้กับนางอีกด้วยในขณะที่หงฟางซินแม้จะเป็นบุตรชายคนเล็ก แต่เพราะความเฉลียวฉลาดและผลงานชิ้นดังกล่าว เดิมทีหงจูเหลียงตั้งใจจะมอบตำแหน่งรัชทายาทให้แก่เขา แต่หงฟางซินกลับปฏิเสธด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ทำให้ตำแหน่งรัชทายาทจึงยังคงเป็นของพี่ชายของตนสืบต่อไป ส่วนฮองเฮาเม่งฉีเต๋อนั้นไม่ว่าจะเป็นบุตรคนใดของนางเป็นรัชทาย
ตอนที่ 52 ล้อมจับท้องฟ้ายามราตรีถูกแต่งแต้มด้วยแสงพลุที่แตกกระจายเป็นประกายระยิบระยับ งานเลี้ยงเฉลิมฉลองชัยชนะของจางลู่เหวินถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในพระราชวัง หงจูเหลียงประทับบนบัลลังก์สูงสุด ล้อมรอบไปด้วยเหล่าขุนนางที่มาร่วมงานเลี้ยง เสียงเครื่องดนตรีบรรเลงขับกล่อม ผสมกับเสียงหัวเราะของเหล่าขุนนางและแขกที่มาร่วมงาน บรรยากาศเต็มไปด้วยความครึกครื้นเจียงเสิ่นเย่วได้รับเทียบเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ด้วย เขาสวมอาภรณ์หรูหราตามฐานะ ใบหน้าคงความสง่างามและเยือกเย็นเฉกเช่นทุกครั้ง แต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความหวาดระแวง แผนการใหญ่ของเขากำลังใกล้จะเริ่มต้นขึ้น การที่หงจูเหลียงเชิญเขามาร่วมงานในค่ำคืนนี้มิรู้ว่าจะมีแผนการร้ายอันใดหรือไม่ แต่คนอย่างเขาเมื่อขึ้นหลังเสือแล้วก็มิอาจลงได้โดยง่าย เจียงเสิ่นเย่วจึงข่มใจปั้นหน้านิ่งขรึมและวางท่าอย่างสง่างามเพียงเท่านั้น“ท่านพ่อ...” เจียงอันเล่อมองบิดาของตนจากที่นั่งฝั่งตรงข้ามด้วยแววตาแห่งความรู้สึกผิดและวิตกกังวล นางรับรู้ได้ถึงพายุแห่งความเปลี่ยนแปลงที่กำลังใกล้เข้ามา ดวงตาของหานอี้หลงที่ยืนอยู่ด้านข้างของนางฉายแววความห่วงใยในตัวหญิงสาวข้างก
ตอนที่ 51 เดินแผนการสายลมเย็นพัดผ่านเข้ามาที่บานหน้าต่างกระทบกับผิวบางที่เปลือยเปล่าของเจียงอันเล่อ นางขยับกายซุกไซ้เข้ากระชับกับแผงอกหนาอุ่นนุ่ม ก่อนจะเหลือบมองหานอี้หลงที่นอนอยู่เคียงข้าง ใบหน้าของเขาสงบนิ่ง ดวงตาปิดสนิทกับลมหายใจที่เข้าออกอย่างสม่ำเสมอ เจียงอันเล่อยกยิ้มขึ้นมาอย่างรู้สึกตื้นตันใจ นางมิกล้าคิดหวังว่านางจะสมหวังเช่นนี้ เจียงอันเล่อหลับตาลงอีกครั้ง ดวงตาปิดสนิทพร้อมกับหลับใหลไปในที่สุดช่วงสายของวันใหม่หงฟางซินมายืนรออยู่ที่ด้านหน้าจวน เมื่อเขาเห็นเจียงอันเล่อและหานอี้หลงเดินออกมาพร้อมกัน คิ้วทั้งสองข้างของหงฟางซินก็กระตุกขึ้นมาในทันที สายตาของเขาฉายแววไม่พอใจอย่างชัดเจน “เล่อเอ๋อร์...ดูท่าความสัมพันธ์ของพวกเจ้าจะดีขึ้นมากกว่าที่ข้าคิดไว้” หงฟางซินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงประชดประชัน พลางพ่นลมหายใจออกมาเบาๆหานอี้หลงปรายตามองหงฟางซินอย่างไม่สบอารมณ์ เขายิ้มเยาะก่อนเอ่ยกลับออกมา “ข้ากับฮูหยินรักใคร่กันดี แล้วท่านเกี่ยวอันใดด้วยเล่า”“เจ้า” หงฟางซินกัดฟันแน่น นัยน์ตาวาวโรจน์ด้วยความขุ่นเคือง มือที่กำหมัดแน่นสั่นเล็กน้อยราวกับต้องการระงับอารมณ์ของตนเอง“พอได้แล้ว ทั้งสองคนน
ตอนที่ 50 ยอมทิ้งศักดิ์ศรีเจียงอันเล่อยิ้มเจื่อนขึ้นมาเมื่อเห็นว่าหานอี้หลงยังคงนิ่งเฉย นางกะพริบตาเพื่อไล่หยาดน้ำตาที่เอ่อคลออยู่ก่อนจะเชิดหน้าขึ้น ดวงตาคู่งามฉายแววแน่วแน่ พยายามรักษาศักดิ์ศรีของตนไว้ให้คงอยู่ แม้ว่าในใจจะแหลกสลายไปแล้วก็ตาม“พรุ่งนี้ข้าจะส่งหนังสือหย่าให้ท่าน หวังว่าท่านจะมิทำให้ข้าลำบากใจอีก” เจียงอันเล่อกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่กลับสั่นเครือแม้ว่าจะพยายามรักษาท่าทีมากเพียงใดก็ตาม นางตัดสินใจหมุนกายเตรียมก้าวเดินออกจากห้องไปเสียหานอี้หลงยืนนิ่งราวกับถูกตรึงเอาไว้ ความรู้สึกต่างๆ ประเดประดังเข้าใส่ราวกับคลื่นมหาสมุทร ดวงตาคมกริบที่เคยแน่วแน่ฉายแววเจ็บปวดอย่างที่สุด เมื่อเจียงอันเล่อหันหลังให้กับเขา ความรู้สึกหวาดกลัวพลันแล่นเข้ามาจับขั้วหัวใจจนหานอี้หลงแทบหายใจไม่ออก“เล่อเอ๋อร์” หานอี้หลงร้องเรียกออกมา ก่อนจะโถมตัวเข้าสวมกอดร่างบางจากทางด้านหลังเอาไว้แน่น อ้อมแขนแกร่งรัดแน่นราวกับกลัวว่านางจะสลายหายไปในพริบตา“เล่อเอ๋อร์...ได้โปรดอย่าทิ้งข้าไปเลย ข้ามีเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น” น้ำเสียงของหานอี้หลงสั่นไหวอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน ศีรษะก้มต่ำซบลงที่ลาดไหล่ของเจี
ตอนที่ 49 เหนี่ยวรั้งครั้งสุดท้ายหานอี้หลงกระชากแขนเจียงอันเล่อเข้าปะทะกับแผงอกเข้าอย่างจัง ความเงียบเข้าปกคลุมไปทั่วห้องมีเพียงเสียงลมหายใจที่ติดขัดของทั้งสองคน พร้อมสายตาที่จ้องมองกันอย่างมิมีใครยอมใคร“เจ้าคิดจะทำอันใดกันแน่” หานอี้หลงตะคอกออกมาอย่างหมดความอดทน น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยโทสะ ความหึงหวงแผ่ซ่านไปทั่วร่างราวกับเพลิงที่ไม่มีวันดับ ดวงตาดุดันจ้องมองร่างบางที่เบื้องหน้า“ใต้เท้า...ท่านต่างหากที่คิดจะทำอันใดกันแน่” เจียงอันเล่อโต้กลับในทันที“เฮอะ...ฮูหยินของข้าออกตะลอนไปทั่วเมืองกับชายอื่น เจ้าจะให้ข้านั่งรออยู่ที่จวนเฉยๆ เช่นนั้นหรือ”“เพี๊ยะ...” เจียงอันเล่อยกมือขึ้นสะบัดไปที่ใบหน้าของหานอี้หลงจนเต็มแรง “ใต้เท้า...ท่านอย่าได้คิดว่าดูถูกข้าเช่นนี้”หานอี้หลงยกมือขึ้นลูบใบหน้า พร้อมกับแสยะยิ้มขึ้นมาจนดูน่าหวาดกลัว เขากระชากแขนของเจียงอันเล่อเข้าหาตัวอีกครั้ง “งั้นข้าควรคิดเช่นใด...เจ้าลองตอบข้ามาสักหน่อย”เจียงอันเล่อสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของเขา นางเชิดหน้าขึ้นอย่างทระนง ทว่าดวงตาของนางกลับมีร่องรอยของความผิดหวังลึกซึ้ง นางกวาดตามองหานอี้หลงอย่างเย็นชา ก่อนจะเดินตรงไปยั
ตอนที่ 48 ร้อนใจในยามสายของวันหนึ่ง เจียงอันเล่อที่นั่งพลิกอ่านสารลับที่หลีอันเพิ่งนำมามอบให้ ดวงตางดงามแต่นิ่งลึกฉายแวววิตกกังวลใจขึ้นมาในทันที คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน นางเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะกำสารลับไว้ในมือแน่นขึ้น “ถึงเวลาแล้วสินะ”“หลีอันรีบเตรียมรถม้าให้ข้าที” เจียงอันเล่อรีบสั่งหลีอันอย่างเร่งร้อน พลางเงยหน้ามองออกไปภายนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าสีครามที่ดูงดงามราวกับภาพวาดกลับมิอาจกลบเกลื่อนความรู้สึกอึดอัดภายในใจที่มี เจียงอันเล่อมิรอช้าอีกต่อไป นางรีบเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดเรียบง่าย คลุมทับด้วยผ้าคลุมสีเข้มแล้วรีบออกจากจวนไปอย่างเงียบๆในขณะเดียวกันภายในห้องอักษรของจวนสกุลหาน หานอี้หลงนั่งอยู่หลังโต๊ะใหญ่ ม้วนเอกสารกระจัดกระจายอยู่เบื้องหน้า จ้าวกงยืนรายงานความเคลื่อนไหวของกองกำลังลับที่เตรียมซุ่มโจมตีจางลู่เหวินตามแผนการที่วางเอาไว้เป็นอย่างดี แต่หานอี้หลงกลับเพียงพยักหน้ารับอย่างเหม่อลอยราวกับจิตใจมิได้อยู่กับตัว“ใต้เท้า...ทหารลับรอเพียงคำสั่งจากท่าน...ชีวิตของแม่ทัพจางย่อมอยู่ในเงื้อมมือของเราขอรับ”ทันใดนั้นพ่อบ้านก็เดินเข้ามาด้วยท่าทีลังเลใจ เขาเดินเข้ามาวางของว่างตรงหน