คนผู้นี้มีชื่อเรียกว่ากัวซูอี คือบุตรชายของกัวหวยอัครมหาเสนาบดีสมัยอดีตฮ่องเต้ นับจากกัวหวยมีผลงานดีเด่นจนทำให้นายเกิดความรู้สึกหวาดกลัวจนประหารชีวิตไปแล้วนั้น ทุกคนในสกุลกัวก็ห้ามเข้ารับราชการในราชสำนัก เหตุนี้เขาจึงลดตัวเป็นที่ปรึกษาข้างตัวราชครูถง“ดี เรื่องนี้เจ้าไปจัดการเถอะ แต่... ด้วยความสามารถของเจ้าหานักดนตรีเหล่านั้นได้ไม่ยาก” ราชครูถงลูบเครา“ขอบคุณท่านราชครูที่ชื่นชม” กัวซูอีมุมปากเจือยิ้มร้าย“จื่อซั่ง เจ้าไปกดดันทางกรมอาญา ให้เขารีบพิจารณาคดีโดยเร็ว อย่าได้ถ่วงเวลาเด็ดขาด อาหญิงของเจ้าส่งข่าวมาจากในวัง หลงไทเฮาเคยเรียกตัวเฉินเมิ่งหลี่เข้าวัง เฉินเมิ่งหลี่ผู้นี้อดีตคือคนของเซ่อเจิ้งอ๋อง แต่เขาก็เป็นคนฉลาด หากเขารู้ว่าเซ่อเจิ้งอ๋องตายแล้ว ต้องรู้ว่าตัวเองควรพิจารณาอย่างไรแน่” ราชครูถงสั่ง“ขอรับ ลูกจะไปจัดการเดี๋ยวนี้!” ถงจื่อซั่งรับคำสั่งบนกระเบื้องหลังคาหลิวหลีมีเงาคนแวบผ่านท้องฟ้ายามราตรีและหายไปอย่างไร้ร่องรอยหลังจากออกจากจวนราชครู องครักษ์เงาดำก็ตรงไปยังจวนเซ่อเจิ้งอ๋องเขาเข้าไปในจวนอ๋องและตกอยู่ในลานเรือนหลิงเซียวย่วน“ท่านอ๋อง!” เขาเข้าห้องหนังสือในเรือนหลิ
มู่หรงเจี้ยนคิดหนักพักหนึ่งจึงเงยหน้าเอ่ย “ได้ ในเมื่อเสด็จแม่ตรัสเช่นนี้แล้ว เช่นนั้นเราก็จะสนับสนุนใต้เท้าหลี่”จ่านเหยียนพยักหน้าเล็กน้อย “ฮ่องเต้สมควรบ่มเพาะขุนนางคนสนิทของตัวเองบ้างแล้ว”ฮ่องเต้ผงกศีรษะ “เสด็จแม่ตรัสมีเหตุผล”‘เสด็จแม่’ คำนี้มีความเชื่อถือเพิ่มขึ้นมาบางส่วน ต่างจากความแข็งกระด้างเมื่อก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิงหลังจากฮ่องเต้กลับไป อาเสอก็เดินเข้ามา“เฉินเมิ่งหลี่มีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง?” จ่านเหยียนถามอาเสออาเสอตอบ “ท่าทางเข้าใจแล้ว แต่อย่างไรก็ไม่กล้าเชื่อ”“ครอบครัวของเขาคงถูกจับไป เจ้าไปสืบดูว่าอยู่ที่ไหนแล้วช่วยออกมาเถอะ”“ความจริงก็ไม่เห็นจำเป็นต้องช่วยเขาเลย ถึงเขาจะทำอย่างไรก็ทำลายแผนการของเซ่อเจิ้งอ๋องไม่ได้ ถงจื่อหยาผู้นี้ต้องตายอย่างแน่นอน” อาเสอเอ่ย“เจ้าจะไปรู้อะไร? ตอนนี้ราชสำนักคนไม่พอใช้ เฉินเมิ่งหลี่ผู้นี้ถือว่าเป็นผู้มีความสามารถคนหนึ่ง บนโลกใบนี้ ใครไม่มีตำหนิ? โดยเฉพาะคนที่เป็นขุนนาง มากน้อยล้วนมีข้อผิดพลาดอยู่บ้าง”อาเสอยักไหล่ “ก็ได้ ข้าจะไปสักครั้ง” กล่าวจบก็หมุนตัวออกไปจ่านเหยียนมองเงาหลังนางด้วยความอัศจรรย์ใจ มัดครั้งหนึ่งแล้ว เจ้าง
จงเสี้ยนไฟสุมทรวง ไม่นึกว่าฮ่องเต้ที่เชื่อฟังนางมาตลอด บัดนี้จะมีความคิดเป็นของตัวเองขนาดนี้ ทั้งยังกล้าเถียงนางต่อหน้าผู้หญิงคนนี้อีก รักษาหน้าไว้ไม่ได้จึงเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “สุดแล้วแต่พระองค์จะทำเถิด ข้าบอกแล้ว ข้าแก่แล้ว ข้าไม่อยากยุ่งเรื่องของพวกเจ้าให้มาก”ว่าแล้วนางก็เอ่ยเสียงหนักเรียกคนข้างกาย “ไป กลับตำหนัก!”“น้อมส่งเสด็จย่า!” มู่หรงเจี้ยนรีบลุกขึ้นยืนจะไปประคองจงเสี้ยนสลัดมือของเขา ทำหน้าตึง “พอเถอะ ข้ายังไม่แก่ถึงขั้นเดินเองไม่ได้ อยู่เป็นเพื่อนเสด็จแม่ของเจ้าให้ดีเถอะ คนจะดื่มน้ำคิดถึงต้นน้ำ อย่างไรนางก็คือฮองเฮาของอดีตฮ่องเต้ เพียงแต่... อย่าได้ลืมมารดาบังเกิดเกล้าที่ให้กำเนิดเลี้ยงดูเจ้ามา!”“หม่อมฉันมิกล้าลืมพ่ะย่ะค่ะ!” มู่หรงเจี้ยนเอ่ยอย่างจริงจังจงเสี้ยนจ้องจ่านเหยียนครู่ใหญ่ จ่านเหยียนจึงได้แต่ลุกขึ้นยืน “ลูกสะใภ้ส่งแม่สามี”จงเสี้ยนแค่นเสียงหัวเราะ “เป็นคนรู้จักสำเหนียกตัวเองจะดีมาก” กล่าวจบก็นำคนในตำหนักออกจากประตูไปมู่หรงเจี้ยนนั่งลง แล้วขมวดคิ้วมองจ่านเหยียน “ทรงเอาเราไปไว้ที่ไหน?”เขายังยำเกรงเสด็จย่าผู้นี้อยู่ นางแข็งแกร่งเสมอ ต่อให้เสด็จพ่อยังมีพระชนม
อาเสอไม่พูดอีก แม้นางจะมิใช่มนุษย์ หากคลุกคลีกับมนุษย์มาหลายปีอย่างนั้น มากน้อยพอรู้ความคิดของมนุษย์เหล่านี้ มนุษย์ล้วนให้ความสำคัญกับครอบครัวของตัวเอง เฉินเมิ่งหลี่ยังเป็นคนระมัดระวังอย่างนั้นอีก จะเชื่อหลงจ่านเหยียนง่าย ๆ ได้อย่างไร?“ใต้เท้าเฉินค่อย ๆ เดินนะ!” อาเสอไม่พูดมาก กล่าวอำลาเสียงเรียบเฉินเมิ่งหลี่ฝีเท้าชะงักเล็กน้อย เขายังอยากได้ยินการรับประกันจากปากของอาเสอมากกว่านี้หน่อย หรือไม่ก็... เขาถึงขั้นไม่อยากไป เขาอยากฟังหลงจ่านเหยียนรับประกันกับเขาด้วยตัวเอง แม้เขารู้ว่าไม่เป็นประโยชน์มาก หากอย่างน้อยทำให้เขาอุ่นใจสักหน่อยแต่เขาจำเป็นต้องไปแล้ว เพราะเขานึกภาพออก ตอนนี้ในตำหนักหรูหลานจะเกิดลมคาวพิรุณโลหิตอย่างไร วันนี้หลงไทเฮามอบความรู้สึกที่ต่างออกไปกับเขา ส่วนไทฮองไทเฮาใช้อำนาจบาตรใหญ่เหมือนเดิม จะปล่อยให้นางเอาชนะได้อย่างไร?หลังจากเฉินเมิ่งหลี่จากไป ฮ่องเต้ก็มาถึงตำหนักหรูหลานเขาย่อมมิได้มีใจสื่อถึงจ่านเหยียน แต่จ่านเหยียนให้อาหูไปตามเขามา และก่อนจะมาก็มีบอกเขาว่าไทฮองไทเฮาอยู่ที่ตำหนักหรูหลาน“ถวายพระพรเสด็จย่า ถวายพระพรเสด็จแม่” มู่หรงเจี้ยนทำความเคารพตามระเบียบจ
จงเสี้ยนแม้แต่จะสนทนากับนางก็ยังรู้สึกรำคาญ จึงลุกขึ้นยืนจะไปจ่านเหยียนกลับลุกขึ้นก่อน ขวางจงเสี้ยนเอาไว้ “ยากนักที่พระองค์จะเสด็จมาหนหนึ่ง มิสู้ลองฝีมือการชงชาของลูกสะใภ้สักหน่อยเถอะเพคะ”จงเสี้ยนหรี่ดวงตามองนาง “เจ้ามีความกตัญญูเช่นนี้ ข้าดีใจมาก เพียงแต่... ชาอาจเป็นชาดี ทว่าคนกลับไม่ใช่คนที่ข้าอยากเห็น”จ่านเหยียนยิ้ม เอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ “ทรงกลัวลูกสะใภ้เช่นนี้เลยหรือเพคะ?”จงเสี้ยนมองนาง “กลัว? เจ้าใช้คำว่ากลัวเหมาะสมแล้วหรือ? คนที่มีสายตาต่างรู้ว่านั่นมิใช่ความกลัว แต่เป็นความรังเกียจ”“ไม่เป็นไรเพคะ ความรู้สึกมักเป็นของที่มาคู่กัน แม่สามีรังเกียจลูกสะใภ้ ลูกสะใภ้ก็รังเกียจแม่สามี เพียงแต่... ไม่ว่าจะรังเกียจเช่นไรก็ยังต้องพบหน้า เฉกเช่นเดียวกับฝ่าบาทที่ไม่โปรดหม่อมฉันผู้เป็นไทเฮา แต่พระองค์ก็ยังต้องมาถวายพระพรหม่อมฉันอยู่ดีเพคะ”“เจ้าว่าอะไรนะ? ฮ่องเต้มาถวายพระพรกับเจ้า?!” จงเสี้ยนชะงักไปเล็กน้อยจ่านเหยียนนั่งลงช้า ๆ “ถูกต้องเพคะ สั่งให้คนมารายงานแต่เช้าแล้ว บอกประเดี๋ยวจะมา”จงเสี้ยนใจหาย แต่ไรมาฮ่องเต้ไม่สนิทสนมกับนาง กระทั่งบอกได้ว่าจงเกลียดจงชัง แต่ระยะนี้ประเดี๋
เฉินเมิ่งหลี่แทบไม่อยากเชื่อดวงตาและหูของตัวเองนี่ก็คือหลงไทเฮาที่เขาพบในจวนสกุลหลงวันนั้นหรือ?! นางรู้หรือไม่ว่าผู้ที่นางกำลังประชันหน้าอยู่คือผู้ใด?! รู้วิธีการของไทฮองไทเฮาหรือไม่?!เขาไม่เพียงแต่พรูลมในใจ และรู้สึกโชคดีที่เขาไม่ได้เล่าเรื่องของตัวเอง มิเช่นนั้นด้วยนิสัยไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเช่นนี้ของนาง ยังไม่รู้ว่าจะเกิดผลลัพธ์เช่นไร?จงเสี้ยนเลิกคิ้ว มองจ่านเหยียนแบบคล้ายยิ้มแต่มิได้ยิ้ม “ปากเก่งจะมีประโยชน์อันใด? เมื่อก่อนตอนที่นางอยู่ข้างตัวข้าก็สาบานว่าจะจงรักภักดีต่อข้าชั่วชีวิตมิใช่หรือ? แต่น่าเสียดาย คำพูดของขี้ข้าพวกนี้ได้แต่ฟังเพื่อความบันเทิง คิดเป็นจริงเป็นจังไม่ได้”“สมัยนี้ยังพูดอะไรว่าจงรักภักดีชั่วชีวิตอีกเพคะ? พระองค์สามารถให้ผลประโยชน์อันใดจึงให้อีกฝ่ายจังรักภักดีต่อพระองค์ชั่วชีวิต?” จ่านเหยียนส่งสายตาที่คล้ายยิ้มแต่มิได้ยิ้มตอบกลับจงเสี้ยนพยักหน้าเล็กน้อย “ถ้อยคำของเจ้า พูดมีเหตุผลอยู่บ้าง”นางเบี่ยงตัวเล็กน้อยแล้วยกเปลือกตามองเฉินเมิ่งหลี่ “ใต้เท้าเฉิน ท่านคิดว่าไทเฮากล่าวมีเหตุผลหรือไม่?”เฉินเมิ่งหลี่ตกตะลึงพรึงเพริด เขาพอเดาออกว่าที่ไทฮองไทเฮามาครั้ง