สกุลจ้าวก่อกบฏต้องโทษประหารทั้งสกุล เหตุการณ์ในครั้งนี้ก่อให้เกิดความวุ่นวายอยู่ไม่น้อย แต่เพราะมีกองกำลังของสกุลหยวน สกุลเซียวและสกุลเฉินคอยตรึงกำลังอยู่จึงทำให้ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนก็สามารถเก็บกวาดคนสกุลจ้าวและผู้เกี่ยวข้องกับการก่อกบฏได้อย่างรวดเร็วและสะอาดหมดจด
เฉินเจียวเจียวยืนมองลานประหารที่เจิ่งนองไปด้วยเลือดด้วยสีหน้าเย็นชา คนที่เคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วเช่นนางย่อมไม่ได้รู้สึกสะเทือนใจกับเหตุการณ์นองเลือดเช่นนี้มากนัก
“เจ้าจะขอให้ไว้ชีวิตนางไปเพื่อเหตุใด” องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงที่ยามนี้บนใบหน้ามีแต่ความเหนื่อยล้าและเคร่งเครียดเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนสกุลหลิน เป็นบุตรสาวของท่านลุงทางฝั่งมารดาของหม่อมฉัน หากนางต้องโทษกบฏคนสกุลหลินก็คงจะถูกลากลงไปแปดเปื้อนกับนางด้วย มิสู้ทำให้นางกลายเป็นสตรีต้องโทษด้วยข้อหาวางแผนให้ร้ายผู้อื่น ล่วงเกินเบื้องสูงและให้การเท็จโทษทัณฑ์ของนางก็คงจะเบาบางลงมาก” คำพูดของเฉินเจียวเจียวทำให้องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงแค่นหัวเราะออกมา
“หากไม่รู้อะไรก็คงจะคิดว่าเจ้ามีเมตตาต่อนาง แต่จากที่ข้ารู้โทษทัณฑ์ที่นางจะได้รับก็คือถูกโบยตีร้อยไม้ก่อนที่จะถูกส่งตัวไปเป็นทาสชั้นต่ำ จากคุณหนูสกุลใหญ่ถูกโบยตีร้อยไม้หากไม่ตายก่อนก็คงจะพิการ หากไม่ตายก็ยังต้องถูกส่งไปเป็นทาสระดับล่างอีก ด้วยใบหน้าเช่นนั้นของนางวันหน้าคงยากที่จะได้มีชีวิตดีๆ หนทางที่ดีที่สุดก็คือรับโทษตายน่าจะดีกว่า” คำพูดของหลี่ไท่หลงทำให้เฉินเจียวเจียวเลิกคิ้ว
“นี่องค์รัชทายาททรงสงสารนางหรือเพคะ”
“ข้าหรือจะสงสารนาง หากเป็นข้าจะรีบจัดการปลิดชีพนางไปเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไปเลย จะได้ไม่ต้องมานั่งระแวงว่าวันใดนางจะลุกขึ้นมาแว้งกัดเจ้าได้อีก”
“อ้อ! ที่แท้ก็เป็นห่วงหม่อมฉันนี่เอง” คำพูดนี้ทำให้ใบหน้าอันซีดเซียวขององค์รัชทายาทพลันมีสีเลือดขึ้นมาในทันที
“ใช่ที่ไหนกันเล่า ข้าก็แค่.. ช่างเถิด ข้างานยุ่งเจ้าเองก็รีบกลับจวนของเจ้าเถิด หากท่านพ่อของเจ้ารู้ว่าเจ้ามาแอบคุยกับข้าเช่นนี้เดี๋ยวก็คงจะวิ่งมาจับตามองข้าด้วยสายตาอันน่าสะพรึงกลัวอีก” องค์รัชทายาทเอ่ยจบก็รีบเดินจากไปในทันที ทิ้งให้เฉินเจียวเจียวมองตามเสื้อคลุมที่ปลิวไสวของเขาด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม เมื่อเห็นว่าหลินชิงเหมยถูกควบคุมตัวผ่านลานประหารที่เจิ่งนองไปด้วยเลือด นางจึงได้หันไปถามตงจื้อด้วยสีหน้าเย็นชา
“โซ่วอ๋องรู้หรือยังว่านางกำลังจะได้รับโทษโบยร้อยไม้”
“น่าจะรู้แล้วนะเพคะ แต่ดูเหมือนว่าท่านอ๋องจะทรงผิดหวังต่อการกระทำของนาง ก็เลยไม่ทรงตรัสถึงนางอีกเลยเจ้าค่ะ”
“ไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะไปทูลขอพระเมตตาลดโทษให้แก่นางสักนิดเลยหรือ”
“ไม่มีเจ้าค่ะ” คำตอบของตงจื้อทำให้เฉินเจียวเจียวทอดถอนใจออกมา นางหันไปมองหลินชิงเหมยที่ยามนี้มีสีหน้าหวาดกลัว เนื้อตัวขะมุกขะมอมสกปรกจนไม่เหลือเค้าโครงของเด็กสาวที่งดงามอีกแล้ว เสียงโซ่ตรวนที่ดังขึ้น เสียงร้องไห้และเสียงโบยตีที่ดังออกมาจากห้องลงทัณฑ์ทำให้เฉินเจียวเจียวทอดถอนใจออกมาได้ในที่สุด
“ส่งคนไปจับตาดูนางหากนางสามารถรอดชีวิตไปได้ก็จับตาดูว่านางถูกส่งตัวไปไว้ที่ไหน หากนางตายเพราะทนรับความบอบช้ำไม่ไหวก็จัดการกับศพของนางให้เรียบร้อย” เฉินเจียวเจียวเอ่ยพลางส่งถุงเงินให้ตงจื้ออีกครั้ง เมื่อตงจื้อรับคำแล้วเดินจากไปนางจึงได้เดินออกจากลานลงทัณฑ์ของกรมอาญา
นางเดินออกมาได้ครู่หนึ่งก็พบคนที่ไม่คิดว่าจะได้พบ เดิมทีนางคิดว่าโซ่วอ๋องเป็นคนไร้หัวใจเสียอีก ชาติก่อนเขารักใคร่หลินชิงเหมยได้ถึงขนาดนั้น นางจึงคิดว่าชาตินี้เขาก็ไม่น่าจะปล่อยวางได้เช่นนี้ พอได้ยินว่าเขาไม่เอ่ยถึงหลินชิงเหมยอีกนางก็อดรู้สึกดูถูกน้ำใจของเขาไม่ได้ แต่ยามนี้เมื่อได้เห็นสีหน้าของเขา แววตาเศร้าโศกของเขาแล้วนางก็อดรู้สึกสาแก่ใจไม่ได้
“ท่านอ๋องทรงมาดูหลินชิงเหมยถูกลงทัณฑ์หรือเพคะ” เฉินเจียวเจียวย่อกายคารวะแล้วถามเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เจียวเจียว ข้ารู้ว่านางทำผิดต่อข้า… ข้าหมายถึงนางคิดร้ายต่อเจ้านับว่าเป็นความผิดแต่คิดไม่ถึงว่านางจะได้รับโทษหนักถึงเพียงนี้ ไม่ว่าอย่างไรการถูกโบยจนตายก็นับว่าเป็นโทษทัณฑ์ที่หนักหนาเกินไปสักหน่อยสำหรับเด็กสาวเช่นนาง” เขาเอ่ยพลางจ้องมองนางด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“ข้าไม่อาจจะไปขอร้องเสด็จพี่ได้ มีเพียงเจ้าที่น่าจะทูลขอลดโทษให้นางกับเสด็จพี่ได้” เมื่อโซ่วอ๋องเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็มองเขาครู่หนึ่งแล้วจึงได้เอ่ยออกมา
“เดิมทีโทษทัณฑ์ที่นางควรจะได้รับก็คือโทษกบฏ แต่หม่อมฉันเกรงว่าโทษของนางจะกระทบต่อสกุลหลินจึงขอให้ลดโทษของนาง การถูกโบยตีร้อยไม้นับว่าสมควรแล้ว” เฉินเจียวเจียวเอ่ยพลางมองใบหน้าของโซ่วอ๋องครู่หนึ่งแล้วจึงได้ตัดสินใจเอ่ยออกมา
“ไม่ว่าอย่างไรความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องในราชวงศ์ก็เปราะบางเป็นอย่างยิ่ง หม่อมฉันขอแนะนำว่าท่านอ๋องอย่าได้ทรงเอ่ยถึงเรื่องนี้กับองค์รัชทายาทจะดีกว่า อย่าให้ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องที่เคยแนบแน่นต้องเกิดมีรอยร้าวเพียงเพราะสตรีที่เคยคิดจะยุยงท่านอ๋องไปทำเรื่องที่อาจจะกลายเป็นการก่อกบฏเลยเพคะ” คำพูดของเฉินเจียวเจียวทำให้โซ่วอ๋องพลันนิ่งงันไป
“ข้า…”
“องค์รัชทายาททรงจ้องหม่อมฉันเขม็งแล้ว และยามนี้ก็คงจะกำลังคิดอยู่ว่าหม่อมฉันกำลังพูดคุยอันใดกับท่านอ๋องอยู่หากทรงรู้ว่าพวกเราเอ่ยถึงหลินชิงเหมยองค์รัชทายาทจะต้องทรงไม่พอพระทัยเป็นแน่”
“...” โซ่วอ๋องที่ได้พบกับสายตาดุดันขององค์รัชทายาทก็พลันผงะไป ‘เสด็จพี่จ้องมองเจ้าที่ไหนกันเขากำลังจ้องมองข้าอยู่ต่างหากเล่า’ โซ่วอ๋องได้แต่คิดในใจแล้วถอยห่างออกจากเฉินเจียวเจียวอย่างไม่รู้ตัว
“น้องรอง เจ้ามาทำอันใดที่นี่” องค์รัชทายาทรีบเสด็จมาแล้วเอ่ยถามโซ่วอ๋องด้วยสีหน้าตึงเครียด
“ข้ามาดูอาเหมย” เมื่อเขาตอบเช่นนี้องค์รัชทายาทก็พ่นลมหายใจออกมา
“ไสหัวกลับไปที่จวนของเจ้าเสีย ไม่เช่นนั้นเรื่องที่เจ้ามาที่นี่ข้าจะไปบอกเต๋อเฟย พระนางคงจะยินดีที่จะอบรมเจ้าเรื่องสตรีที่ไม่ควรเข้าใกล้ให้เจ้าได้ศึกษาไปอีกหลายวันเป็นแน่” เมื่อองค์รัชทายาทเอ่ยเช่นนี้โซ่วอ๋องก็รีบส่ายหน้า
“เสด็จพี่ข้ายอมแล้ว อย่าให้เสด็จแม่รู้ว่าข้ามาที่นี่เลยนะพ่ะย่ะค่ะ” โซ่วอ๋องเอ่ยพลางหันไปมองทางห้องลงทัณฑ์อีกครั้งแล้วจึงทำได้แค่เพียงทอดถอนใจออกมาด้วยสีหน้าทุกข์ใจ เขาเอ่ยถ้อยคำอำลาเฉินเจียวเจียวและองค์รัชทายาทอีกครั้งแล้วจึงได้เดินกลับจวนอ๋องของตนเอง
“เจ้าเองก็รีบกลับได้แล้ว” องค์รัชทายาทหันมาเอ่ยกับเฉินเจียวเจียวอีกครั้งแล้วสายตาก็พลันเหลือบไปเห็นว่าผิงกั๋วกงกำลังเดินมาทางนี้พอดี
“ท่านพ่อของเจ้ามาแล้วยังไม่รีบไปอีก”
“...” ท่านพ่อของข้าไม่ได้น่ากลัวอย่างพระนางเต๋อเฟยเสียหน่อย ท่านจะรีบไล่ข้ากลับจวนไปทำไมกัน นี่คือความคิดของเฉินเจียวเจียวแต่นางก็ยินยอมเดินทางกลับจวนแต่โดยดี
หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห
เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน
พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น
พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว
เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ
สกุลจ้าวก่อกบฏต้องโทษประหารทั้งสกุล เหตุการณ์ในครั้งนี้ก่อให้เกิดความวุ่นวายอยู่ไม่น้อย แต่เพราะมีกองกำลังของสกุลหยวน สกุลเซียวและสกุลเฉินคอยตรึงกำลังอยู่จึงทำให้ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนก็สามารถเก็บกวาดคนสกุลจ้าวและผู้เกี่ยวข้องกับการก่อกบฏได้อย่างรวดเร็วและสะอาดหมดจดเฉินเจียวเจียวยืนมองลานประหารที่เจิ่งนองไปด้วยเลือดด้วยสีหน้าเย็นชา คนที่เคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วเช่นนางย่อมไม่ได้รู้สึกสะเทือนใจกับเหตุการณ์นองเลือดเช่นนี้มากนัก“เจ้าจะขอให้ไว้ชีวิตนางไปเพื่อเหตุใด” องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงที่ยามนี้บนใบหน้ามีแต่ความเหนื่อยล้าและเคร่งเครียดเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ“ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนสกุลหลิน เป็นบุตรสาวของท่านลุงทางฝั่งมารดาของหม่อมฉัน หากนางต้องโทษกบฏคนสกุลหลินก็คงจะถูกลากลงไปแปดเปื้อนกับนางด้วย มิสู้ทำให้นางกลายเป็นสตรีต้องโทษด้วยข้อหาวางแผนให้ร้ายผู้อื่น ล่วงเกินเบื้องสูงและให้การเท็จโทษทัณฑ์ของนางก็คงจะเบาบางลงมาก” คำพูดของเฉินเจียวเจียวทำให้องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงแค่นหัวเราะออกมา“หากไม่รู้อะไรก็คงจะคิดว่าเจ้ามีเมตตาต่อนาง แต่จากที่ข้ารู้โทษทัณฑ์ที่นางจะได้
เช้าวันรุ่งขึ้นราชสำนักต้าเยียนก็เกิดความวุ่นวาย โม่เจาเจ้ากรมอาญาถวายฎีกาขอถอดถอนตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายขวาของจ้าวฉี ขุนนางในท้องพระโรงถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ขุนนางส่วนใหญ่ต่างคัดค้านการถอดถอนตำแหน่งของจ้าวฉี แต่เมื่อเจ้ากรมอาญาโม่เจาแจกแจงความผิดอย่างละเอียดแล้วไม่ใช่แต่เพียงเสนาบดีฝ่ายซ้ายจ้าวฉีที่ควรถูกถอดถอน ยังมีขุนนางอีกไม่น้อยที่โยงใยและเกี่ยวข้องต่อการทุจริตหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงพิโรธอย่างหนัก ทั้งสั่งจับกุมทั้งสั่งจำคุกขุนนางที่มีความผิด ที่สำคัญทรงมีราชโองการปลดจ้าวฉีออกจากตำแหน่งอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย และสั่งให้กรมอาญาสอบสวนเรื่องที่จ้าวฉีซ่องสุมกำลังพล เหตุการณ์ในท้องพระโรงล้วนเป็นไปตามการคาดการณ์ของเฉินเจียวเจียวเกือบทั้งสิ้น แต่ที่นางคาดไม่ถึงก็คือจ้าวฉีไม่เพียงไม่ยินยอมรับราชโองการ แต่กลับป่าวประกาศออกมาว่าตนเองถูกใส่ร้ายจ้าวฉีไม่ยอมเข้าประชุมขุนนางในยามเช้าที่ท้องพระโรง แต่กลับพาครอบครัวหลบหนีออกไปอยู่นอกกำแพงเมืองตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เขานำกองกำลังมาล้อมรอบเมืองหลวงเอาไว้แล้วประกาศต่อผู้อื่นว่าองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงต้องการแก้แค้นเขาด้วยเรื่องส่วนตัวโดยร่วมมือกับท่านเจ้ากรมอาญ
การตายของจ้าวซีเฉิงทำให้ทุกคนต่างพากันทอดถอนใจด้วยความเสียดาย โดยเฉพาะองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงที่ได้แต่ทอดถอนใจออกมาด้วยคิดเสียดายต่อการตัดสินใจด้วยอารมณ์ของคุณชายใหญ่ผู้นี้ จ้าวซีเฉิงคงจะคิดว่าขอแค่เพียงเขาตาย บิดาของเขาก็คงจะสามารถโยนความผิดทั้งหมดมาที่เขาถึงยามนั้นคนสกุลจ้างก็คงจะปลอดภัย เพียงแต่โทษกบฏนั้นย่อมไม่สามารถที่จะจบลงที่คนเพียงคนเดียวได้อยู่แล้ว“สตรีนางนี้ฝากกรมอาญาขังเอาไว้ก่อน อย่างน้อยก็ยังสามารถใช้นางเป็นพยานยืนยันว่าจวนสกุลจ้าววางแผนยุยงให้โซ่วอ๋องมีความแตกแยกกับข้า เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไรเล่าน้องรอง” ประโยคสุดท้ายองค์รัชทายาทหันไปเอ่ยกับโซ่วอ๋อง“เรื่องนี้กระหม่อมไม่มีความเห็นพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อมีพยานหลักฐานยืนยันว่านางทำผิดจริง กระหม่อมเองก็คงไร้หนทางจะช่วยเหลือนางแล้ว” โซ่วอ๋องเอ่ยพลางหลุบตาลง“ต่อให้เจ้าอยากช่วยก็คงจะไม่ได้ นางไม่ใช่สตรีไร้เดียงสาอย่างที่เจ้าคิดยามนี้เจ้าก็เห็นแล้ว หากปล่อยให้นางอยู่ข้างกายเจ้าชีวิตของเจ้าในวันหน้าคงยากที่จะสงบสุข” องค์รัชทายาทเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแล้วจึงได้สั่งให้คนของกรมอาญาพาหลินชิงเหมยไปขังเอาไว้ก่อน ส่วนสาวใช้ของหลินชิงเหมยแ