“ถ้าอย่างนั้นต้องรบกวนอนุเจียว ช่วยให้ห้องเครื่องจัดอาหารมื้อกลางวันส่งมาที่เรือนนี้ด้วย ส่วนครัวเล็กของเรือนนี้นั้นไม่รู้ว่าจัดวัตถุดิบส่งมาแล้วหรือยัง แล้วข้าก็อยากจะถามว่ามีใครจัดเรือนพักให้สารถีหวังหรือยัง เมื่อวานนี้องค์ชายรองตรัสว่าจะให้เขามาพักที่เรือนนอกพร้อมรถม้า” ตู้จินจิน ถามพลางมองอนุเจียวด้วยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ซึ่งถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่ารอยยิ้มนั้นไปไม่ถึงดวงตา
“ทูลพระชายาเพคะ เรื่องมื้อกลางวันนั้นไม่มีปัญหา แต่วัตถุดิบในครัวเล็กนั้นบ่าวไม่ทราบว่าพระชายาจะย้ายมาเรือนนี้เมื่อใด จึงไม่กล้าส่งวัตถุดิบมาก่อนด้วยกลัวจะเก่าเก็บเสียก่อนเพคะ ส่วนเรื่ององครักษ์หวังนั้นองค์ชายรองได้เลื่อนตำแหน่งให้เป็นองครักษ์ประจำพระองค์ของพระชายา และบ่าวได้จัดการเรือนด้านนอกไว้ให้ท่านหวังเรียนร้อยแล้ว เพียงแต่บ่าวยังไม่ได้พบกับท่านหวังเพื่อสอบถามความต้องการเพิ่มเติมจากเขาเลยเพคะ” อนุเจียวตอบครบทุกคำถามในประโยคเดียว
“เช่นนั้นเจ้าเข้ามารับของขวัญพบหน้าจากข้าเถอะ จะได้ไปรับมื้อกลางวันเสีย ส่วนวัตถุดิบสำหรับครัวเล็กนั้นเจ้าช่วยให้คนส่งมาช่วงบ่ายวันนี้เลยแล้วกัน ข้าคงไม่กลับไปเรือนเหมยกุ้ยแล้ว เดินไปเดินมาเหนื่อยโดยใช่เหตุ แดดที่นี่แรงเหลือเกิน เรื่องข้าวของนั้นไว้เจ้าให้คนมาส่งวัตถุดิบแล้วข้าค่อยขอแรงพวกเขา ป้าชุ่ยทั้งสองไปช่วยกันย้ายของมาที่เรือนนี้เลย จะว่าไปข้าลืมถามว่าอนุขององค์ชายรองที่มาวันนี้ครบทุกคนแล้วหรือไม่ ข้าจะได้เตรียมของขวัญไว้ให้ทั่วถึง หากขาดใครไปคงไม่ดี ส่วนองครักษ์หวังข้าให้ป้าชุ่ยไปตามมาแล้ว เขาคงรอพบข้าอยู่” ตู้จินจิน ส่งถุงแดงที่นางรับมาจากเสี่ยวมี่ส่งให้อนุเจียว
“ขอบพระทัยพระชายาเพคะ บ่าวจะจัดการให้คนส่งวัตถุดิบมาให้ทันทีเพคะ ส่วนอนุในเรือนวันนี้ขาดไปเพียงอนุม่าน นางลากลับบ้านเพราะมารดานางสิ้น บ่าวสงสารที่มารดานางเหลือนางเพียงผู้เดียว เลยอนุญาตให้นางไปจัดการพิธีศพ คาดว่าคงกลับมาภายในวันสองวันนี้ ถ้าพระชายาไม่มีสิ่งใดแล้ว บ่าวขอตัวไปแจ้งห้องเครื่องให้ส่งมื้อกลางวันมายังเรือนนี้ก่อนนะเพคะ” หลังจากแน่ใจว่าพระชายาไม่มีสิ่งใดมอบหมายเพิ่มเติมแล้ว อนุเจียวจึงขอตัวออกไปโดยทำเป็นลืมถามถึงรายการอาหารที่พระชายาจะจัดเลี้ยงเหล่าอนุในมื้อเย็นตามที่นางได้กล่าวไว้
“ไปเถอะ กว่าอาหารจะมาคงอีกพักใหญ่พวกเราเดินดูรอบๆ เรือนกัน” ตู้จินจินลุกขึ้นเดินชมเรือนใหม่ที่นางจะย้ายเข้ามาอาศัยตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป โดยนางได้กำหนดการใช้ห้องต่างๆ ตามที่นางต้องการ โดยห้องนอนประธานนั้นนางได้เว้นไว้ให้องค์ชายรอง เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นเจ้าของจวนแห่งนี้ แต่จะให้นางใช้ห้องประธานโดยหวังว่าองค์ชายรองจะมาค้างคืนกับนางนั้นนางรับไม่ได้ ร่างนี้ของตู้จินจินเพิ่งอายุสิบห้าปี หากเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา โอ้ย ไม่อยากจะคิด นางอ่านนิยายมากมายนัก หลายเรื่องที่ถึงแม้จะคลอดปลอดภัยแต่ก็ทรมานไม่น้อย ไหนจะเล่ห์กลในเรือนหลังต่างๆ นานา จวนหลังนี้ยิ่งมีอนุอยู่มากมาย นางยังไม่กล้าคิด
หลังจากจัดการแบ่งสันปันส่วนห้องพัก และจัดการห้องใช้งานต่างๆ เช่นห้องหนังสือและห้องเก็บสมบัติ ขณะที่กำลังจะไปดูครัวเล็กคนจากห้องเครื่องก็มาส่งอาหารกลางวันพอดี พร้อมทั้งมีบ่าวชายจำนวนหนึ่งนำวัตถุดิบในการทำอาหารมาส่ง นางจึงให้พวกเขานำไปไว้ในห้องครัวก่อน จนกระทั่งพวกนางรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ คนงานพวกนั้นก็จัดวางวัตถุดิบในครัวเข้าที่เข้าทางพอดี บ่าวชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก็เข้ามาขอพบ พร้อมทั้งแจงว่าอนุเจียวให้พวกเขาอยู่รอคำสั่งให้ไปขนย้ายข้าวของจากเรือนเหมยกุ้ย ตู้จินจินจึงให้ปี้หรูและป้าชุ่ยทั้งสองนำบ่าวชายทั้งหมด กลับไปขนของจากเรือนเหมยกุ้ย ใจจริงนางอยากให้เสี่ยวมี่ไปด้วย เพื่อนางจะได้แอบเข้าไปงีบในห้องแอร์ที่อยู่ในมิติ แต่ปี้หรูเป็นห่วงกลัวนางจะเป็นลมจากความร้อน จึงให้บ่าวชายผู้หนึ่งไปเบิกน้ำแข็งจากห้องเก็บน้ำแข็งใต้ดินมาวางไว้ข้างเตียงเพื่อให้นางงีบหลับกลางวัน
อากาศร้อนเยี่ยงนี้ได้น้ำแข็งมาวางไว้ใกล้ๆ ช่วยให้นางพอจะหลับลงได้บ้าง ตั่วเอ๋อสั่งไว้ว่าให้นางกินให้อิ่มนอนให้หลับ ออกกำลังกายเบาๆ ให้ร่างกายค่อยๆ ฟื้นฟู เพียงแต่ในการที่จะให้ได้รับลมเย็นนั้น ต้องวางอ่างน้ำแข็งไว้ใกล้ๆ แล้วจึงให้นางกำนัลหรือบ่าวหญิงมานั่งโบกพัดให้ลมผ่านก้อนน้ำแข็ง หากเมื่อยก็เปลี่ยนคนอื่นมาโบกแทน นางสงสารนางกำนัลเหล่านั้น เพราะโบกพัดแม้จะเป็นงานเบาแต่ถ้าต้องทำต่อเนื่องนานๆ ก็กินแรงไม่น้อย แถมลมยังไม่โดนตัวคนพัด ทำให้ยิ่งร้อนมากขึ้นจากการออกแรง เป็นการเอาเปรียบแรงงานยิ่งนัก ตู้จินจินเกิดมาในรั้วในวังเป็นองค์หญิงเต็มตัวคงมิเคยรู้สึกอันใด แถมตอนนางแต่งเข้ามาในจวนนางก็ไม่มีกระจิตกระใจจะทำสิ่งใดจึงมิเคยคิดจะเอ่ยปากถามหาแม้แต่น้ำแข็งที่ในจวนแห่งนี้มิเคยขาดแคลน
“พระชายาตื่นแล้ว ล้างหน้าก่อนเพคะ” ปี้หรูที่เพิ่งเดินเข้ามาหลังจากเปลี่ยนให้เสี่ยวมี่มาพัดให้พระชายาเพื่อจะได้อยู่ใกล้น้ำแข็งบ้างและนางจะได้ออกไปกำกับการจัดวางของที่ย้ายมาจากเรือนเหมยกุ้ยด้วย
“พระชายาเพคะ นี่ก็บ่ายแก่แล้ว ไม่เห็นอนุเจียวส่งใครมาถามเรื่องรายการอาหารที่พระชายาจะจัดเลี้ยงเย็นนี้เลยเพคะ” หลังจากพระชายาล้างหน้าจากอ่างทองเหลืองที่นางนำมาให้แล้ว นางจึงได้ให้เสี่ยวมี่ยกออกไปและนั่งลงข้างเตียงพร้อมทั้งเอ่ยถาม
“ถ้าเป็นเจ้า เจ้าจะอยากให้คนที่เจ้าหมั่นไส้ได้รับความชื่นชมโดยมิได้ลงแรงหรือไม่” พระชายามิได้ตอบคำ แต่กลับย้อนถามให้ปี้หรูต้องขบคิด
“ถ้าเป็นบ่าว อย่าว่าแต่จะให้ได้รับความชื่นชมโดยมิได้ลงแรงเลยเพคะ ถ้าทำได้แม้เห็นหน้าบ่าวก็ยังมิอยากเห็นเลยเพคะ” เสียงเสี่ยวมี่ดังมาก่อนตัวหลังจากที่นางนำอ่างล้างหน้าไปเก็บ และเข้ามาได้ยินคำถามของพระชายาเข้าพอดี
“นังเด็กบ้ามิมีสัมมาคารวะ พระชายาหาได้กล่าวกับเจ้าไม่ ทะลึ่งกลางปล้องขึ้นมาได้ เห็นทีพระชายาจะใจดีกับเจ้ามากเกินไป” ปี้หรูบ่นให้เสี่ยวมีพร้อมง้างฝ่ามือเตรียมจะซัดเสี่ยวมี่สักป้าบ
“เสี่ยวมี่ยังเด็กนัก นางคิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น ต่อไปเจ้าก็สอนนางให้มากหน่อย” เนื่องจากปี้หรูเป็นนางกำนัลเด็กที่เข้าวังตั้งแต่อายุเพียงหกปี จึงเพียบพร้อมมารยาทและกิริยา เพราะผ่านการเคี่ยวกรำจากมามาในวังหลวงแคว้นสู่ ส่วนเสี่ยวมี่นั้นพระชายาตู้ช่วยไว้ในระหว่างเดินทางมายังแคว้นต้าจินเพื่อเข้าพิธีสมรส ด้วยเห็นว่าพ่อแม่นางเสียชีวิตจากสงครามเด็กหญิงอายุเพียงสิบสามปี
หากโชคไม่ดีคงไม่พ้นถูกล่อลวงไปขาย เพราะตอนนี่ได้พบกับนางนั้นเสี่ยวมี่สภาพไม่ต่างจากเด็กขอทาน และยังแต่งตัวเป็นชายเพื่อขอทานเลี้ยงชีพ ครั้งนั้นนางกำลังถูกเด็กขอทานหลายคนรุมทุบตีเพื่อแย่งชิงแป้งจี่เพียงแผ่นเดียวที่พระชายาประทานให้ ด้วยเหตุนี้ตู้จินจินจึงเอ็นดูนางเหมือนน้องสาว ส่วนปี้หรูนั้นอายุมากกว่านางสองปี จะบอกว่าตู้จินจินเห็นนางเหมือนพี่สาวก็ได้ เพียงแต่ปี้หรูไม่ได้กล้าที่จะตีตนเสมอท่าน ยังคงรักษาระยะห่างกับนางอยู่เสมอ
“พระชายาเอ็นดูเจ้านัก เจ้าระลึกไว้ด้วยล่ะ” หลังจากค้อนให้พระชายาไปหนึ่งวงเล็กๆ ก็หันไปกล่าวกับเสี่ยวมี่
“ข้าจดจำพระคุณของพระชายาและพี่ปี้หรูไว้เสมอเจ้าค่ะ แต่พี่ปี้หรูมัวแต่บ่นข้า ท่านยังมิได้ตอบคำพระชายาเลยนะเจ้าคะ” เสี่ยวมี่กล่าวไปยิ้มไปแต่ก็ไม่วายยียวนปี้หรูตามประสาเด็กทะเล้น
เพื่อนร่วมรุ่นม.ต้นที่สนิทสนมและรักกันมาก จำนวน 4 คนพร้อมทั้งน้องสาวของเพื่อนอีกหนึ่งคนในกลุ่มที่อายุไล่เลี่ยกันทำให้พลอยสนิมสนมกับเพื่อนๆ ของพี่สาวไปด้วย ทั้ง 5 คนมีจุดร่วมกันอีกอย่างที่คนภายนอกไม่ทราบนั่นก็คือความความเคารพนับถือในท่านเทพไฉ่ซิงเอี๊ยะเทพเจ้าแห่งโชคลาภนั่นเองวันนี้ห้าสาวนัดรวมกันไปกินข้าวกลางวันที่ห้างดังแห่งหนึ่งในอำเภอเมือง หนุงหนิงที่พาอุ๊งอิ๊งลูกสาวจินไปประชุมผู้ปกครองที่โรงเรียนประจำจังหวัดแทนจินที่ติดประชุมผู้ถือหุ้นก่อนจะมารวมตัวกับทุกคน เป็นเหตุให้ได้เห็นนายเจนภพสามีจอมเจ้าชู้ของจินที่อ้างว่าป่วยต้องไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลพากิ๊กและลูกติดไปประชุม บังเอิญว่าลูกติดของผู้หญิงคนนั้นเป็นเพื่อนห้องเดียวกับน้องอุ๊งอิ๊งลูกสาวของจิน เธอเลยให้อุ๊งอิ๊งทำทีถามทางไปบ้านของเด็กคนนั้นและเอามาบอกให้จินฟังหลังทานข้าวเสร็จ เพราะกลัวเพื่อนจะไม่ได้กินข้าวกินปลา แต่กระนั้นจินก็รีบร้อนออกไปหาเจนภพตามที่อยู่นั้นทันทีที่หนุงหนิงเล่าจบเนื่องจากเธออนุญาตให้เจนภพสามีจอมเจ้าชู้มีภรรยาน้อยได้ตลอดขอเพียงให้บอกเธอ เธอจะได้พาเจ้าหล่อนไปตรวจร่างกายเพื่อหลีกเลี่ยงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และได้จ
“ตั้งแต่วันที่ข้าฟื้นขึ้นมาก็พบว่ารอบๆ ตัวของข้าเปลี่ยนไป ข้าต้องใช้ชีวิตในร่างของใครอีกคนหนึ่ง ดีที่ได้รับการช่วยเหลือจากท่านเทพไฉ่ซิงเอี๊ยะที่ข้านับถือ และยังได้พบเจอสหายดีๆ ที่ช่วยฟื้นฟูสุขภาพกายและใจให้ข้าเช่นฮัวตั่วเอ๋อ และไป๋เหลียนฮวาที่ปรึกษาในการใช้ชีวิต รวมถึงหวงเฟิ่งและจินหลิงหลิง ทั้งสี่นางทำให้ข้าคิดถึงสหายสนิททั้งสี่ในภพเดิม และต้องไม่ลืมกล่าวถึงอาเม่ยที่ทำให้ข้าหายคิดถึงอุ๊งอิ๊งลูกสาวข้าที่มีวัยใกล้เคียงกับนาง ท่านตาบอกข้าว่าคำอธิฐานของข้าทำให้ข้าได้ย้อนกลับมาแก้ไขชะตาของตนเอง ข้าจึงมิได้เสียใจนักที่ตู้จินจินคนเดิมตายไปเพราะนางก็คือข้าและข้าก็คือนาง เพียงแต่นี่คงจะเรียกว่าว่า ‘อดีตชาติ’ คงมิได้ แต่มันน่าจะเรียกว่า มัลติเวิร์ส1 ที่มีตัวตนของเราอีกคนหนึ่ง ในโลกอีกใบหนึ่ง ซึ่งมีจุดกำเนิด แนวคิด วีถีชีวิต และจุดจบแต่งต่างกันไป และมิจำเป็นว่าต้องมีแค่หนึ่งหรือสองตัวตนเท่านั้น และแม้ว่าแต่ละตัวตนในแต่ละโลกจะต่างฝ่ายต่างดำรงชีวิตกันไปโดยไร้ซึ่งความเกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน แต่หากมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นในภพใดภพหนึ่งอาจส่งกระทบถึงภพอื่นๆ ไปด้วยได้เช่นกัน” หลังจากที่เล่าเรื่องราวโดยละเ
“นังหนู นังหนูจิน อย่ามัวแต่นอนอยู่เลย สงสารสวามีเจ้าบ้างเถิด เคราะห์ครั้งสุดท้ายของเจ้าผ่านไปแล้ว” เสียงอ่อนโยนของเทพชราปลุกให้จินมีสติขึ้นมาในความฝัน “ท่านตาเจ้าขา ท่านตาช่วยหลานไว้ใช่ไหมเจ้าคะ หลานกราบขอบคุณเจ้าค่ะ” พร้อมคำพูดร่างแน่งน้อยกุลีกุจอลุกขึ้นยอบกายลงกราบแทบเท้าท่านเทพที่นางเคารพยิ่ง “คราวนี้นับว่าเป็นกุศลที่เจ้าช่วยหลีกเลี่ยงสงครามครั้งใหญ่ทำให้ผู้คนมากมายรักษาชีวิตไว้ได้ เรียกว่าเป็น ‘บุญรักษา’ อย่างแท้จริงก็ว่าได้” “เป็นเช่นนี้เอง ว่าแต่นี่หลานเข้ามาในมิติได้แถมยังพาสวามีมาได้อีกด้วย เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้เจ้าคะ ท่านตาเคยบอกหลานว่ามีเพียงหลานเองที่สามารถเข้าออกมิติแห่งนี้ได้” แม้ว่าจะดีใจที่พาสวามีหลบภัยเข้ามามิติได้แต่ก็ยังไม่วายสงสัยจนต้องตั้งคำถาม “ในภพเดิมของเจ้าก็มีคำกล่าวว่า ‘สามี-ภรรยา เหมือนดั่งคนคนเดียวกัน’ มิใช่รึ” เสียงตอบเรียบๆจากท่านเทพชราพาให้จินคิดตามและเมื่อคิดได้ว่า นางและเขาได้ผ่านการเข้าหอซึ่งถือว่าเป็นสามี-ภรรยากันแล้ว ใบหน้าเรียวพลันขึ้นสีแดงด้วยความขวยเขิน “ข้ามิได้หมายถึงเรื่องนั้น แต่หมายถึงการที่
หลังสรุปผลการชิงธง และรับประทานมื้อเช้าอันอุดมสมบูรณ์ที่พระชายาตู้สั่งมาจากภัตตาคารชิมเมฆา แม้กับข้าวจะมีเพียงต้มจืดซี่โครงหมูกับผักกาดดองไว้ซดให้คล่องคอ และผัดกะเพราหมูสับไข่ดาวที่เติมได้ไม่อั้นครานี้การพรางตัวเป็นไปอย่างง่ายดายเพราะองครักษ์เงานั้นมีการฝึกแปลงโฉมกันอยู่ก่อนแล้ว ตู้จินจินให้ช่างแต่งหน้าจากคณะละครของไป๋เหลียนฮวามาสอนเพิ่มเติมอีกนิดหน่อยก็เรียกได้ว่าไร้ที่ติ เป้สัมภาระถูกซุกซ่อนในหีบเสื้อผ้า อาหารแห้งปะปนกันทั้งจริงและหลอก อาหารทะเลตากแห้งและเกลือในปริมาณตามที่ได้รับอนุญาตถูกบรรจุไว้ในถังไม้ หรือแม้กระทั่งห่อกระดาษน้ำมันที่ตีตราว่าเป็นใบชา ด้านในกลับเป็นเกาเฟยคั่วบดในซองผ้ากับน้ำตาลอ้อยชนิดผงกองกำลังถูกแบ่งกลุ่มและพรางตัวเพื่อออกเดินทางแล้วแยกย้ายกันไปในรูปลักษณ์ต่างๆ โดยแบ่งกำลังออกเป็น 5 กลุ่ม ทำทีเป็นพ่อค้าบ้าง เป็นคณะละครที่กลับจากแคว้นต้าจินบ้าง ทุกกลุ่มเดินทางทั้งกลางวันกลางคืน เมื่อถึงเมืองชายแดนหลังออกเดินทาง 3 วัน จึงตั้งค่ายพักผ่อนให้เต็มที่ 2 วัน จากนั้นจึงเดินทางเข้าประชิดเป้าหมายคือค่ายโจรเผ่าปาสู่แผนการรบถูกวางและซักซ้อมกันไปแล้วในการฝึกพิเศษ ตู้จินจินถ
เมื่อทุกคนตื่นมารับประทานอาหารเย็นในยามโหย่ว เหตุการณ์ที่พวกเขารับรู้ได้ก็ยังไร้วี่แววการบุกหรือถูกบุกจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยสิ้นเชิง ดีที่มื้อเย็นวันนี้เป็นอาหารปิ้งย่างที่ตู้จินจินให้ทางภัตตาคารชิมเมฆาส่งเนื้อสัตว์เสียบไม้สลับกับผักและผลไม้และมีน้ำหมักที่เอาไว้ทาไปย่างไปมาอีก 2 แบบ คือแบบเผ็ดมากและเผ็ดน้อย ส่วนคนที่ไม่เผ็ดนั้นคือเนื้อสัตว์แต่ละชนิดก่อนจะนำมาเสียบสลับกับผักผลไม้ที่ถูกหมักกับน้ำมันงาและเหล้าอย่างดีมาก่อนแล้ว “เจ้าว่าพวกเขาจะเริ่มบุกกันเมื่อใดหรือ” ฮัวตั่วเอ๋อที่ไม่ได้พักผ่อนยามบ่ายเอ่ยถามขึ้น และอีกหลายคนก็ยังจัดการงานในมือมิแล้วเสร็จ “หลังกลางยามโฉ่วไปแล้วกระมัง หากให้คำนวณตามหลักการของคนปกติ ช่วงนี้จะเป็นเวลาที่กำลังหลับลึกที่สุด แต่ว่าข้าก็มิอาจยืนยันได้เพราะพวกเขาผ่านการฝึกให้ต่างจากคนทั่วไป หากใครต้องการพักผ่อนก็ตามสบาย หากมีความเคลื่อนไหวข้าจะให้คนไปปลุกพวกท่านเอง” ตู้จินจินเองก็เพิ่งพักสายตาไปไม่นานเพราะมัวแต่ถูกก่อกวนจากพระสวามีก็รู้สึกง่วงอยู่ไม่น้อย แม้ว่าจะไม่ได้มีอะไรเกินเลยเพราะต่างก็เกรงใจดวงตะวันที่ยังไม่ตกดิน ทั้งยังมิได้พักอยู่ในจวน
“กลุ่มเลขคี่ประชุมด่วน” เสียงเรียกประชุมดังขึ้นกลางสวนผลไม้ในชมเมฆา แต่กลับไร้วี่แววของกำลังพลกลุ่มเลขคี่ที่ควรจะมารวมตัวกันเพื่อรับฟังการประชุม องค์ชายรองและพระชายามองหน้ากัน ในสายตามีรอยยิ้มน้อยๆ จนเมื่อหยางต้าซานหยิบนกหวีดทองเหลืองออกมาเป่าเป็นจังหวะสั้นยาวสลับกันสามครั้งจึงเริ่มมีกำลังพลทยอยกันมารวมกลุ่มจนครบทุกนายภายในเวลาเพียงชั่วอึดใจ แสดงให้เห็นได้ชัดถึงระเบียบวินัยและความมั่นคงในจิตใจของกำลังพลที่มิเชื่อคำสั่งของผู้ใดโดยง่าย “ทุกคนพรางตัวได้ดีมาก เรื่องบทลงโทษจึงละเว้นให้ แต่อย่าลืมว่าในยามศึกการลงโทษคือชีวิต คืนนี้ฝ่ายเลขคี่เลือกเป็นฝ่ายบุก ดังนั้นภารกิจที่พวกเจ้าได้รับคือ บุกไปชิงธงสัญลักษณ์ของฝ่ายเลขคู่มาให้ได้ก่อนฟ้าสาง โดยที่ต้องรักษาธงสัญลักษณ์ของฝ่ายตนเองเอาไว้ให้ได้ด้วย โดยทั้งสองฝ่ายต้องสร้างหอธงขึ้นมาในส่วนใดก็ได้ของค่ายพัก และภารกิจจะเริ่มเมื่อตะวันตกดิน นี่คือพลุสีเหลือง พวกเจ้าติดตัวไว้คนละ 1 ดอก หากชิงธงมาได้แล้วให้จุดพลุขึ้นทันทีแล้วภารกิจจะเป็นอันเสร็จสิ้น ส่วนแผนการทั้งหมดให้พวกเจ้าหารือกันเอง ครูฝึกและพวกข้าจะคอยสังเกตการณ์ ห้ามมิให้ถึงแก่ชีวิตและห