ครึ่งชั่วโมงต่อมาพระชายาเพิ่งเดินมาถึงเรือนริมบึง มิใช่ว่าเรือนนี้ตั้งอยู่ห่างไกลสักเท่าไร เพียงแต่ร่างกายนี้ของตู้จินจินอ่อนแอเหลือเกิน นางจึงต้องเดินไปพักไปถือเป็นการชมทิวทัศน์ไปในตัว แต่มีอีกหลายคนมิได้เข้าใจเช่นนั้น เพราะตอนนี้หน้าเรือนมีสตรีหลายนางยืนเข้าแถวยืนรออยู่บนสะพานที่ทอดยาวเข้าสู่ตัวเรือน ในใจของพวกนางล้วนขุดบรรพบุรุษของพระชายาขึ้นมาสักการะบูชาไปหลายร้อยจบ ด้วยคิดว่าพระชายาตั้งใจกลั่นแกล้งให้พวกนางยืนรอกลางแสงแดดที่เริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ
ที่เรียกว่าเรือนริมบึงนั้นในความเป็นจริงแล้ว ยังต้องเดินข้ามสะพานไปอีกอย่างน้อยก็คงสักหนึ่งร้อยเมตรในสายตาของจินเท่าที่เห็นคร่าว ๆ ยังไม่ได้นับอย่างจริงจังก็มีสตรีไม่น้อยกว่าสิบนาง น่าจะเป็นอนุของขององค์ชายรองทั้งหมด ‘จะหาพวกครั้งเดียวทั้งกระบิเลยสินะอนุเจียว พาพวกนางมาตากแดดรอ หวังจะให้พวกนางเกลียดข้าสินะ’
‘ท่านตาเตือนว่าในเรือนนี้มีคนไม่หวังดีต่อเรา อนุเจียวแน่ ๆ ละคนนึง ส่วนคนอื่นคงต้องดูกันต่อไป’ จินหรือตอนนี้ก็คือพระชายาตู้จินจิน เมื่อคืนหลังจากที่ท่านเทพไฉ่ซิงเอี๊ยะจากไป นางก็นึกได้ว่าก่อนที่นางจะฟื้นขึ้นมานางได้พบตู้จินจิน ซึ่งนอกจากการถ่ายทอดความทรงจำนางยังได้ฝากฝังให้จินช่วยแก้แค้นให้ แท้ที่จริงแล้วนางมิได้ตายไปจากความเจ็บป่วย เพียงแต่ใครเป็นคนลงมือนั้นนางก็มิสามารถบอกได้ วางใจเถอะตู้จินจิน นังจินคนนี้จะแก้แค้นให้เจ้าเอง
หลังจากนั่งลงตรงที่นั่งประธาน เหล่าอนุที่เดินตามเข้ามาด้วยเหงื่อโทรมกาย เครื่องสำอางที่ประโคมแข่งกันแต่งมาด้วยหวังว่าจะดูดีในสายตาพระชายาถ้าเป็นไปได้ เผื่อว่าองค์ชายรองจะเสด็จมาด้วยก็ยิ่งดี แต่ตอนนี้พวกนางได้แต่โล่งใจที่องค์ชายมิได้เสด็จมาด้วย แม้ว่าจะมิได้จดจ้องอย่างเต็มตานางก็เห็นแววตาโล่งใจของพวกนางที่แม้จะคิดปิดบังก็ยังทำได้มิดีพออาจจะด้วยความที่ต่างคนต่างอยู่มานาน ตั้งแต่นางแต่งเข้ามาก็มิเคยเรียกพวกนางมาคารวะตอนเช้าตามธรรมเนียมเลยสักครั้ง
“ก่อนอื่นข้าคงต้องกล่าวว่า ขออภัย เพราะข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้ามารอพบจึงได้เดินไปพักไป ด้วยสุขภาพของข้านั้นเดินได้หนึ่งร้อยก้าวติดต่อกันก็นับว่าดีแล้ว หวังว่าพวกเจ้าจะไม่ถือสาหาความ แล้วก็ลุกขึ้นมายืนพูดคุยกันเถิด เดี๋ยวเข่าด้านไปองค์ชายรองจะมากล่าวหาข้า ว่าทำร้ายดวงใจของเขาเอาได้” หลังจากกล่าวจบตู้จินจินจำต้องเรียกหายาดมจากปี้หรู เพราะแค่เดินมานางก็เหนื่อยแทบแย่แล้ว
ในขณะที่บรรดาอนุทั้งหลายลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ พระชายาที่พวกนางเข้าใจว่าเย่อหยิ่งเพราะถือตนว่าเป็นเจ้าหญิงต่างแคว้น และแกล้งทำเป็นป่วยเพื่อที่จะไม่ต้องพบพวกนางตามที่อนุเจียวได้บอกกล่าวแก่พวกนางตั้งแต่พระชายามาถึง กลับเป็นหญิงร่างเล็กดูจิตใจดี แม้แต่อนุเจียวยังเคยปล่อยให้พวกนางคุกเข่ารอพบบ้างเป็นบางครั้ง ในยามที่พวกนางบางคนมีความจำเป็นหรือมีเรื่องต้องขอร้อง แต่ที่พระชายากล่าวว่าหากหัวเข่าด้านแล้วจะทำร้ายดวงใจขององค์ชายรองนั้นคงเป็นไปมิได้ เพราะตั้งแต่พวกนางเข้ามาอยู่ในจวนแห่งนี้นอกจากจะได้พบกันยามเทศกาลต่าง ๆ ที่มีการจัดงานรื่นเริงในจวนแล้วองค์ชายรองก็ไม่เคยเรียกหาหรือมาเยี่ยมเยือนเพื่อค้างคืนในเรือนพวกนางคนใดเลย
“พวกเจ้านอกจากอนุเจียวที่เป็นคนเก่าคนแก่ก็แนะนำตัวให้ข้ารู้จักตามลำดับการเข้าจวนทีละคนเถิด อย่าลืมบอกด้วยว่าพวกเจ้าเข้าเรือนมาได้อย่างไร อายุเท่าไหร่ มีทักษะใดติดตัวบ้างมีพี่น้องกี่คนและทางบ้านมีกิจการใดบ้าง ข้าจะให้ปี้หรูช่วยจดไว้ ต่อไปหากข้าต้องการความช่วยเหลือสิ่งใดจะได้ขอความร่วมมือจากพวกเจ้าได้” ตู้จินจินเอ่ยเสียงเรียบในแววตามีร้อยยิ้มจริงใจส่งให้เหล่าอนุทุกคน ยกเว้นอนุเจียวแหละนะ
‘รู้ว่าข้าเป็นคนเก่าก็ดีแล้ว นังพระชายาก้างขวางคอ แต่ทำไมตอนพูดว่าคนแก่ต้องเน้นเสียงขนาดนั้นด้วย ข้าแค่เกิดก่อนองค์ชายรองเพียงสองปีเท่านั้น จะอยากรู้ข้อมูลอนุทุกคนไปทำไม ประวัติแต่ละคนล้วนอยู่ที่ข้า มาขอดูก็สิ้นเรื่อง ท่าทางจะมิเคยมีผู้ใดสั่งสอนเรื่องกิจการงานเรือนสินะ’ คิดแล้วก็ทำตาปะหลับปะเหลือกส่งไปด้วยคิดว่าพระชายาไม่ได้มองมาที่นาง เพียงแต่นางไม่รู้ว่าพระชายาตู้ได้สั่งความคนทั้งสี่ที่ตามมาจากเรือน ให้คอยสังเกตสีหน้าอาการทุกคนที่พบเจอไว้ให้ดีแล้วค่อยมารายงานนางเมื่อไม่มีคนนอก
หลังจากพระชายาพูดจบก็มีสตรีรูปร่างสูงโปร่งนางหนึ่งก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าว “บ่าวชื่อซีเหมินเพคะ อายุ 17 ปี เข้าจวนมาสามปีแล้ว บิดาบ่าวได้รับความช่วยเหลือจากองค์ชายรอง ตอนออกไปคุ้มครองขบวนสินค้าแล้วถูกโจรดักปล้นและฆ่าผู้คุ้มกันในขบวนทั้งหมด เหลือเพียงท่านพ่อของบ่าวที่ใกล้ตายเต็มที แต่ขบวนสินค้าขององค์ชายรองผ่านมาพบ และช่วยไว้ได้เสียก่อน แต่กระนั้นสินค้าก็ถูกปล้นไปจนหมด ท่านพ่อสำนึกในพระกรุณาขององค์ชายรองจึงถวายบ่าวเพื่อให้มารับใช้องค์ชายรองแทนท่าน
ท่านพ่อต้องขายทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อชดใช้ตามสัญญา แต่องค์ชายรองทราบเข้าจึงได้ทรงช่วยซื้อไว้และอนุญาตให้บิดาบ่าวยังอยู่อาศัยในเรือนเดิมได้ แต่ตอนนี้กิจการคุ้มกันสินค้านั้นมิได้ทำแล้ว บิดาอาศัยเปิดสอนวิชายุทธ์ให้แก่เหล่าคุณชายผู้มีความสนใจในด้านนี้เจ้าค่ะ เพียงแต่มิได้มีผู้สนใจเรียนมากนัก รายได้ก็เพียงพอใช้จ่ายกับท่านแม่สองคนแค่พอชนเดือน ตัวบ่าวเองนอกจากงานเย็นปักถักร้อยตามวิถีสตรี ท่านพ่อได้สอนวิชาหมัดมวยติดตัวมาบ้าง ท่านบอกว่าช่วยให้ร่างกายแข็งแรงไม่เจ็บป่วยง่ายเพคะ พี่สาวของบ่าวทั้งสามคนแต่งงานแยกเรือนออกไปกันหมดแล้วส่วนพี่ชายคนเดียวของบ่าว เสียชีวิตจากการดักปล้นครั้งนั้นเพคะ” กล่าวจบซีเหมินหรืออนุซีก็ก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว เพื่อเปิดโอกาสให้คนต่อไปได้ขึ้นมารายงานตัว
“ข้าต้องขอโทษพวกเจ้าอีกครั้งด้วยเพราะไม่ทันตั้งตัวจริงๆ ว่าจะได้พบพวกเจ้า จึงมิได้นำของขวัญพบหน้ามาด้วย เดี๋ยวช่วงเย็นข้าจะจัดปาร์ตี้ เอ้ย จัดเลี้ยงมื้อค่ำที่เรือนนี้ พวกเจ้าค่อยมารับเอาตอนนั้นเถอะ นี่ใกล้เที่ยงแล้ว อนุเจียวคงไม่ได้เตรียมสำรับเที่ยงสำหรับพวกเราทุกคน พวกเจ้ากลับไปรับมื้อเที่ยงที่เรือนของตนเองก่อน แล้วค่อยกลับมาอีกทีตอนก่อนมื้อค่ำสักหนึ่งชั่วโมงเถิด ส่วนอนุเจียวอยู่คุยกับข้าสักครู่” ในระหว่างที่ฟังอนุซีพูดไปนั้น นางลอบนับจำนวนอนุที่เข้าแถวเรียงรายอยู่ต่อหน้าได้ทั้งสิ้นสิบหกนาง ถ้าจะปล่อยให้ทุกนางพูดจนครบละก็ ตัวนางเองนั่นแหละที่จะหิวจนเป็นลม จึงได้แต่ปล่อยให้พวกนางกลับเรือนไปรับประทานอาหารกลางวันกันเสียก่อน ส่วนอนุเจียวนั้นนางได้เตรียมของขวัญไว้ให้แล้ว และยังต้องการกำชับอีกสักสองสามเรื่อง
“พระชายามีอันใดให้บ่าวรับใช้เพคะ” หลังจากที่เหล่าอนุถอยไปหมดแล้ว อนุเจียวจึงขยับเข้าหานางอีกสองก้าว แม้จะถามว่ามีอะไรให้รับใช้แต่ท่าทีมิได้แสดงความนบนอบแต่อย่างใด
“ปี้หรู พวกเจ้าหิวแล้วหรือยัง” แทนที่จะตอบคำถามของอนุเจียว ระชายากลับหันไปถามสาวใช้คนสนิท แม้อนุเจียวจะขัดใจเพียงใดก็ได้แต่ต้องรอ
“พระชายายังมิเสวยพวกบ่าวจะหิวได้เยี่ยงไรเพคะ เพียงแต่ถ้าจะต้องกลับไปรับมื้อเที่ยงที่เรือนเหมยกุ้ย เกรงว่าพระองค์จะเป็นลมแดดเอาเสียก่อนนะเพคะ” ปี้หรูพร้อมส่งสายตามีความหมายมาที่นาง
เพื่อนร่วมรุ่นม.ต้นที่สนิทสนมและรักกันมาก จำนวน 4 คนพร้อมทั้งน้องสาวของเพื่อนอีกหนึ่งคนในกลุ่มที่อายุไล่เลี่ยกันทำให้พลอยสนิมสนมกับเพื่อนๆ ของพี่สาวไปด้วย ทั้ง 5 คนมีจุดร่วมกันอีกอย่างที่คนภายนอกไม่ทราบนั่นก็คือความความเคารพนับถือในท่านเทพไฉ่ซิงเอี๊ยะเทพเจ้าแห่งโชคลาภนั่นเองวันนี้ห้าสาวนัดรวมกันไปกินข้าวกลางวันที่ห้างดังแห่งหนึ่งในอำเภอเมือง หนุงหนิงที่พาอุ๊งอิ๊งลูกสาวจินไปประชุมผู้ปกครองที่โรงเรียนประจำจังหวัดแทนจินที่ติดประชุมผู้ถือหุ้นก่อนจะมารวมตัวกับทุกคน เป็นเหตุให้ได้เห็นนายเจนภพสามีจอมเจ้าชู้ของจินที่อ้างว่าป่วยต้องไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลพากิ๊กและลูกติดไปประชุม บังเอิญว่าลูกติดของผู้หญิงคนนั้นเป็นเพื่อนห้องเดียวกับน้องอุ๊งอิ๊งลูกสาวของจิน เธอเลยให้อุ๊งอิ๊งทำทีถามทางไปบ้านของเด็กคนนั้นและเอามาบอกให้จินฟังหลังทานข้าวเสร็จ เพราะกลัวเพื่อนจะไม่ได้กินข้าวกินปลา แต่กระนั้นจินก็รีบร้อนออกไปหาเจนภพตามที่อยู่นั้นทันทีที่หนุงหนิงเล่าจบเนื่องจากเธออนุญาตให้เจนภพสามีจอมเจ้าชู้มีภรรยาน้อยได้ตลอดขอเพียงให้บอกเธอ เธอจะได้พาเจ้าหล่อนไปตรวจร่างกายเพื่อหลีกเลี่ยงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และได้จ
“ตั้งแต่วันที่ข้าฟื้นขึ้นมาก็พบว่ารอบๆ ตัวของข้าเปลี่ยนไป ข้าต้องใช้ชีวิตในร่างของใครอีกคนหนึ่ง ดีที่ได้รับการช่วยเหลือจากท่านเทพไฉ่ซิงเอี๊ยะที่ข้านับถือ และยังได้พบเจอสหายดีๆ ที่ช่วยฟื้นฟูสุขภาพกายและใจให้ข้าเช่นฮัวตั่วเอ๋อ และไป๋เหลียนฮวาที่ปรึกษาในการใช้ชีวิต รวมถึงหวงเฟิ่งและจินหลิงหลิง ทั้งสี่นางทำให้ข้าคิดถึงสหายสนิททั้งสี่ในภพเดิม และต้องไม่ลืมกล่าวถึงอาเม่ยที่ทำให้ข้าหายคิดถึงอุ๊งอิ๊งลูกสาวข้าที่มีวัยใกล้เคียงกับนาง ท่านตาบอกข้าว่าคำอธิฐานของข้าทำให้ข้าได้ย้อนกลับมาแก้ไขชะตาของตนเอง ข้าจึงมิได้เสียใจนักที่ตู้จินจินคนเดิมตายไปเพราะนางก็คือข้าและข้าก็คือนาง เพียงแต่นี่คงจะเรียกว่าว่า ‘อดีตชาติ’ คงมิได้ แต่มันน่าจะเรียกว่า มัลติเวิร์ส1 ที่มีตัวตนของเราอีกคนหนึ่ง ในโลกอีกใบหนึ่ง ซึ่งมีจุดกำเนิด แนวคิด วีถีชีวิต และจุดจบแต่งต่างกันไป และมิจำเป็นว่าต้องมีแค่หนึ่งหรือสองตัวตนเท่านั้น และแม้ว่าแต่ละตัวตนในแต่ละโลกจะต่างฝ่ายต่างดำรงชีวิตกันไปโดยไร้ซึ่งความเกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน แต่หากมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นในภพใดภพหนึ่งอาจส่งกระทบถึงภพอื่นๆ ไปด้วยได้เช่นกัน” หลังจากที่เล่าเรื่องราวโดยละเ
“นังหนู นังหนูจิน อย่ามัวแต่นอนอยู่เลย สงสารสวามีเจ้าบ้างเถิด เคราะห์ครั้งสุดท้ายของเจ้าผ่านไปแล้ว” เสียงอ่อนโยนของเทพชราปลุกให้จินมีสติขึ้นมาในความฝัน “ท่านตาเจ้าขา ท่านตาช่วยหลานไว้ใช่ไหมเจ้าคะ หลานกราบขอบคุณเจ้าค่ะ” พร้อมคำพูดร่างแน่งน้อยกุลีกุจอลุกขึ้นยอบกายลงกราบแทบเท้าท่านเทพที่นางเคารพยิ่ง “คราวนี้นับว่าเป็นกุศลที่เจ้าช่วยหลีกเลี่ยงสงครามครั้งใหญ่ทำให้ผู้คนมากมายรักษาชีวิตไว้ได้ เรียกว่าเป็น ‘บุญรักษา’ อย่างแท้จริงก็ว่าได้” “เป็นเช่นนี้เอง ว่าแต่นี่หลานเข้ามาในมิติได้แถมยังพาสวามีมาได้อีกด้วย เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้เจ้าคะ ท่านตาเคยบอกหลานว่ามีเพียงหลานเองที่สามารถเข้าออกมิติแห่งนี้ได้” แม้ว่าจะดีใจที่พาสวามีหลบภัยเข้ามามิติได้แต่ก็ยังไม่วายสงสัยจนต้องตั้งคำถาม “ในภพเดิมของเจ้าก็มีคำกล่าวว่า ‘สามี-ภรรยา เหมือนดั่งคนคนเดียวกัน’ มิใช่รึ” เสียงตอบเรียบๆจากท่านเทพชราพาให้จินคิดตามและเมื่อคิดได้ว่า นางและเขาได้ผ่านการเข้าหอซึ่งถือว่าเป็นสามี-ภรรยากันแล้ว ใบหน้าเรียวพลันขึ้นสีแดงด้วยความขวยเขิน “ข้ามิได้หมายถึงเรื่องนั้น แต่หมายถึงการที่
หลังสรุปผลการชิงธง และรับประทานมื้อเช้าอันอุดมสมบูรณ์ที่พระชายาตู้สั่งมาจากภัตตาคารชิมเมฆา แม้กับข้าวจะมีเพียงต้มจืดซี่โครงหมูกับผักกาดดองไว้ซดให้คล่องคอ และผัดกะเพราหมูสับไข่ดาวที่เติมได้ไม่อั้นครานี้การพรางตัวเป็นไปอย่างง่ายดายเพราะองครักษ์เงานั้นมีการฝึกแปลงโฉมกันอยู่ก่อนแล้ว ตู้จินจินให้ช่างแต่งหน้าจากคณะละครของไป๋เหลียนฮวามาสอนเพิ่มเติมอีกนิดหน่อยก็เรียกได้ว่าไร้ที่ติ เป้สัมภาระถูกซุกซ่อนในหีบเสื้อผ้า อาหารแห้งปะปนกันทั้งจริงและหลอก อาหารทะเลตากแห้งและเกลือในปริมาณตามที่ได้รับอนุญาตถูกบรรจุไว้ในถังไม้ หรือแม้กระทั่งห่อกระดาษน้ำมันที่ตีตราว่าเป็นใบชา ด้านในกลับเป็นเกาเฟยคั่วบดในซองผ้ากับน้ำตาลอ้อยชนิดผงกองกำลังถูกแบ่งกลุ่มและพรางตัวเพื่อออกเดินทางแล้วแยกย้ายกันไปในรูปลักษณ์ต่างๆ โดยแบ่งกำลังออกเป็น 5 กลุ่ม ทำทีเป็นพ่อค้าบ้าง เป็นคณะละครที่กลับจากแคว้นต้าจินบ้าง ทุกกลุ่มเดินทางทั้งกลางวันกลางคืน เมื่อถึงเมืองชายแดนหลังออกเดินทาง 3 วัน จึงตั้งค่ายพักผ่อนให้เต็มที่ 2 วัน จากนั้นจึงเดินทางเข้าประชิดเป้าหมายคือค่ายโจรเผ่าปาสู่แผนการรบถูกวางและซักซ้อมกันไปแล้วในการฝึกพิเศษ ตู้จินจินถ
เมื่อทุกคนตื่นมารับประทานอาหารเย็นในยามโหย่ว เหตุการณ์ที่พวกเขารับรู้ได้ก็ยังไร้วี่แววการบุกหรือถูกบุกจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยสิ้นเชิง ดีที่มื้อเย็นวันนี้เป็นอาหารปิ้งย่างที่ตู้จินจินให้ทางภัตตาคารชิมเมฆาส่งเนื้อสัตว์เสียบไม้สลับกับผักและผลไม้และมีน้ำหมักที่เอาไว้ทาไปย่างไปมาอีก 2 แบบ คือแบบเผ็ดมากและเผ็ดน้อย ส่วนคนที่ไม่เผ็ดนั้นคือเนื้อสัตว์แต่ละชนิดก่อนจะนำมาเสียบสลับกับผักผลไม้ที่ถูกหมักกับน้ำมันงาและเหล้าอย่างดีมาก่อนแล้ว “เจ้าว่าพวกเขาจะเริ่มบุกกันเมื่อใดหรือ” ฮัวตั่วเอ๋อที่ไม่ได้พักผ่อนยามบ่ายเอ่ยถามขึ้น และอีกหลายคนก็ยังจัดการงานในมือมิแล้วเสร็จ “หลังกลางยามโฉ่วไปแล้วกระมัง หากให้คำนวณตามหลักการของคนปกติ ช่วงนี้จะเป็นเวลาที่กำลังหลับลึกที่สุด แต่ว่าข้าก็มิอาจยืนยันได้เพราะพวกเขาผ่านการฝึกให้ต่างจากคนทั่วไป หากใครต้องการพักผ่อนก็ตามสบาย หากมีความเคลื่อนไหวข้าจะให้คนไปปลุกพวกท่านเอง” ตู้จินจินเองก็เพิ่งพักสายตาไปไม่นานเพราะมัวแต่ถูกก่อกวนจากพระสวามีก็รู้สึกง่วงอยู่ไม่น้อย แม้ว่าจะไม่ได้มีอะไรเกินเลยเพราะต่างก็เกรงใจดวงตะวันที่ยังไม่ตกดิน ทั้งยังมิได้พักอยู่ในจวน
“กลุ่มเลขคี่ประชุมด่วน” เสียงเรียกประชุมดังขึ้นกลางสวนผลไม้ในชมเมฆา แต่กลับไร้วี่แววของกำลังพลกลุ่มเลขคี่ที่ควรจะมารวมตัวกันเพื่อรับฟังการประชุม องค์ชายรองและพระชายามองหน้ากัน ในสายตามีรอยยิ้มน้อยๆ จนเมื่อหยางต้าซานหยิบนกหวีดทองเหลืองออกมาเป่าเป็นจังหวะสั้นยาวสลับกันสามครั้งจึงเริ่มมีกำลังพลทยอยกันมารวมกลุ่มจนครบทุกนายภายในเวลาเพียงชั่วอึดใจ แสดงให้เห็นได้ชัดถึงระเบียบวินัยและความมั่นคงในจิตใจของกำลังพลที่มิเชื่อคำสั่งของผู้ใดโดยง่าย “ทุกคนพรางตัวได้ดีมาก เรื่องบทลงโทษจึงละเว้นให้ แต่อย่าลืมว่าในยามศึกการลงโทษคือชีวิต คืนนี้ฝ่ายเลขคี่เลือกเป็นฝ่ายบุก ดังนั้นภารกิจที่พวกเจ้าได้รับคือ บุกไปชิงธงสัญลักษณ์ของฝ่ายเลขคู่มาให้ได้ก่อนฟ้าสาง โดยที่ต้องรักษาธงสัญลักษณ์ของฝ่ายตนเองเอาไว้ให้ได้ด้วย โดยทั้งสองฝ่ายต้องสร้างหอธงขึ้นมาในส่วนใดก็ได้ของค่ายพัก และภารกิจจะเริ่มเมื่อตะวันตกดิน นี่คือพลุสีเหลือง พวกเจ้าติดตัวไว้คนละ 1 ดอก หากชิงธงมาได้แล้วให้จุดพลุขึ้นทันทีแล้วภารกิจจะเป็นอันเสร็จสิ้น ส่วนแผนการทั้งหมดให้พวกเจ้าหารือกันเอง ครูฝึกและพวกข้าจะคอยสังเกตการณ์ ห้ามมิให้ถึงแก่ชีวิตและห