แต่นางจะไม่ยืนหรอก อาถงยกเก้าอี้มาจากในตำหนักแล้ววางอยู่กลางตำหนัก“หลงจ่านเหยียน เจ้าบังอาจนักนะ ถึงกับกล้ามั่วโลกีย์ในวัง?” ถงไทเฮาตำหนิด่าทออย่างอดรนทนไม่ไหวที่เรียกว่ายิงนกที่บินออกมาก่อน แม้จ่านเหยียนจะรับปากมู่หรงเจี้ยนว่าจะไม่ฆ่าถงไทเฮา แต่ไม่หมายถึงจะให้อีกฝ่ายท้าทายนางได้ตามอำเภอใจ“ถงไทเฮา ระวังคำพูดของเจ้าและสำเหนียกฐานะเจ้าเสมอด้วย แม้เจ้ากับข้าจะมีตำแหน่งเท่าเทียมกัน แต่อย่าลืมเป็นอันขาด ข้าต่างหากที่เป็นฮองเฮาของอดีตฮ่องเต้ ดังนั้นพูดจากับข้าต้องระวังมารยาทหน่อย” จ่านเหยียนเอ่ยด้วยสีหน้าเฉยชาถงไทเฮาถุยทีหนึ่ง “พูดกับหญิงร่านเยี่ยงเจ้ายังต้องระวังมารยาทหรือ? หากอดีตฮ่องเต้ทรงทราบพฤติกรรมของเจ้า เกรงแต่พระองค์จะสิ้นพระชนม์พระเนตรไม่หลับ!”“ข้าก็อยากรู้นักว่าข้าทำอันใดกันแน่ ถึงทำให้อดีตฮ่องเต้สิ้นพระชนม์พระเนตรไม่หลับ?” จ่านเหยียนเอนตัวไปด้านหลังสบาย ๆ ท่าทาง...น่าต่อยอย่างยิ่ง“เจ้ายังมีหน้าถามอีก?” ถงไทเฮาโกรธจนหน้าเขียว ยื่นมือชี้นิ้ว “เจ้าอยู่ในตำหนักหรูหลานไม่ครองหลักสตรี มั่วกับนักดนตรีพวกนี้...”นางพูดพลางสั่งให้คนพาตัวนักดนตรีเหล่านั้นเข้ามา ตามด้วยเอ่ยกับบ
จ่านเหยียนมอบคาถาให้กับเฉินซื่อ “นี่คือตราทัพ เจ้าออกคำสั่งกับพวกเขาได้”ที่จ่านเหยียนหามาครั้งนี้คือทหารทั้งหมด แน่นอนว่าในนั้นมีคนของเซ่อเจิ้งอ๋องและมีบางคนอยู่ฝั่งราชครูถง แต่มันไม่สำคัญแล้ว ตอนนี้พวกเขาต้องฟังคำสั่งจากเฉินซื่อเฉินซื่อรับตราทัพมาอย่างจริงจัง “ขอบพระทัยไทเฮา”ทางนี้เพิ่งเตรียมการพร้อมก็มีคนถีบประตูเข้ามาทุกคนต่างนึกว่าเป็นคนของราชครูถง หากใครจะคิดว่าจะเป็นมู่หรงฉิงเทียนจังหวะที่เขาเข้าประตูก็เห็นตุ๊กตาบนพื้นกลุ่มหนึ่ง กำลังยืนอย่างเป็นระเบียบราวกับพิธีสวนสนามจึงชะงักงันไปขณะหนึ่ง ยังไม่ทันพูด เฉินซื่อก็ก้าวออกไปคุกเข่าพร้อมเปล่งเสียงสะอื้น “เฉินซื่อคารวะจอมทัพ!”มู่หรงฉิงเทียนลูบใบหน้าตามจิตใต้สำนึก การปลอมตัวของเขาถูกคนมองได้ง่ายเช่นนี้เลยหรือ? แต่... นี่มิใช่ประเด็นสำคัญ“เจ้าว่าอะไรนะ? เจ้าคือใคร?” มู่หรงฉิงเทียนจ้องเขา“ข้าน้อยเฉินซื่อ!” เฉินซื่อเปล่งเสียงมู่หรงฉิงเทียนหันไปมองจ่านเหยียน “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” เขามั่นใจมากว่าคนผู้นี้มิใช่เฉินซื่อ แต่เป็น...จ่านเหยียนกำลังจะอธิบายก็มีเสียงแหลมเล็กของขันทีดังมา “ไทฮองไทเฮาเสด็จ เซิ่งหมู่ฮองไทเฮาเสด็จ
จ่านเหยียนกระโดดขึ้นมาแล้วโลดโผนไปทางซ้ายขวาของตำหนักราวกับนกนางแอ่นเมื่อนางเปิดแขนเสื้อก็มีลมอัดแน่นอยู่ในนั้น แสงของวิญญาณเร่ร่อนดับมอดในจุดที่นางอยู่ทว่าทุกครั้งที่แสงของวิญญาณเร่ร่อนดับหนึ่งดวง ก็จะมีตุ๊กตาทหารตัวหนึ่งคุกเข่าลงอาหูมองดูอย่างประหวั่นพรั่นพรึง ถามอาเสอ “นี่คุณหนูใหญ่ทรงทำอันใดหรือ?”อาเสอตอบ “ยืมทัพผีอย่างไรเล่า”“ทัพผี?” อาหูไม่เข้าใจอาเสอหัวเราะ “ยืมทัพผีเป็นลูกไม้ที่สกุลหลงชอบมากที่สุด โดยเฉพาะคุณหนูใหญ่ของเรา นางชอบได้มาแบบไม่ต้องเปลืองแรงที่สุดอาหูพูดไม่ออกแต่พอพินิจถ้อยคำของอาเสอดี ๆ ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้นจริง การยืมทัพผีนี้ดูจะเป็นเรื่องดีที่ได้มาโดยมิต้องออกแรง เพียงแต่... มิใช่ทุกคนจะมีความสามารถนี้เมื่อตุ๊กตาทุกตัวคุกเข่าลงแล้ว จ่านเหยียนก็ลงสู่พื้นนางเดินไปหาปลายด้ายแดง จากนั้นก็ออกแรงกระชาก เมื่อด้ายแดงหายไป เหล่าตุ๊กตาก็ลุกขึ้นยืนทั้งหมดจ่านเหยียนกวาดตามองตุ๊กตาตรงหน้าด้วยความเย็นชา จึงเอ่ย “แต่นี้เป็นต้นไป พวกเจ้าต้องทำงานตามคำสั่งข้า”“พ่ะย่ะค่ะ!” เสียงไม่ดัง แต่เป็นระเบียบมากอาเสอเดินไปถาม “พระองค์คงไม่หามาแต่วิญญาณของทหารก
เมื่อมู่หรงฉิงเทียนเดินเข้าไป จ่านเหยียนก็ให้กัวอวี้วัดตัวเขามู่หรงฉิงเทียนกลับระบุว่าต้องเป็นนาง “ขออภัย ทุกขั้นตอนเจ้าต้องทำด้วยตัวเอง”เขาพูดแบบจริงจังมาก สีหน้าขึงขังราวกับกำลังพูดเรื่องใหญ่โตของบ้านเมืองจ่านเหยียนกลับรู้สึกว่าเขารังแกกันมากเกินไปแต่ก็ช่วยไม่ได้ จึงได้แต่หยิบไม้บรรทัดเดินไปถึงข้างตัวเขา วัดไปพลาง บันทึกไปพลาง“ห้าฉื่อกว่านิดหน่อย นั่นก็คือหนึ่งร้อยแปดสิบเท่าไร สูงอย่างนี้เลยหรือ? ...หน้าอกใหญ่กว่าข้า โอ๊ย...ยืดอกเกร็งท้อง...”จ่านเหยียนบ่นพึมพำอยู่ทางนั้น ระบายความไม่พอใจในอกอันที่จริง สำหรับนางแล้ว การให้นางปักลายเป็นเรื่องที่อึดอัดใจมากมือของนางเอาไว้ถือคทามังกรนะหลังจากวัดเสร็จ นางก็เตะน่องเขา “พอแล้ว ออกไป!”มู่หรงฉิงเทียนหมุนตัวมองนางอย่างอ้อยอิ่ง “ข้าจะจับตาดูการทำงานอยู่ที่นี่” “ไม่ต้อง ท่านมองข้าจะทำไม่ออก” จ่านเหยียนผลักเขาเดินออกไปข้างนอก “ว่างงานก็ออกไปนับ ๆ มดเสีย อย่ามาเกะกะอยู่ในนี้”“เจ้าคิดจะปักลายอะไร? ต้องให้ข้าดูก่อน” มู่หรงฉิงเทียนหันมาพูด“ไสหัวไป!” จ่านเหยียนตะคอกอย่างดุดันมู่หรงฉิงเทียนเห็นนางหัวเสียมากจริง ๆ จึงหมุนตัวอ
“บ่าวจะร้องขอเทพกราบกรานพระเดี๋ยวนี้ หรือไม่บ่าวจะช่วยเป็นลูกมือให้ท่านนะเพคะ” อาเสอเปลี่ยนท่าทีโอ้อวดเมื่อครู่ทันที“ไม่จำเป็น!” จ่านเหยียนเรียกอาหู “เจ้าจับตาดูนางเอาไว้ ถ้ากล้าอู้งานแม้แต่น้อยก็บอกข้า”อาหูมองอาเสอแวบหนึ่ง ตามด้วยตอบเสียงอ้อมแอ้ม “หากให้บ่าวจับตาดู พี่อาเสอจะให้บ่าวไปล้างกับนางเพคะ”“นางไม่กล้า” จ่านเหยียนมองอาเสอ แล้วถามอย่างอ่อนโยน “เจ้าบอกข้ามา เจ้ากล้าหรือไม่?”แม้อาเสอจะโมโหโกรธา แต่สัมผัสได้ถึงอันตรายเบื้องหลังความอ่อนโยนในดวงตาของนางแล้ว ก็ยังอดส่ายหน้าอย่างขวัญผวาไม่ได้ “มิกล้าเพคะ”“อื่ม” จ่านเหยียนตบหน้านางอย่างพึงพอใจ “ช่างเป็นงูเขียวแสนดีของข้าแท้ ๆ”“ขอบพระทัยที่ชื่นชม” อาเสอมองนางอย่างไม่ยินยอม ไม่เข้าใจแล้วว่าเหตุใดคนที่ซวยต้องเป็นนางทุกที“ออกไป!” จ่านเหยียนไล่นางออกไปอาเสอหมุนตัวออกไป อาหูก็ตามไปด้วยอาหูถามด้วยความสงสัยอย่างหนัก “พี่อาเสอ ระยะนี้ทำไมคุณหนูใหญ่ถึงได้ลงโทษท่านประจำเลย? คราวก่อนก็เพิ่งใช้เชือกพันธนาการเซียนมัดท่าน ตอนนี้ก็ให้ท่านไปล้างถังมูลอีก ท่านก็ไม่ได้ทำความผิดมหันต์อะไรนี่?”“เจ้าพูดเลื่อนเปื้อนอันใด? คราวก่อนข้าต้องก
ตำหนักหรูหลานเปิดประชุมเร่งด่วน สตรีทุกคนในตำหนักต้องเข้าร่วม ไล่บุรุษทั้งหลายออกไป สถานที่ประชุมเร่งด่วนก็คือตำหนักบรรทมของจ่านเหยียนจ่านเหยียนสีหน้าเคร่งเครียดมาก นั่งอยู่บนตั่งอยู่นานยังไม่ปริปาก“คุณหนูใหญ่ตรัสสิเพคะ เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือเพคะ?” กัวอวี้ถามอย่างร้อนรนจ่านเหยียนมองกัวอวี้แล้วถาม “เจ้าว่าวันนี้ฉีชินอ๋องตามเข้าวังมาได้อย่างไร? เจ้าเอาชุดกับเขาแล้วหาข้ออ้างปลีกตัวไม่ได้หรือ?”กัวอวี้ตอบอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “พอท่านอ๋องทราบว่าคุณหนูใหญ่ต้องการชุดนี้ก็กลับจวนไปเอาทันทีเพคะ แต่เพิ่งเข้าจวนแม่นางจิ้งฉือก็หาเขาบอกว่ามีธุระสำคัญ เขาบอกปัดว่าไทเฮาเรียกด่วน แม่นางจิ้งฉือจึงปล่อยเขา ก่อนจะมายังบอกอีกว่าหากค่ำหน่อยยังไม่กลับมา นางจะไปหาเขาที่จวนเซ่อเจิ้งอ๋อง เขาอยู่บนรถม้าคิดแล้วก็ประหวั่นพรั่นพรึง จึงเข้าวังกับบ่าว จะเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่สำเร็จเพคะ”“จิ้งฉือ?” จ่านเหยียนราวกับเพิ่งนึกถึงคนผู้นี้ได้ “คืนมุกเทพสกัดพิรุณให้นางแล้วมิใช่หรือ? อาหู เจ้าคืนให้นางหรือไม่?”อาหูเอ่ย “ใช้เสร็จก็คืนให้นางแล้วเพคะ”“เช่นนั้นเหตุใดนางจึงตอแยมู่หรงหานเทียนอีก? เด็กดวงซวยคนนี้นี่!” จ