LOGINหลังงานเลี้ยงพบป่ะสังสรรค์กันระหว่างสองสกุลจบลงและเอ่ยคำร่ำลากันเสร็จ คุณปู่โจวก็ให้รถที่เตรียมเอาไว้ไปส่งครอบครัวสกุลซูที่บ้าน โดยรอบนี้มีห่าวหมิงตามกลับไปด้วย
เช้าวันต่อมาห่าวหมิงที่กลับมานอนค้างที่บ้านคืนหนึ่งก่อนจะกลับเข้าเมืองไปเรียนที่มหาลัยก็ได้มาเดินดูงานที่น้องสาววางแปลนเอาไว้ ทั้งเรื่องจ้างคนมาสร้างโรงเรือนเพาะพันธุ์ต้นกล้า โรงเรือนสำหรับเพาะพันธุ์เห็ดและพืชผลที่ต้องการการดูเอาใจใส่เป็นพิเศษ และแปลงพื้นที่ที่เตรียมเอาไว้เพาะปลูกพืชผลใหม่ๆ รวมทั้งแปลงเปล่าที่บำรุงดินรับแสงแดดเอาไว้เพาะพืชผักชนิดพิเศษที่น้องสาวบอกว่ามันเป็นการปลูกผักใต้หิมะที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนแต่ก็อยากให้หนิงเฉินได้ลองทำอย่างเต็มที่เช่นเดียวกับที่ปู่ พ่อและทุกคนซึ่งสนับสนุนหนิงเฉินให้ได้ทำในสิ่งที่ต้องการ
ส่วนปุ๋ยที่หนิงเฉินแอบกระซิบว่าความจริงแล้วเธอซื้อหามาจากตลาดมืดก็ได้ผลดีกับพืชผลซึ่งเพาะปลูกอยู่ไม่น้อย ระยะเวลาเพียงเดือนเดียวที่เขาไม่อยู่ก็รู้สึกได้ว่าแปลงพืชผักผลไม้ที่หนิงเฉินใช้ในการทดลองให้ทุกคนดูเห็นผลได้อย่างชัดเจนพืชผักออกดอกออกผลดกงาม อุดมสมบูรณ์น่ากินโดยแท้
“เฉินเอ๋อ..น้องเก่งจริงๆ พวกโครงการพัฒนาพวกนี้ถูกจัดทำขึ้นอย่างเป็นระบบระเบียบ มีตัวอย่างแปลงทดลองให้เห็นผลชัดเจน ทั้งยังมีการวัดค่าดินตรวจสอบความชื้นและสภาวะแวดล้อมในแต่ละฤดูกาลโดยละเอียดทีเดียว น้องทำโครงการเหมือนพวกที่จบระดับปริญญาตรีหรือสูงกว่านั้นด้วยซ้ำ น้องไปเอาความรู้พวกนี้มาจากไหนกัน” ห่าวหมิงถามด้วยความประหลาดใจ ขนาดเขาที่เป็นเด็กมหาลัยปีสามเรียนรู้เรื่องการเกษตรมาโดยตรงก็ไม่แน่ว่าจะคิดแผนพัฒนาพืชพันธุ์ได้ละเอียดรอบคอบถึงเพียงนี้
“แหมก็ฉันโตมากับไร่กับสวน อยู่กับผู้เชี่ยวชาญอย่างปู่กับพ่อมาตั้งแต่เกิดนะคะ ยิ่งได้รู้จักคบหาคนมากขึ้น ได้อ่านหนังสือมากมายจึงทำให้ตัวเองคิดแผนการนี้ขึ้นมาได้ยังไงล่ะคะ ต่อไปหากพี่ห่าวหมิงเรียนจบมาก็มาช่วยฉันสานต่อโครงการได้เลย รับรองว่าพี่ต้องได้ใช้ความรู้ความสามารถที่เรียนมาอย่างเต็มที่แน่นอนเลยล่ะ” หนิงเฉินตีเนียนอธิบายไปเรื่อยเปื่อย แม้นจะรู้ว่าห่าวหมิงยังมีความเคลือบแคลงสงสัยอยู่แต่คงไม่มาคาดคั้นอะไรกับเธออีก เพราะเธอก็ไม่ได้ทำเรื่องไม่ดีเสียหน่อย
“เอาล่ะ พี่เข้าใจแล้ว ต่อไปนี้พี่จะพยายามกลับบ้านให้บ่อยขึ้น พออยู่ปีสี่ก็คาดว่าน่าจะมีเวลามากขึ้นแล้ว ถึงคราวน้องต้องเข้ามหาลัยปีหนึ่งจะได้วางใจกับงานที่เริ่มทำเอาไว้นี่ไงล่ะ”
“ขอบคุณค่ะพี่หมิงห่าว ฉันรู้อยู่แล้วว่าพี่พึ่งพาได้” หนิงเฉินกล่าวเอาใจและยิ้มประจบเต็มที่
“ไม่ต้องมาประจบเลย เธอเป็นน้องพี่นะ ส่วนนี่ก็เป็นอาชีพของครอบครัวเราเป็นความตั้งใจที่พี่จะทำมันให้ดีขึ้นอยู่แล้ว แต่ไม่นึกว่าน้องจะเริ่มมันไปก่อน ทั้งยังทำได้ดีมากอีกด้วย”
“เล็กน้อยเองค่ะ เพื่อครอบครัวของเราฉันทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว”
“เอาเถอะพี่รู้แล้วว่าเธอเก่ง ทำได้ขนาดนี้ก็สมควรแล้วล่ะที่เธอจะไม่เลือกเรียนต่อด้านการเกษตรอีก อ้อ..แล้วเรื่องค่าเล่าเรียนพี่มีเงินเก็บส่วนตัวจากการเป็นพนักงานชั่วคราวอยู่ก้อนหนึ่งเธอเอามันไปเป็นทุนการศึกษาได้เลยนะ” ห่าวหมิงเอ่ย ก่อนหน้านี้เขาเพียงแค่คิดว่ารับจ้างทำงานชั่วคราวเพื่อเก็บเงินเผื่อเอาไว้ให้ตัวเองกับครอบครัวยามจำเป็นเท่านั้น แต่หลังจากที่รู้ว่าหนิงเฉินมีความตั้งใจจริงที่จะเรียนต่อมากขนาดนี้ เขาก็ยินดีมอบเงินทั้งหมดเป็นทุนการศึกษาให้กับน้องสาวของเขา
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันทำงานหารายได้เพิ่มเติมได้เงินมาไม่น้อยเลย จะแอบบอกพี่เอาไว้ก็ได้ แต่พี่หมิงห่าวต้องรับปากกับฉันก่อนนะคะว่าจะไม่ไปบอกต่อกับใครเด็ดขาดแม้นแต่พ่อกับแม่”
“ลึกลับขนาดนั้นเชียว”
“ใช่ค่ะ”
“เอาล่ะพี่รับปากว่ามาเถอะ”
“ความจริงฉันเอาของไปขายในตลาดมืดจึงได้ราคาดี บวกกับของมีคุณภาพ บางอย่างไม่มีใครเคยทำขายเลยยิ่งขายดีและราคาสูงเข้าไปใหญ่ อย่างเช่นแยมผลไม้ที่ช่วยกันทำวันนี้ยังไงล่ะคะ แต่ละรอบได้เงินมาเป็นพันหยวนเลยทีเดียว” หนิงเฉินยอมบอกความจริงห่าวหมิงเพราะเชื่อว่าเขาคงไม่มีทางหลุดปากบอกใครแน่
“เดี๋ยวนะ ตลาดมืดงั้นหรือ เฉินเอ๋อ มันจะเสี่ยงเกินไปหรือเปล่าแล้วไม่อันตรายงั้นหรือ ถ้าเจ้าหน้าที่ไปตรวจจับจะทำยังไง” ห่าวหมิงคิดห่วงไปสารพัด
“ใจเย็นๆค่ะพี่ห่าวหมิง ความจริงตลาดมืดก็เหมือนตลาดธรรมดาทั่วไปนี่แหละค่ะ เพียงแต่สินค้าที่นำมาขายเป็นสินค้าที่ไม่ค่อยมีในประเทศ หายากหรือมีราคาสูงมาก ไม่ก็ถูกจำกัดด้วยคูปองเท่านั้นเอง ส่วนเรื่องเจ้าหน้าที่ตอนนี้ก็ไม่ได้เข้มงวดกวดขันเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เพราะคงเข้าใจดีถึงความเดือดร้อนและความต้องการของประชาชนที่กว่าจะผ่านยุคอดอยากแร้นแค้นมาได้นั่นล่ะค่ะ” หนิงเฉินอธิบาย
“จริงเหรอ”
“จริงสิคะ ฉันไม่โกหกพี่หรอก อีกอย่างที่นั่นฉันก็มีเพื่อนขายของที่นิสัยดีไม่น้อยเลยทีเดียวคอยจองที่วางแผงให้ฉันด้วย”
“ให้มันจริงเถอะ ถ้าแบบนี้พี่ก็คลายสงสัยแล้วว่าทำไมการค้าของน้องจึงได้ทีคราวละหลายพันหยวนแบบนั้น ดีแล้วล่ะที่น้องไม่ให้คนที่บ้านพูดบอกใครเรื่องรายได้พวกนี้” ห่าวหมิงเข้าใจเรื่องทุกอย่างทันทีหลังจากได้ยินน้องสาวสารภาพว่าเอาของไปขายที่ตลาดมืดแหล่งการค้าเสรีที่มีราคาสินค้าแทบทุกชนิดในราคาที่สูงไม่น้อย แต่ก็เป็นที่ต้องการของผู้บริโภคจำนวนมากเช่นกัน เนื่องจากไม่อยู่ในกฎเกณฑ์ข้อบังคับของการควบคุมสินค้าจากรัฐบาลและคูปองแต่ล่ะชนิดที่มีจำกัด โดยเฉพาะพวกเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือจักรยานที่ค่อนข้างจะหายากทีเดียว
“เฮ้อทีนี้ฉันก็สบายใจแล้วมีพี่ห่าวหมิงรับรู้ความจริงเอาไว้แบบนี้”
“น้องหาเพื่อนร่วมรู้เห็นเผื่อโดนจับได้ทีหลังแล้วพ่อกับแม่หรือกระทั่งปู่ย่าดุเอาน่ะสิ ต่อไปจะได้มีพี่คอยแก้ต่างให้ยังไงล่ะ”
“พี่ห่าวหมิงนี่รู้ทันฉันจริงๆ”
“แน่ล่ะ พี่เป็นพี่ชายน้องนี่นา ถึงยังไงก็ต้องคอยช่วยเหลือสนับสนุนอยู่แล้ว” ห่าวหมิงกล่าวก่อนจะใช้มือขยี้หัวหนิงเฉินเบาๆอย่างมันเขี้ยวที่ตอนนี้น้องสาวเขาใจกล้าถึงขนาดไปขายของเองที่ตลาดมืด ทั้งๆที่เมื่อก่อนชอบเก็บตัวไม่ค่อยจะไปไหนมาไหนกับใครเขาแท้ๆ
หลังจากเดินดูโครงการและฟังรายละเอียดแผนงานที่หนิงเฉินทำเอาไว้เสร็จห่าวหมิงก็ขอตัวลาทุกคนกลับเข้าเมืองไปเพื่อไปเรียนหนังสือต่อ ส่วนหนิงเฉินก็ขอตัวเอาของที่ช่วยกันทำไปขายที่ตลาดเช่นกัน โดยวันนี้เธอนำเห็ดหลินจือ โสมป่าและถั่งเช่าชั้นดีมาขายอีกครั้งและได้เงินมาราวหกหมื่นสามพันหยวนโดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนแม้นแต่หยวนเดียว
ส่วนสินค้าที่ช่วยกันทำกับครอบครัวเธอนั้นนอกจากผักดองสองชนิดกับแยมผลไม้สามชนิดแล้วยังมีลูกพลับเนื้อดีที่ได้จากการใส่ปุ๋ยบำรุงมาเป็นเดือนทำให้ได้ผลโตรสชาติเยี่ยมตากแห้งมาขายด้วย ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าที่เธอให้ชิมก่อนซื้อไม่น้อยเลย เพียงไม่นานสินค้าของเธอก็ขายหมดอย่างรวดเร็วซึ่งของเหล่านี้ทำให้เธอได้เงินทั้งหมด 5,400 หยวน หลังจากหักค่าใช้จ่ายเงินลงทุนแล้วยังเหลืออีก 5,100 หยวนเลยล่ะ
วันนี้หนิงเฉินจึงซื้อขาหมูแฮมชั้นดี อุดหนุนผลไม้ป้าลู่ที่คอยแถมให้ตลอดกับซื้อขนมของว่าง พวกขนมดอกกุ้ยฮวา ขนมเปี๊ยะไส้เนื้อ ขนมเกาลัดกวน รวมทั้งคุกกี้เนยสดแบบชาวตะวันตกกลับไปฝากทุกคนที่บ้านด้วย
หนิงเฉินนิ่งคิดอยู่พักใหญ่หลังจากได้ฟังคำขอให้ช่วยพิจารณาอี้เหรินมากกว่าความเป็นเพื่อน ซึ่งความจริงแล้วใจเธอตอบตกลงไปแล้วล่ะ สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจตอบออกไปตามใจปรารถนา “ได้ค่ะ ฉันเองก็ยอมรับว่าฉันรู้สึกดีกับคุณไม่น้อย คุณเองก็เป็นคนดีคนหนึ่งอีกทั้งยังตรงไปตรงมา คิดอะไรอยากได้อะไรก็มุ่งตรงไปที่เป้าหมายอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด ขนาดรีสอร์ตนี้ที่ทำสำเร็จได้ก็เพราะคุณวางแผนเอาไว้นานหลายปีแล้วนี่คะ ถ้างั้นฉันจะลองเชื่อคุณดูแล้วก็ขอให้คุณพิจารณาฉันให้ดีด้วยเช่นกันเพราะถึงอย่างไรก็ต้องยอมรับว่าระยะเวลาที่เราได้เจอและรู้จักกันนั้นมันสั้นเกินไปจริงๆเพียงแค่ไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น เผื่อนานไปคุณได้รู้จักฉันมากขึ้นคุณเองอาจจะเป็นฝ่ายเปลี่ยนใจก็ได้”หนิงเฉินเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาและใจกว้างเป็นที่สุด ทำให้อี้เฉินยิ้มออกมาด้วยความพอใจมากทีเดียว “งั้นถือว่าเราเริ่มคบหาเพื่อศึกษานิสัยใจคอกันเรียนรู้กันตั้งแต่วันนี้เลยก็แล้วกันนะครับ”
วันนี้อี้เหรินมารับหนิงเฉินเพื่อพาไปชมรีสอร์ตของเขาตั้งแต่แปดโมงเช้า เมื่อมาถึงเขาก็พาเธอไปชมห้องครัวของรีสอร์ตพร้อมแนะนำพนักงานรวมทั้งพ่อครัวให้เธอรู้จักเป็นอันดับแรกตามความต้องการของหนิงเฉิน “เป็นยังไงบ้านครับห้องครัวของรีสอร์ตเรามีอะไรขาดเหลือบ้างหรือเปล่า” อี้เหรินเอ่ยถามขณะพาหนิงเฉินมาสำรวจห้องครัวที่จะใช้ทำอาหารต้อนรับแขก “ดูโดยรวมแล้วก็ครบครันอยู่นะคะ ขนาดเตาอบยังมีพร้อมเลยแบบนี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ถ้าอย่างงั้นคุณลองดูรายการอาหารที่ฉันเตรียมมาให้เลือกก่อนก็แล้วกันค่ะว่าอยากจัดให้มีอะไรบ้าง จากนั้นฉันค่อยจัดเตรียมวัตถุดิบแล้วมาทำให้พวกคุณลองชิมดูก่อนที่ครัวนี้ หากขาดเหลืออะไรจะได้จัดเตรียมให้พร้อม” หนิงเฉินกล่าวอย่างมืออาชีพจนอี้เหรินอดยิ้มพอใจไม่ได้ที่หญิงสาวอายุน้อยอย่างเธอกลับเป็นคนรอบคอบยิ่งนัก ที่สำคัญเธอยังสวยมากอีกด้วย “
หลังหนิงเฉินนำขนมที่ร้านซูฮ่าวซือบางส่วนไปขายที่ตลาดมืดเสร็จแล้วเธอก็แยกย้ายกับป้าลู่ก่อนกลับมาดูที่ร้านซูฮ่าวซืออีกครั้ง โดยนำวัตถุดิบชั้นเลิศซึ่งได้มาจากตลาดมืดติดมือมาด้วยเป็นปูขนชั้นดีจากมณฑลเจียงซูที่เป็นแหล่งผลิตปูขนแหล่งใหญ่ในประเทศ เมื่อเธอกลับมาถึงร้านห่าวเยว่ก็กลับบ้านไปแล้วเพราะได้เวลาที่เขานัดหมายกับห่าวหมิงเอาไว้ว่าจะช่วยควบคุมดูแลคนงานที่จ้างมาเก็บผลผลิตด้วยกัน จากนั้นเมื่อถึงเวลาทุ่มตรงก็ได้เวลาปิดร้าน เหล่าพนักงานของเธอก็ช่วยกันเก็บกวาดเช็ดถูทำความสะอาดร้านก่อนจะพากันลากลับไปราวสองทุ่ม เหลือเพียงหนิงเฉินที่ตั้งใจจะทำอะไรทานและคิดรายการอาหารเมนูใหม่อยู่เพียงลำพังที่ร้าน ในขณะที่เธอกำลังจะปิดประตูหน้าร้านเพื่อไปหยิบป้ายที่ลืมเอาไว้มาแขวนตรงหน้าประตูว่าร้านปิด จู่ๆกลับมีคนมาดึงประตูร้านอีกด้านหนึ่งเพื่อที่จะเข้ามาด้านใน เสียงกระดิ่งดังกรุ๊งกริ๊งพร้อมกับหนิงเฉินที่ตกใจเล็กน้อยเพราะคาดไม่ถึงว่าดึกป่านนี้แล้วยังจะมีแขกมาเยือนร้
ตอนนี้ร้านซูฮ่าวซือก็เปิดกิจการมาได้ปีกว่าแล้วโดยกิจการค้าขายของหนิงเฉินเป็นไปได้ด้วยดีมากเลยทีเดียว ซึ่งลูกค้าที่มาใช้บริการในร้านมักจะเป็นผู้หญิงซะส่วนใหญ่เนื่องจากพวกเธอสนใจอาหารที่ทั้งอร่อยและดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะขนมของร้านนี้ที่มากมายหลากหลายให้เลือกตั้งแต่เค้กผลไม้รวม เค้กส้ม เค้กลูกพลัม เค้กสตรอว์เบอร์รี่เค้กมะม่วง เค้กกล้วยหอม เค้กลิ้นจี่เป็นต้น ส่วนพวกพายก็มีพายแอปเปิล พายสับปะรด พายมะนาว พายฟักทอง พายสตรอว์เบอร์รี่พายเห็ด พายวอลนัตหรือผลเฮอเถา พายผักโขมและอื่นๆ อีกทั้งยังมีคุกกี้แสนอร่อยอย่างคุกกี้เนยถั่ว คุกกี้วอลนัต คุกกี้ข้าวโพด คุกกี้พุทรา คุกกี้หยางเหมยคุกกี้ส้มและคุกกี้ผลไม้ชนิดอื่นๆอีก ทางด้านเครื่องดื่มก็มีน้ำผลไม้ปั่นหลากชนิด รวมทั้งเอามาปั่นอย่างเดียวหรือผสมกับผักผลไม้ต่างชนิดกัน ไม่ก็นำมาคั้นเป็นน้ำผักผลไม้สด ดื่มดับกระหายได้สุขภาพคุณประโยชน์มากมาย โดยหนิงเฉินคิดสูตรใหม่ๆขึ้นมาตลอด เป็นที่ถูกอกถูกใจผ
หลังเรียนจบหนิงเฉินก็มาบริหารร้านซูฮ่าวซือเต็มตัว โดยวันเปิดร้านมีครอบครัวสกุลซู สกุลโจว สกุลลู่ รวมทั้งสหายในหมู่บ้านซินหยางและเพื่อนฝูงมากมายของสกุลซูมาร่วมแสดงความยินดีด้วยอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาเลยทีเดียว “เฉินเอ๋อ..อาหารอร่อยทุกอย่างเลย” เหล่าบรรดาเพื่อนมหาลัยที่มาร่วมแสดงความยินดีกับงานเปิดร้านซูฮ่าวซือเอ่ยอย่างชื่นชมหลังจากได้ทานอาหารสดอร่อยจากพืชผักผลไม้สกุลซูซึ่งมีสลัดผักผลไม้โรยด้วยวอลนัตบุบกับน้ำสลัดรสเปรี้ยวอมหวานปรุงพิเศษจากส้มสดๆจากไร่รสหวานอมเปรี้ยวหอมสดชื่นในตัวมันเอง นอกนั้นยังมีบะหมี่ผักที่ทำจากผักสดรสชาติไม่ขมแต่หอมอร่อยเฉพาะตัว นำมาปรุงบะหมี่น้ำ บะหมี่แห้ง บะหมี่ยำกับผักหลากชนิดและเนื้อสัตว์ประเภทต่างๆทั้งหมู ไก่ กุ้ง ปลา มีเกี๊ยวไส้ผักกับหมูสับหมักเครื่องเทศต้มหรือทอดพร้อมน้ำจิ้มรสเด็ด เปาะเปี๊ยะสดไส้หัวไชเท้าขูดเป็นเส้นผัดกับหมูสับใส่กุ้งต้มถั่วลิสงคั่วบด ผักกาดหอม ถั่วงอกทานกับน้ำซอสรสเค็มเผ็ดเปรี้ย
หลังจากตอบเหล่าบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ที่ต่างก็อยากจะจับคู่ให้เธอกับบุตรหลานของพวกเขาเสร็จแล้ว หนิงเฉินก็ขอตัวไปนำของหวานมาให้ทุกคน โดยแน่นอนว่ามีหลี่จวินกับลี่หยางอาสาตามไปช่วยเธอทั้งคู่ “ความจริงพวกพี่สองคนไม่ต้องมาช่วยก็ได้นะคะ แค่เสี่ยวเยว่กับฉันก็พอแล้วล่ะ” หนิงเฉินบอกทั้งสองหนุ่ม “ไม่เป็นไรหรอก พี่นั่งทานอาหารนานแล้ว ได้ลุกมายืดเส้นสายช่วยด้วยก็ดีไม่ใช่เหรอ” ลี่หยางกล่าว “พี่อยากมาช่วยเธอ พร้อมหลบเสียงจอแจด้านนอกสักพักน่ะ” หลี่จวินตอบอีกคน “พี่หนิงเฉิน ในเมื่อพี่มีพี่หลี่จวินกับพี่ลี่หยางมาช่วยเตรียมของว่างแล้ว งั้นผมขอตัวไปกินต่อก่อนนะ รบกวนพี่ทั้งสองคนด้วยนะครับ” เสี่ยวเยว่บอกกับทุกคนก่อนจะรีบวิ่งกลับไปหาอาหารแสนอร่อยด้านนอกทันที ทิ้งให้หนิง







