บทที่ 8 ลองภูมิ
หานอี้หลงก้าวเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของหลงซีอ่าว เขาจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาคมกริบอย่างต้องการจับพิรุธ
“เอ่อ...ใต้เท้าหานเชิญท่านว่ามาเถิด” หลงซีอ่าวเอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรก เสียงของเขานุ่มนวลราวกับผู้หญิง ดวงตากลมโตจ้องมองหานอี้หลงอย่างไม่กะพริบตา
หานอี้หลงถึงกับกระแอมออกมาพร้อมเบือนสายตาหนีออกไปอย่างรู้สึกอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก
เจียงเสิ่นเย่วที่ยืนอยู่ด้านข้างพลางส่งสายตาอย่างเป็นกำลังใจและหนักใจอยู่ในเวลาเดียวกัน บุตรสาวของเขาเป็นเด็กสาวที่อยู่แต่ในเรือนหลัง ตำราที่เคยศึกษาล้วนแล้วแต่เป็นเพียงตำราสอนหญิงเท่านั้น หากแต่นางกลับมีความมั่นใจอย่างน่าประหลาดว่าจะสามารถชนะใจหานอี้หลงได้ ซึ่งคนเป็นพ่อเช่นเขาจึงได้แต่เออออไปตามนางอย่างนึกห่วงใย
หานอี้หลงหันหลังให้หลงซีอ่าวพร้อมกับยกมือขึ้นไพล่หลังไว้อย่างใช้ความคิด ชายหนุ่มผู้นี้ทำให้เขาอดตั้งคำถามในใจไม่ได้ว่าเขาจะมีความสามารถเช่นที่เจียงเสิ่นเย่วยกยอจริงหรือไม่
“ข้าจะถามเจ้าเรื่องง่ายๆ ก่อนก็แล้วกัน” หานอี้หลงกล่าวด้วย น้ำเสียงเข้มขรึม คิ้วหนาขมวดแน่นเป็นปมขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด “ในงานก่อสร้างเขื่อน หากต้องขุดลอกดินลึกถึงสิบจั้ง เจ้าคิดว่าจะต้องใช้แรงงานเท่าใด”
หลงซีอ่าวนิ่งคิดเพียงครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบออกมาด้วยสีหน้าที่มีความมั่นใจ นางรู้อยู่แล้วว่าเวลานี้หานอี้หลงกำลังประสบปัญหาเรื่องแนวทางในการสร้างเขื่อนที่ต้องใช้เงินและแรงงานเป็นจำนวนมาก นั่นทำให้เป็นอุปสรรคใหญ่หลวงที่ทำให้หานอี้หลงยังคงอับจนด้วยหนทาง “เรียนใต้เท้าหาน...จำนวนแรงงานที่ใช้ขึ้นอยู่กับวิธีการและเครื่องมือที่มี หากใช้แรงคนอย่างเดียวอาจต้องใช้จำนวนคนหลายร้อย แต่หากเพิ่มกลไกช่วยเคลื่อนย้าย เช่น ใช้รอกแบบปรับปรุง ความต้องการแรงงานจะลดลงไปกว่าครึ่งหนึ่ง”
“รอกแบบปรับปรุงหรือ” หานอี้หลงทวนคำตอบของหลงซีอ่าวอย่างประเมินชายหนุ่มอีกครั้ง คำตอบนี้ทำให้หานอี้หลงถึงกับเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสนใจ พร้อมหันกลับมาสังเกตท่าทางของหลงซีอ่าวอีกครั้ง
“ใช่ขอรับ ข้าหมายถึงรอกที่มีกลไกที่ซับซ้อนมากขึ้น แต่สามารถช่วยลดแรงของคนงานในการเคลื่อนย้ายดินหรือหิน” หลงซีอ่าวอธิบายอย่างใจเย็น “แทนที่จะพึ่งพาเพียงแรงงานอย่างเดียว พวกเราสามารถใช้อุปกรณ์ดังกล่าวเพื่อทุ่นแรง และลดภาระ ทำให้งานเดินหน้าได้รวดเร็วขึ้น และคนงานก็เหนื่อยล้าลดลง”
“เช่นนั้นเจ้ากำลังจะบอกข้าว่าเจ้าเห็นปัญหาในระบบการใช้แรงงานที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอย่างนั้นหรือ” หานอี้หลงถามต่อ คราวนี้น้ำเสียงของเขาเริ่มอ่อนลงแต่กลับฉายแววความสนอกสนใจเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
“ข้าเพียงคิดจากตนเองที่เป็นเด็กกำพร้ามาก่อน เวลาที่ข้าต้องทำงานใช้แรงตนเองเพื่อแลกกับเงินและอาหารสำหรับประทังชีวิต ข้าจึงคิดว่าหากมีวิธีการที่ทำให้ข้าทำงานได้สบายขึ้น เช่นนั้นข้าคงมีความสุขไม่น้อย” หลงซีอ่าวเอ่ยเจื้อแจ้วออกมาราวกับเป็นเรื่องจริง
เจียงเสิ่นเย่วถึงกับกลืนน้ำลายลงคออย่างรู้สึกอึ้งในความโกหกลื่นไหลของบุตรสาวของตน
“แล้วเจ้ามั่นใจได้เช่นใดว่าความคิดของเจ้าจะได้ผล” หานอี้หลงเอ่ยถามอย่างยากจะเชื่อในคำพูดอันดูเลื่อนลอยราวกับเป็นเพียงจินตนาการเพ้อฝันของหลงซีอ่าว
หลงซีอ่าวยิ้มเล็กน้อยอย่างคนเจ้าเล่ห์ ก่อนจะหันไปสบสายตากับเจียงเสิ่นเย่วอีกครั้ง “ข้ารู้ว่าใต้เท้าหานต้องการเห็นของจริง”
เจียงเสิ่นเย่วที่ได้รับสัญญาณดังกล่าว เขาหันไปโบกมือเรียกบ่าวรับใช้ที่ยืนรออยู่ด้านนอกในทันที “นำของเข้ามา”
บ่าวรับใช้กุลีกุจอยกสิ่งประดิษฐ์บางอย่างเข้ามาด้านในอย่างรวดเร็ว
หานอี้หลงหรี่ตามองมันด้วยความสงสัย สิ่งของดังกล่าวเป็นโครงสร้างที่ดูคล้ายกับรอกที่ใช้อยู่ในปัจจุบันแต่กลับมีความซับซ้อนมากกว่า
“นี่คือรอกแบบปรับปรุงที่ข้าพัฒนาขึ้น” หลงซีอ่าวกล่าวพร้อมกับกระแอมเล็กน้อย สีหน้าของเขาแดงเรื่ออย่างนึกละอายใจพร้อมกับแอบคิดในใจตนเอง “ข้าขอโทษบรรพบุรุษผู้คิดค้นด้วยเถิด ข้าขอยืมความคิดของท่านมาใช้ชั่วคราวสักหน่อย ท่านคงมิว่าข้าหรอกนะ”
“ข้าจะสาธิตให้ท่านดู” หลงซีอ่าวกล่าวพร้อมดึงเชือกเส้นหนึ่งออกมา “ใต้เท้าลองดูสิ่งนี้ ข้าจะใช้มันยกหินก้อนนี้ขึ้น”
หลงซีอ่าวดึงเชือกด้วยแรงเบาๆ รอกเคลื่อนไหวไปตามกันอย่างลื่นไหล หินก้อนใหญ่ถูกยกขึ้นอย่างง่ายดาย จากนั้นหลงซีอ่าวก็อธิบายต่อไปว่าสิ่งนี้เป็นกลไกรอกที่ปรับปรุงขึ้นเพื่อช่วยลดแรงในการเคลื่อนย้ายสิ่งของ อีกทั้งเขายังแสดงวิธีการใช้งานด้วยความคล่องแคล่ว ชิ้นส่วนของรอกเคลื่อนไหวอย่างลื่นไหลราวกับก้อนหินดังกล่าวเบาดั่งปุยนุ่น
หานอี้หลงยกมือขึ้นลูบคางพลางใช้ความคิด ใบหน้าของเขาเปลี่ยนจากความเฉยเมยเป็นความสนใจอย่างแท้จริง
“น่าสนใจยิ่งนัก” หานอี้หลงกล่าวช้าๆ ดวงตาฉายประกายความตื่นเต้นขึ้นมาเมื่อนึกถึงแผนการก่อสร้างเขื่อนที่เขากำลังรู้สึกอับจนหนทางอยู่ในเวลานี้ หากมีเจ้าสิ่งนี้เข้ามาช่วย บางทีเขาอาจสามารถจำกัดงบประมาณและกำลังคนที่ใช้ไปได้ไม่น้อยทีเดียว
“นี่คือเพียงขั้นแรกเท่านั้น” หลงซีอ่าวกล่าวออกมาอย่างรู้สึกภูมิใจที่ได้รับความสนใจจากหานอี้หลง “หากใต้เท้าให้โอกาสข้าสักหน่อย ข้าเชื่อว่าข้าจะสามารถสร้างกลไกอื่นๆ เพื่อช่วยเหลืองานท่านได้อย่างแน่นอน”
เจียงเสิ่นเย่วที่ยืนฟังอยู่ด้านข้าง เขาอดรู้สึกปลื้มใจกับความฉลาดหลักแหลมของบุตรสาวเป็นอย่างมาก “ใต้เท้าหาน ท่านคิดเห็นเป็นเช่นใด”
หลังจากเพ่งมองสิ่งของตรงหน้าอยู่ชั่วครู่หนึ่ง หานอี้หลงก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “ข้าจะรับเจ้าทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยของข้า ข้าหวังว่าเจ้าจะนำความสามารถที่มีมาใช้เพื่อประโยชน์ของบ้านเมืองต่อไป”
หลงซีอ่าวรีบโค้งคำนับอย่างรู้สึกตื่นเต้นยินดี “ข้าน้อยจะทำให้สุดความสามารถขอรับ”
ตอนที่ 53 บทสรุปของนิยายค่ำคืนในเมืองหลวงสงบเงียบลงหลังจากความวุ่นวายภายในวังหลวงได้จบสิ้นลง เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็ค่อยๆ จางหายไปตามกาลเวลาเหตุการณ์ในครั้งนั้นส่งผลให้เจียงเสิ่นเย่วถูกริบทรัพย์สินจนหมดสิ้นเหลือเพียงเงินทองบางส่วนเพื่อประทังชีวิตอย่างไม่ยากลำบากนัก เขาถูกกักบริเวณอยู่ภายในจวนสกุลเจียงโดยมีทหารควบคุมเพื่อมิให้ติดต่อผู้ใดซึ่งอาจเป็นการกบฏขึ้นอีกในภายหลัง ส่วนเหล่าขุนนางที่เกี่ยวข้อง บ้างก็ถูกประหาร บ้างก็ถูกเนรเทศจนมิเหลือสิ้นในขณะที่องค์หญิงห้าหงอวิ๋นชิว เจียงอันเล่อรู้ดีว่านางมีความทะเยอทะยานอยากมีอำนาจเพื่อปกป้องตนเองจากความโหดร้ายของวังหลวงมากเพียงใด การร่วมมือกันในครั้งนี้จึงทำให้นางได้รับความโปรดปรานจากหงจูเหลียง รวมถึงได้รับพระราชทานตรายศสำหรับละเว้นโทษให้กับนางอีกด้วยในขณะที่หงฟางซินแม้จะเป็นบุตรชายคนเล็ก แต่เพราะความเฉลียวฉลาดและผลงานชิ้นดังกล่าว เดิมทีหงจูเหลียงตั้งใจจะมอบตำแหน่งรัชทายาทให้แก่เขา แต่หงฟางซินกลับปฏิเสธด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ทำให้ตำแหน่งรัชทายาทจึงยังคงเป็นของพี่ชายของตนสืบต่อไป ส่วนฮองเฮาเม่งฉีเต๋อนั้นไม่ว่าจะเป็นบุตรคนใดของนางเป็นรัชทาย
ตอนที่ 52 ล้อมจับท้องฟ้ายามราตรีถูกแต่งแต้มด้วยแสงพลุที่แตกกระจายเป็นประกายระยิบระยับ งานเลี้ยงเฉลิมฉลองชัยชนะของจางลู่เหวินถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในพระราชวัง หงจูเหลียงประทับบนบัลลังก์สูงสุด ล้อมรอบไปด้วยเหล่าขุนนางที่มาร่วมงานเลี้ยง เสียงเครื่องดนตรีบรรเลงขับกล่อม ผสมกับเสียงหัวเราะของเหล่าขุนนางและแขกที่มาร่วมงาน บรรยากาศเต็มไปด้วยความครึกครื้นเจียงเสิ่นเย่วได้รับเทียบเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ด้วย เขาสวมอาภรณ์หรูหราตามฐานะ ใบหน้าคงความสง่างามและเยือกเย็นเฉกเช่นทุกครั้ง แต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความหวาดระแวง แผนการใหญ่ของเขากำลังใกล้จะเริ่มต้นขึ้น การที่หงจูเหลียงเชิญเขามาร่วมงานในค่ำคืนนี้มิรู้ว่าจะมีแผนการร้ายอันใดหรือไม่ แต่คนอย่างเขาเมื่อขึ้นหลังเสือแล้วก็มิอาจลงได้โดยง่าย เจียงเสิ่นเย่วจึงข่มใจปั้นหน้านิ่งขรึมและวางท่าอย่างสง่างามเพียงเท่านั้น“ท่านพ่อ...” เจียงอันเล่อมองบิดาของตนจากที่นั่งฝั่งตรงข้ามด้วยแววตาแห่งความรู้สึกผิดและวิตกกังวล นางรับรู้ได้ถึงพายุแห่งความเปลี่ยนแปลงที่กำลังใกล้เข้ามา ดวงตาของหานอี้หลงที่ยืนอยู่ด้านข้างของนางฉายแววความห่วงใยในตัวหญิงสาวข้างก
ตอนที่ 51 เดินแผนการสายลมเย็นพัดผ่านเข้ามาที่บานหน้าต่างกระทบกับผิวบางที่เปลือยเปล่าของเจียงอันเล่อ นางขยับกายซุกไซ้เข้ากระชับกับแผงอกหนาอุ่นนุ่ม ก่อนจะเหลือบมองหานอี้หลงที่นอนอยู่เคียงข้าง ใบหน้าของเขาสงบนิ่ง ดวงตาปิดสนิทกับลมหายใจที่เข้าออกอย่างสม่ำเสมอ เจียงอันเล่อยกยิ้มขึ้นมาอย่างรู้สึกตื้นตันใจ นางมิกล้าคิดหวังว่านางจะสมหวังเช่นนี้ เจียงอันเล่อหลับตาลงอีกครั้ง ดวงตาปิดสนิทพร้อมกับหลับใหลไปในที่สุดช่วงสายของวันใหม่หงฟางซินมายืนรออยู่ที่ด้านหน้าจวน เมื่อเขาเห็นเจียงอันเล่อและหานอี้หลงเดินออกมาพร้อมกัน คิ้วทั้งสองข้างของหงฟางซินก็กระตุกขึ้นมาในทันที สายตาของเขาฉายแววไม่พอใจอย่างชัดเจน “เล่อเอ๋อร์...ดูท่าความสัมพันธ์ของพวกเจ้าจะดีขึ้นมากกว่าที่ข้าคิดไว้” หงฟางซินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงประชดประชัน พลางพ่นลมหายใจออกมาเบาๆหานอี้หลงปรายตามองหงฟางซินอย่างไม่สบอารมณ์ เขายิ้มเยาะก่อนเอ่ยกลับออกมา “ข้ากับฮูหยินรักใคร่กันดี แล้วท่านเกี่ยวอันใดด้วยเล่า”“เจ้า” หงฟางซินกัดฟันแน่น นัยน์ตาวาวโรจน์ด้วยความขุ่นเคือง มือที่กำหมัดแน่นสั่นเล็กน้อยราวกับต้องการระงับอารมณ์ของตนเอง“พอได้แล้ว ทั้งสองคนน
ตอนที่ 50 ยอมทิ้งศักดิ์ศรีเจียงอันเล่อยิ้มเจื่อนขึ้นมาเมื่อเห็นว่าหานอี้หลงยังคงนิ่งเฉย นางกะพริบตาเพื่อไล่หยาดน้ำตาที่เอ่อคลออยู่ก่อนจะเชิดหน้าขึ้น ดวงตาคู่งามฉายแววแน่วแน่ พยายามรักษาศักดิ์ศรีของตนไว้ให้คงอยู่ แม้ว่าในใจจะแหลกสลายไปแล้วก็ตาม“พรุ่งนี้ข้าจะส่งหนังสือหย่าให้ท่าน หวังว่าท่านจะมิทำให้ข้าลำบากใจอีก” เจียงอันเล่อกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่กลับสั่นเครือแม้ว่าจะพยายามรักษาท่าทีมากเพียงใดก็ตาม นางตัดสินใจหมุนกายเตรียมก้าวเดินออกจากห้องไปเสียหานอี้หลงยืนนิ่งราวกับถูกตรึงเอาไว้ ความรู้สึกต่างๆ ประเดประดังเข้าใส่ราวกับคลื่นมหาสมุทร ดวงตาคมกริบที่เคยแน่วแน่ฉายแววเจ็บปวดอย่างที่สุด เมื่อเจียงอันเล่อหันหลังให้กับเขา ความรู้สึกหวาดกลัวพลันแล่นเข้ามาจับขั้วหัวใจจนหานอี้หลงแทบหายใจไม่ออก“เล่อเอ๋อร์” หานอี้หลงร้องเรียกออกมา ก่อนจะโถมตัวเข้าสวมกอดร่างบางจากทางด้านหลังเอาไว้แน่น อ้อมแขนแกร่งรัดแน่นราวกับกลัวว่านางจะสลายหายไปในพริบตา“เล่อเอ๋อร์...ได้โปรดอย่าทิ้งข้าไปเลย ข้ามีเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น” น้ำเสียงของหานอี้หลงสั่นไหวอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน ศีรษะก้มต่ำซบลงที่ลาดไหล่ของเจี
ตอนที่ 49 เหนี่ยวรั้งครั้งสุดท้ายหานอี้หลงกระชากแขนเจียงอันเล่อเข้าปะทะกับแผงอกเข้าอย่างจัง ความเงียบเข้าปกคลุมไปทั่วห้องมีเพียงเสียงลมหายใจที่ติดขัดของทั้งสองคน พร้อมสายตาที่จ้องมองกันอย่างมิมีใครยอมใคร“เจ้าคิดจะทำอันใดกันแน่” หานอี้หลงตะคอกออกมาอย่างหมดความอดทน น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยโทสะ ความหึงหวงแผ่ซ่านไปทั่วร่างราวกับเพลิงที่ไม่มีวันดับ ดวงตาดุดันจ้องมองร่างบางที่เบื้องหน้า“ใต้เท้า...ท่านต่างหากที่คิดจะทำอันใดกันแน่” เจียงอันเล่อโต้กลับในทันที“เฮอะ...ฮูหยินของข้าออกตะลอนไปทั่วเมืองกับชายอื่น เจ้าจะให้ข้านั่งรออยู่ที่จวนเฉยๆ เช่นนั้นหรือ”“เพี๊ยะ...” เจียงอันเล่อยกมือขึ้นสะบัดไปที่ใบหน้าของหานอี้หลงจนเต็มแรง “ใต้เท้า...ท่านอย่าได้คิดว่าดูถูกข้าเช่นนี้”หานอี้หลงยกมือขึ้นลูบใบหน้า พร้อมกับแสยะยิ้มขึ้นมาจนดูน่าหวาดกลัว เขากระชากแขนของเจียงอันเล่อเข้าหาตัวอีกครั้ง “งั้นข้าควรคิดเช่นใด...เจ้าลองตอบข้ามาสักหน่อย”เจียงอันเล่อสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของเขา นางเชิดหน้าขึ้นอย่างทระนง ทว่าดวงตาของนางกลับมีร่องรอยของความผิดหวังลึกซึ้ง นางกวาดตามองหานอี้หลงอย่างเย็นชา ก่อนจะเดินตรงไปยั
ตอนที่ 48 ร้อนใจในยามสายของวันหนึ่ง เจียงอันเล่อที่นั่งพลิกอ่านสารลับที่หลีอันเพิ่งนำมามอบให้ ดวงตางดงามแต่นิ่งลึกฉายแวววิตกกังวลใจขึ้นมาในทันที คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน นางเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะกำสารลับไว้ในมือแน่นขึ้น “ถึงเวลาแล้วสินะ”“หลีอันรีบเตรียมรถม้าให้ข้าที” เจียงอันเล่อรีบสั่งหลีอันอย่างเร่งร้อน พลางเงยหน้ามองออกไปภายนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าสีครามที่ดูงดงามราวกับภาพวาดกลับมิอาจกลบเกลื่อนความรู้สึกอึดอัดภายในใจที่มี เจียงอันเล่อมิรอช้าอีกต่อไป นางรีบเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดเรียบง่าย คลุมทับด้วยผ้าคลุมสีเข้มแล้วรีบออกจากจวนไปอย่างเงียบๆในขณะเดียวกันภายในห้องอักษรของจวนสกุลหาน หานอี้หลงนั่งอยู่หลังโต๊ะใหญ่ ม้วนเอกสารกระจัดกระจายอยู่เบื้องหน้า จ้าวกงยืนรายงานความเคลื่อนไหวของกองกำลังลับที่เตรียมซุ่มโจมตีจางลู่เหวินตามแผนการที่วางเอาไว้เป็นอย่างดี แต่หานอี้หลงกลับเพียงพยักหน้ารับอย่างเหม่อลอยราวกับจิตใจมิได้อยู่กับตัว“ใต้เท้า...ทหารลับรอเพียงคำสั่งจากท่าน...ชีวิตของแม่ทัพจางย่อมอยู่ในเงื้อมมือของเราขอรับ”ทันใดนั้นพ่อบ้านก็เดินเข้ามาด้วยท่าทีลังเลใจ เขาเดินเข้ามาวางของว่างตรงหน