กล่าวจบ นางก็มองมู่หรงฉิงเทียนแวบหนึ่ง “อาซาน เจ้าว่าใช่หรือไม่?”มู่หรงฉิงเทียนมองนางหน้าเรียบ ๆ ไม่ตอบมู่หรงเจี้ยนอึ้ง นางพูดประโยคนี้ออกมาได้อย่างไร? แม้เสด็จอาจะรู้ดี แต่รู้กับพูดให้ชัดเจนมันไม่เหมือนกันนะเขามองมู่หรงฉิงเทียนอย่างละอายใจทีหนึ่ง เห็นเขาไม่เปลี่ยนสีหน้าจึงเบาใจเล็กน้อย ฉีกยิ้มกล่าวกับจ่านเหยียน “เสด็จแม่ตรัสเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”มู่หรงฉิงเทียนลุกขึ้นยืน “ไทเฮากับฝ่าบาทค่อย ๆ เสวย กระหม่อมรู้สึกเพลีย ๆ อยากกลับไปพักก่อนพ่ะย่ะค่ะ”มู่หรงเจี้ยนลุกขึ้นยืนทันที เพียงแต่คิดว่าเวลานี้มู่หรงฉิงเทียนปลอมตัวเป็นอาซานอยู่ จึงนั่งลงอย่างเก้กัง เอ่ย “อื่ม เจ้าไปเถอะ”มู่หรงฉิงเทียนมองตาขวางจ่านเหยียนทีหนึ่ง “ไทเฮาเสวยน้ำจันทร์ให้มาก น้ำจันทร์นี้ไม่เลว เสวยอย่างไรก็ไม่ตาย”กล่าวจบก็สาวเท้าเดินกลับเข้าระเบียงทางเดินจ่านเหยียนมองเงาหลังเขาอย่างมีความคิด เขาเดินถูก เขารู้ว่าห้องของอาซานอยู่ที่ไหน เขาเคยมาหรือ?มู่หรงเจี้ยนให้คนบนโต๊ะออกไปแล้วถามจ่านเหยียนอย่างกระวนกระวายใจเล็กน้อย “วันนี้เราพูดผิดไปหรือไม่ ดูเหมือนเสด็จอาจะไม่ค่อยพอใจสักเท่าไร”จ่านเหยียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงผ่
ครั้งนี้มู่หรงฉิงเทียนเงียบไปนานมาก ดื่มสุราติดต่อกันหลายจอก มู่หรงเจี้ยนหวาดกลัวอยู่ในใจ กระทั่งเริ่มเสียใจกับคำกล่าวของตัวเองเมื่อครู่ก็ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปฏิเสธคำกล่าวก่อนหน้าของตัวเอง จู่ ๆ มู่หรงฉิงเทียนก็เอ่ยปากขึ้น“อื่ม มีความคิด ทำตามนี้เถอะ”ราวเมฆดำทะมึนสลายไปจากท้องฟ้า แสงตะวันผ่องอำไพทะลุลงมาเป็นสาย ๆ มู่หรงเจี้ยนรู้สึกว่าสมองสดใสอบอุ่นขึ้นมาทันทีเขาพูดไม่ออกอยู่นาน ได้แต่มองมู่หรงฉิงเทียน มองจ่านเหยียนอยู่อย่างนี้จ่านเหยียนเห็นท่าทางของเขาแล้วจึงกุมหลังมือของเขา “เอาละ ฮ่องเต้ เสวยหน่อยเถอะ”สุราจอกหนึ่งโยนมาที่หลังมือของจ่านเหยียนตรง ๆ จ่านเหยียนหดมือกลับฉับพลัน จอกสุราจึงตกอยู่บนหลังมือของมู่หรงเจี้ยนมู่หรงเจี้ยนตกตะลึงพรึงเพริด หันขวับมองมู่หรงฉิงเทียนอาเสอและคนอื่น ๆ ก็มองมู่หรงฉิงเทียนเหมือนกันจ่านเหยียนจึงได้แต่มองมู่หรงฉิงเทียนด้วยมู่หรงฉิงเทียนเอ่ยด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “บนพระหัตถ์ของพระองค์ ‘ผู้สูงวัย’ มียุงตัวหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”เขาเน้นคำว่า ‘ผู้สูงวัย’ หนัก ๆ เน้นความจริงที่จ่านเหยียนคือเสด็จแม่ของมู่หรงเจี้ยนจ่านเหยียนยังคงรักษาสีหน้าเป็นปกติ “อื่ม
แต่เมื่อมู่หรงเจี้ยนได้ยินกลับเหมือนเสียงจากสวรรค์ก็มิปาน เขาครองราชย์มานานอย่างนี้แล้ว ไม่เคยได้ยินเสด็จอาชมเชยเขาแม้แต่ครึ่งคำเขาตื้นตันจนแทบหลั่งน้ำตา เขาโหยหาการยอมรับของเสด็จอาเหลือเกิน ความจริง ในจิตใต้สำนึกของเขาคือปรารถนาการยอมรับจากเสด็จพ่อ แต่ดำรงตำแหน่งรัชทายาทมาหลายปี เขาไม่เคยทำเรื่องใดที่ได้รับการชมเชยจากเสด็จพ่อ และนี่คือความเสียใจของเขาภายหลังเสด็จพ่อสวรรคต เสด็จอาสำเร็จราชการแทน แม้เขาจะเป็นฮ่องเต้ แต่เขารู้ว่าตัวเองยังเป็นรัชทายาทในอดีต ส่วนเสด็จอาดำรงตำแหน่งแทนเสด็จพ่อเขาหวังว่าจะได้คำชม หวังว่าจะได้การยอมรับก็เพราะคำว่า ‘สายพระเนตรไม่เลว’ คำเดียว เขาจึงซาบซึ้งใจต่อจ่านเหยียนเขาถามมู่หรงฉิงเทียนอย่างเชื่อฟัง “เช่นนั้นหลี่อวิ๋นล่ะ? หลี่อวิ๋นเป็นอย่างไรบ้าง? เขามีความสามารถจะเป็นหัวหน้าได้หรือไม่?”มู่หรงฉิงเทียนคิดครู่หนึ่ง “เขาไม่มีปัญหา แต่... สองคนนี้ร่วมมือกัน ยังอ่อนแอไปหน่อย”“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี?” มู่หรงเจี้ยนรีบถามมู่หรงฉิงเทียนมองเขาและถามกลับ “ฝ่าบาททรงคิดว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”มู่หรงเจี้ยนเห็นสายตาของเขามีความเย็นชาเล็กน้อย จึงลนลาน สูญเสียคว
“ดื่มสิ รับรองว่าดี พวกเรามาคารวะฝ่าบาทกันสักจอก นี่ฝ่าบาททรงเสด็จมาดื่มเหล้ากับเรานะ เป็นพระกรุณาธิคุณอย่างสูง พวกเราต้องคารวะฝ่าบาทหนึ่งจอก ใช่หรือไม่?” อาถงเอ่ยพลางลากมู่หรงฉิงเทียน “มา พี่อาซานเรามาดื่มให้ฝ่าบาทด้วยกันจอกหนึ่ง!”มู่หรงฉิงเทียนผลักเขาออกไปแล้วเอ่ยอย่างเคือง ๆ “เจ้าเมาแล้ว”อาถงหัวเราะฮ่า ๆ ๆ กลับโต๊ะหยิบสุราไหนหนึ่งมา กอดคอมู่หรงฉิงเทียนหัวเราะฮี่ ๆ “ดูท่าทางเจ้าสิ? ยังวางมาดเป็นคนใหญ่คนโตกับข้าอีก”กล่าวจบก็กรอกสุราเข้าปากมู่หรงฉิงเทียนทั้งขวดมู่หรงฉิงเทียนไม่ทันระวังถูกเขากรอกจริง ๆ แต่สุรากลับเข้าทางจมูก เขาสำลักจนไอติดต่อกันจ่านเหยียนอึ้ง มู่หรงเจี้ยนก็อึ้งด้วยกัวอวี้ตกใจจนรีบดึงตัวเขาออก “เฮ้อ เจ้าดื่มมากไปแล้ว ไป ๆ ๆ ข้าจะพาเจ้ากลับไป” นางเอ่ยพลางส่งสายตากับอาหูอาหูแรงเยอะ ลากแขนของเขาเข้าด้านในมือเดียวอาถงยังไม่ยอมอีก จะไปกรอกสุราให้อาซานดื่มให้ได้กัวอวี้กระซิบข้างหูเขา “เจ้าเลิกบ้าได้แล้ว เจ้าคิดว่านั่นใช่อาซานจริงหรือ? เขาคือเซ่อเจิ้งอ๋องที่ปลอมตัวมาต่างหาก!”อาถงที่รู้ความจริงตกใจขวัญหนีดีฝ่อ วิ่งจู๊ดเข้าข้างในปานลูกศรดังฟิ้วและชนกับกระดานปร
เมื่อคนในตำหนักหรูหลานได้ยินว่าฝ่าบาทมาก็จะเดินมาโขกศีรษะทำความเคารพเมื่อเป็นเช่นนี้ มู่หรงฉิงเทียนที่ปลอมตัวเป็นอาซานก็ต้องโขกศีรษะทำความเคารพเหมือนกัน มู่หรงเจี้ยนเห็นสถานการณ์นี้ก็กลัวก่อนแล้ว เพราะแม้เขาจะเป็นฮ่องเต้ แต่ท่านนั้นคือเสด็จอาและเซ่อเจิ้งอ๋อง ที่แล้วมาในห้องทรงพระอักษรล้วนเป็นเขาทักทายมู่หรงฉิงเทียน“เอาละ คืนนี้ไม่แบ่งแยกนายบ่าว ไม่ต้องทำความเคารพแล้ว ถอยออกมาให้หมด” จ่านเหยียนมองออกถึงความอีหลักอีเหลื่อของมู่หรงเจี้ยนมู่หรงเจี้ยนโล่งอกในใจ มองจ่านเหยียนแล้วจึงกล่าวต่อ “ในเมื่อไทเฮาตรัสแล้ว ก็มิต้องทำความเคารพ นั่งลงเถอะ”ทุกคนได้ยินมู่หรงเจี้ยนกล่าวเช่นนี้ กลับยังทักทายอย่างเป็นระเบียบ “ถวายบังคมฝ่าบาท!” ตามด้วยต่างคนต่างถอยออกมาเพียงแต่ฮ่องเต้อยู่ที่นี่ ใครจะไปกล้าบ้าบอเหมือนเมื่อครู่ ทุกคนยืนอยู่อีกทางหนึ่งอย่างสงบเสงี่ยม ไม่กล้านั่งลงและไม่กล้าพูดจ่านเหยียนเอ่ยอย่างไม่พอใจ “พวกเจ้าเก่งกันเพียงแค่นี้หรือ? นั่งลงกินสิ”ทุกคนจึงนั่งลงอย่างเป็นระเบียบ แต่เนื่องจากนายใหญ่ทั้งสองท่านยังไม่ได้นั่งลง จึงยังไม่กล้าขยับตะเกียบจ่านเหยียนหัวเราะเสียงเบา เรียกมู่หรง
มู่หรงเจี้ยนไปตำหนักหยวนผินแล้ว ได้ยินว่ากัวอวี้มาเรียกก็เปลี่ยนอาภรณ์จะไปทันทีหยวนผินปรนนิบัติเปลี่ยนอาภรณ์ให้เขา ถามเหมือนตั้งใจแต่ก็ไม่ตั้งใจ “เหตุใดระยะนี้หมู่โฮ่วฮองไทเฮาจึงเชิญฝ่าบาทเสด็จไปบ่อยจังเลยเพคะ”หยวนผินกำลังบอกเขาเป็นนัย บัดนี้หลงจ่านเหยียนให้ความสำคัญกับเขา ให้เขาคว้าโอกาสนี้ไว้ให้ดีแต่มู่หรงเจี้ยนกลับนึกว่านางกำลังยุให้รำตำให้รั่ว จึงตอบอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ “นางคือเสด็จแม่ของเรา นางต้องการพบเรา คือเรื่องปกติ”หยวนผินยิ้ม “หม่อมฉันทราบเพคะ หม่อมฉันแค่พูดไปอย่างนั้นเอง”“นางเคยช่วยเจ้า เจ้าต้องระวังหน่อย” มู่หรงเจี้ยนเอ่ย“เพคะ พรุ่งนี้หม่อมฉันจะไปถวายพระพรหมู่โฮ่วฮองไทเฮา” หยวนผินเอ่ยมู่หรงเจี้ยนไตร่ตรองครู่หนึ่ง “มิเช่นนี้เจ้าก็ไปกับเราเถอะ”หยวนผินพูดกลั้วหัวเราะ “ไทเฮาทรงเชิญฝ่าบาทไปพระองค์เดียว เกรงว่าระหว่างมารดาบุตรจะมีเรื่องสำคัญ หม่อมฉันไปแล้วไม่เกะกะหรือเพคะ?”มู่หรงเจี้ยนคิดแล้วก็ใช่ เรียกเขาไปดึก ๆ เช่นนี้ เกรงจะมีเรื่องสำคัญจริง ๆ จึงไม่กล่าวอะไรอีก สวมอาภรณ์เสร็จก็ตามกัวอวี้ไปข้างตัวเขามีเพียงเหลียงกงกง เหลียงกงกงปรนนิบัติอยู่ข้างตัวเขาตั้งแต่