ดวงจันทร์ลอยอยู่เหนือแม่น้ำสะท้อนบนผืนน้ำที่นิ่งงันราวกับกระจกแผ่นใหญ่ แต่ในใจของใครบางคนกลับปั่นป่วนอย่างไม่อาจสงบลงได้ง่าย ๆ
จันทร์สิตายืนกอดอกอยู่ตรงระเบียงมืด ดวงตาของเธอทอดมองไปยังผืนน้ำอย่างครุ่นคิด คำพูดของหมออนลในค่ำคืนนั้นยังวนเวียนอยู่ในหัว…
“ผมอยู่ในวันที่พ่อคุณหายตัวไป”
คำพูดเพียงประโยคเดียว เหมือนโยนระเบิดลูกใหญ่เข้าใส่ใจกลางความทรงจำของเธอ
พ่อ… ชายผู้หายตัวไปจากชีวิตเธออย่างไร้ร่องรอยเมื่อสิบห้าปีก่อน ทิ้งเพียงคำสั่งเสียที่ไม่มีใครเข้าใจ
“อย่าไว้ใจระบบ… จงมองคนจากสิ่งที่เขาไม่ยอมพูด”
เธอไม่เคยลืมประโยคนั้น และคืนนี้… จู่ ๆ ก็ดูเหมือนมันจะกลับมามีความหมายอีกครั้ง
เสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้นจากทางเข้าห้องพัก เธอหันกลับไปเล็กน้อยก่อนเอ่ยเสียงเบา
“เปิดเข้ามาได้ค่ะ”
ประตูเปิดออกอย่างช้า ๆ ก่อนจะเผยร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีกรมและกางเกงสแลคสีเข้ม
อนล ศิระภพ เดินเข้ามาโดยไม่พูดอะไร ร่างกายสูงสง่าของเขาราวกับกลืนกับความมืดรอบห้อง แต่แววตานั้นกลับคมชัดจนน่ากลัว
“คุณยังไม่นอนอีก” เขาถามเบา ๆ
“คุณก็เหมือนกัน” เธอตอบโดยไม่หันกลับไปมอง
เขาเดินมายืนข้างเธอ ห่างแค่ระยะหนึ่งฝ่ามือ
“พ่อคุณเป็นคนดีมาก” เขาเอ่ยช้า ๆ “เขาไม่ได้ตายเพราะอุดมการณ์ แต่เพราะเขาเชื่อว่าความจริงควรถูกเปิดเผย”
จันทร์สิตาหันไปสบตาเขาอย่างช้า ๆ
“แล้วคุณล่ะคะ… คุณเชื่อแบบเขาไหม หรือคุณแค่เลือกอยู่กับความลับเพราะมันปลอดภัยกว่า?”
อนลไม่ตอบทันที เขาหลุบตามองปลายนิ้วของเธอที่กำลังเกาะราวระเบียงแน่นราวกับกลัวจะปล่อยมือ
“ผมไม่เคยคิดว่าความลับจะปลอดภัย” เขาตอบช้า ๆ “มันแค่… ซื้อเวลา”
“แล้วคุณเคยอยากพูดความจริงกับใครสักคนไหม?”
เขานิ่งไปอีกครู่ แล้วพยักหน้าเบา ๆ
“เคย… แต่ไม่ใช่ในฐานะหมอ”
เธอขมวดคิ้ว “แล้วในฐานะอะไร?”
“ในฐานะคนที่รู้สึกกับคุณ”
วินาทีนั้น แม้ลมจะพัดแรงเท่าไร เสียงแม่น้ำกระเพื่อมเพียงใด แต่สิ่งเดียวที่ดังในหัวของเธอคือน้ำเสียงของเขา
เขาเอื้อมมือมาจับมือของเธอเบา ๆ
“ผมไม่ควรพูดมัน… เพราะถ้าคุณรู้ว่าผมคือใครจริง ๆ คุณอาจจะหายไปจากชีวิตผม เหมือนคนอื่น ๆ ที่เคยพยายามเข้ามา”
“แต่ฉันยังยืนอยู่ตรงนี้” เธอกระซิบตอบ “แม้จะมีเหตุผลมากมายให้หนี แต่ก็ยังอยู่ตรงนี้”
เขายิ้มบาง ๆ “แล้วคุณไม่กลัวเหรอ?”
“กลัวค่ะ…” เธอพยักหน้า “แต่ฉันไม่ใช่คนที่เลือกเดินถอยหลัง เพราะความกลัว”
เขาจ้องเธอเงียบ ๆ ก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนลมหายใจแทบแตะกัน
“เพราะแบบนั้น… ผมถึงกลัวจะเสียคุณ”
เธอหลับตาเบา ๆ เมื่อสัมผัสจากปลายนิ้วของเขาเลื่อนไปแตะข้างแก้ม ราวกับต้องการจดจำสัมผัสนั้นไว้ในเงาของความเงียบ
แล้วเขาก็ก้มลง… ใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ จนริมฝีปากเกือบจะแตะกัน
แต่เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นพอดี
ติ๊ง!
ทั้งสองสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจันทร์สิตาจะหยิบมือถือขึ้นมาดู ดวงตาเบิกกว้างในทันที
[ข้อความลับจากระบบ]: “มีคนเจาะเข้าระบบฐานข้อมูลโรงพยาบาล ระดับความลึก: E-Class”
“มีคนเจาะระบบของเรา…” เธอพูดเสียงเบา “และเข้าไปในระดับที่ไม่ควรเข้าถึงได้ง่าย ๆ”
“ต้องเป็นคนใน” อนลขมวดคิ้วทันที “ระบบนั้นผมเขียนเอง ไม่มีใครนอกจากผมกับ CTO รู้พิกัดโหนดข้อมูล”
“งั้นก็แปลว่า… มีคนทรยศอยู่ข้างใน”
เขาพยักหน้าเบา ๆ ดวงตาแข็งขึ้นทันที
“ผมต้องกลับไปที่ห้องคอนโทรลทันที คุณอยู่ที่นี่ รอผม—”
“ไม่ค่ะ” เธอสวนขึ้น “ฉันจะไปด้วย”
“มันอันตร—”
“ฉันเคยยืนมองคนที่ฉันรักหายไปต่อหน้าต่อตา โดยไม่ได้ทำอะไรเลย” เสียงเธอสั่น “ครั้งนี้… ฉันจะไม่ยืนดูอีก”
เขาจ้องเธอนิ่ง ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ แล้วเอื้อมมือมากุมมือเธอแน่น
“ไปด้วยกัน”
สามสิบนาทีต่อมาห้องควบคุมเครือข่ายลับเสียงแป้นพิมพ์รัวดังต่อเนื่องในห้องสลัวที่มีเพียงแสงจากหน้าจอหลายสิบเครื่อง แสดงภาพจำลองเครือข่ายดิจิทัลที่กำลังถูกรุกรานเหมือนโดนไวรัสเข้าโจมตี
“IP นี้วนกลับมาจากเซิร์ฟเวอร์ที่หายไปจากระบบสามเดือนก่อน!” วิศวกรคนหนึ่งตะโกน
“มันกำลังคัดลอกข้อมูล MirrorMind เวอร์ชัน B อยู่!” อีกคนตะโกนขึ้น
อนลนั่งลงที่จุดควบคุมหลัก มือพิมพ์รวดเร็วราวกับมีมากกว่าสิบมือ
“สั่งลบข้อมูลปลอมทั้งหมด ทำให้มันคิดว่าได้ข้อมูลจริงไปแล้ว!” เขาตะโกน “แล้วล็อกพิกัด IP มันไว้!”
“เรียบร้อย!” วิศวกรหญิงตะโกนตอบ
จันทร์สิตามองจออย่างนิ่งงัน จนกระทั่งภาพหน้าจอขึ้นคำว่า
“สำเร็จ: ทำให้ผู้บุกรุกโหลดข้อมูลหลอก – 100%”
อนลหันมามองเธอ ดวงตาที่นิ่งสงบของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยแสงประกายบางอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน
“เราหยุดมันไว้ได้ชั่วคราว” เขาพูดเบา ๆ “แต่สงครามเพิ่งเริ่มต้น”
เธอพยักหน้า
“และเราก็จะไม่ถอย”
ดวงจันทร์ลอยอยู่เหนือแม่น้ำสะท้อนบนผืนน้ำที่นิ่งงันราวกับกระจกแผ่นใหญ่ แต่ในใจของใครบางคนกลับปั่นป่วนอย่างไม่อาจสงบลงได้ง่าย ๆ จันทร์สิตายืนกอดอกอยู่ตรงระเบียงมืด ดวงตาของเธอทอดมองไปยังผืนน้ำอย่างครุ่นคิด คำพูดของหมออนลในค่ำคืนนั้นยังวนเวียนอยู่ในหัว…“ผมอยู่ในวันที่พ่อคุณหายตัวไป”คำพูดเพียงประโยคเดียว เหมือนโยนระเบิดลูกใหญ่เข้าใส่ใจกลางความทรงจำของเธอพ่อ… ชายผู้หายตัวไปจากชีวิตเธออย่างไร้ร่องรอยเมื่อสิบห้าปีก่อน ทิ้งเพียงคำสั่งเสียที่ไม่มีใครเข้าใจ“อย่าไว้ใจระบบ… จงมองคนจากสิ่งที่เขาไม่ยอมพูด”เธอไม่เคยลืมประโยคนั้น และคืนนี้… จู่ ๆ ก็ดูเหมือนมันจะกลับมามีความหมายอีกครั้งเสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้นจากทางเข้าห้องพัก เธอหันกลับไปเล็กน้อยก่อนเอ่ยเสียงเบา“เปิดเข้ามาได้ค่ะ”ประตูเปิดออกอย่างช้า ๆ ก่อนจะเผยร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีกรมและกางเกงสแลคสีเข้มอนล ศิระภพ เดินเข้ามาโดยไม่พูดอะไร ร่างกายสูงสง่าของเขาราวกับกลืนกับความมืดรอบห้อง แต่แววตานั้นกลับคมชัดจนน่ากลัว“คุณยังไม่นอนอีก” เขาถามเบา ๆ“คุณก็เหมือนกัน” เธอตอบโดยไม่หันกลับไปมองเขาเดินมายืนข้างเธอ ห่างแค่ระยะห
สายลมในยามเช้าอบอุ่นและปลอดโปร่งกว่าคืนก่อน แต่ในใจของจันทร์สิตายังเต็มไปด้วยคำพูดที่เขากระซิบข้างหู — อย่าทำตัวเหมือนนางเอกที่คิดว่าความลับของพระเอกจะโรแมนติกเสมอเธอคิดวนอยู่กับคำคำนั้นไม่หยุดตลอดเช้า แม้กระทั่งในเวลาที่ควรจดจ่อกับงานของตน เธอเลือกไปนั่งที่ระเบียงกาแฟด้านหลังโรงพยาบาล แสงแดดอ่อน ๆ ยามสายสาดกระทบผิวของเธอ จนใบหน้าสวยนั้นดูนุ่มนวลกว่าทุกวัน“มาคนเดียวอีกแล้วเหรอครับ?”เสียงนั้นดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้เธอชะงัก มือที่ถือแก้วกาแฟสั่นเล็กน้อยก่อนจะวางลงช้า ๆ“หมออนล” เธอเอ่ยชื่อของเขาโดยไม่ได้หันกลับไปมองเขาเดินอ้อมมานั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม สีหน้าราบเรียบ แต่ในแววตานั้นคล้ายมีรอยยิ้มบาง ๆ“ขอโทษที่เมื่อวานพูดแรงไป” เขาเอ่ยเธอสบตาเขาตรง ๆ “เพราะฉันกำลังล้ำเส้นใช่ไหมคะ?”“เพราะคุณอาจเจอสิ่งที่ไม่ควรรู้”เสียงลมพัดผ่านต้นไม้ในสวนหลังโรงพยาบาลอย่างแผ่วเบา กลิ่นดอกไม้ปนกับกลิ่นยาปฏิชีวนะจากอาคารข้างเคียง“คุณเคยคิดอยากมีชีวิตธรรมดาไหมคะ?” จันทร์สิตาถามโดยไม่มองเขาเขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “เคย… แต่ผมไม่มีสิทธิ์เลือกตั้งแต่ยังไม่ทันโตเต็มวัย”“แล้ว
ห้องสมุดชั้นล่างของโรงพยาบาล B เงียบสงบในเวลาเกือบค่ำ แสงจากโคมไฟหัวโต๊ะส่องสว่างเฉพาะจุด ท่ามกลางกลิ่นกระดาษเก่าที่ไม่อาจปกปิดได้แม้จะเป็นสถานที่ทันสมัยแค่ไหนก็ตามจันทร์สิตานั่งอยู่มุมหนึ่ง สายตาไล่ไปตามเอกสารปึกหนาที่เธอแอบดึงออกจากคลังข้อมูลลับของโรงพยาบาล — แบบฟอร์มขอเครื่องมือผ่าตัดชนิดพิเศษ พร้อมลายเซ็นดิจิทัลที่ถูกเข้ารหัส“ทั้งหมดนี้…ผูกกับชื่อของเขา” เธอกระซิบกับตัวเอง ขณะพลิกดูเอกสารหน้าแล้วหน้าเล่า “แต่วิธีขอ ไม่ผ่านระบบราชการของโรงพยาบาล…เขาใช้สิทธิ์พิเศษอะไรบางอย่าง”เธอไม่ใช่นักสืบมือใหม่ การดูข้อมูลแบบนี้คล้ายการคลำในความมืด แล้วค้นหาแสงเล็ก ๆ ที่รั่วออกมาจากรอยแยกของความลับและในที่สุด…เธอก็เจอชื่อหนึ่งซ้ำ ๆดร. ก้องภพ ศิระภพ“นามสกุลเดียวกัน…”เธอล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาค้นประวัติเบื้องต้น แต่ข้อมูลแทบไม่มี มีเพียงข่าวเล็ก ๆ เมื่อหกปีก่อน — นักธุรกิจด้านอาวุธรายใหญ่ หายตัวไปกะทันหัน ทิ้งบริษัทที่ไร้เจ้าของ และ…ข่าวลือเรื่องการถูกลอบสังหาร“คุณหมออนลให้เชิญคุณไปรับประทานอาหารกลางวันร่วมกันที่ห้องพักแพทย์ค่ะ”จันทร์สิตาหันไปมองพยาบาลสาวที่ยืนส่งยิ้มหวาน เหมือนข่าวลือว่าหมออน
โรงพยาบาล B – ชั้นบนสุดของตึกศัลยกรรมประสาทเสียงกรีดของลิฟต์ดังขึ้นเบา ๆ ก่อนประตูจะเปิดออก เผยให้เห็นทางเดินยาวที่เงียบสงัด มีเพียงแสงจากหลอดไฟสีขาวนวลส่องลงบนพื้นสะอาดสะอ้านที่สะท้อนเงาร่างของใครบางคน“หือ” จันทร์สิตาก้าวเท้าเข้าไป พลางเหลียวมองป้ายชื่อห้องเล็ก ๆ ที่ติดอยู่หน้าประตูไม้ทึบห้องผ่าตัด 7 – ผู้รับผิดชอบ: นพ. อนล ศิระภพ“ฟู่ว”เธอสูดหายใจลึก แล้วเดินไปยังมุมห้องพักญาติซึ่งติดกระจกใสสามารถมองลอดเข้าไปยังโซนรอผ่าตัดได้เขาอยู่ที่นั่นแล้วอนลในชุดผ่าตัดสีน้ำเงินเข้ม กำลังเช็คผล CT Scan บนจออย่างนิ่งสงบ ใบหน้าคมนั้นถูกปิดครึ่งล่างด้วยหน้ากาก แต่ดวงตานั่นยังคงทรงพลังจนไม่อาจละสายตาได้“เขาไม่ใช่แค่หมอที่เก่ง” เสียงผู้ช่วยของจันทร์สิตาดังขึ้นเบา ๆ ข้างหู “เขาคือเครื่องจักรที่ไร้ร่องรอยของความลังเลทุกครั้งที่อยู่ในห้องผ่าตัด”“ไร้ร่องรอย...” จันทร์สิตาพึมพำ “แม้แต่ในชีวิตส่วนตัวด้วยสินะ”การเผชิญหน้าที่คาดไม่ถึงเย็นวันนั้น ในโรงอาหารของโรงพยาบาล เธอเจอเขาอีกครั้งโดยไม่ตั้งใจ หรือเธอจงใจเดินเข้าไปหาเขาในจังหวะที่ไม่มีใครอยู่โต๊ะ“คุณหมออนล”เขาเงยหน้าจากถาดอาหารที่แทบไม่ได้แตะ
“ยิ้มอีกนิดสิคะคุณจันทร์ กล้องจะได้รัก”เสียงจากช่างภาพหนุ่มดังขึ้นพร้อมแฟลชวาบ หญิงสาวเจ้าของชื่อเพียงกระตุกยิ้มเล็กน้อย มุมปากที่ยกขึ้นนิดเดียวกลับเต็มไปด้วยแรงดึงดูดราวกับกำลังปิดบังอะไรบางอย่างเอาไว้เธอสวมเดรสซาตินแดงเข้มที่แนบไปกับร่างระหง ผิวขาวอมชมพูทำให้แสงไฟที่สะท้อนบนเนื้อผ้าเหมือนเล่นกล เส้นผมสีน้ำตาลเข้มถูกรวบหลวม ๆ ดวงตาคมลึกของเธอมองกล้องโดยไม่มองใครเลย“ได้แล้วครับ!” ช่างภาพยกนิ้ว เขาหันไปพึมพำกับทีม “สวยแบบนี้ไม่ต้องรีทัช”แต่เธอไม่ได้ยิน และถ้าจะได้ยินก็คงไม่ใส่ใจ จันทร์สิตาหันหลังให้แสงไฟ ก้าวเดินออกจากสตูดิโอราวกับทุกการเคลื่อนไหวผ่านการซ้อมมาอย่างแม่นยำ ผู้ช่วยสาวของเธอรีบวิ่งตามมาพร้อมแฟ้มเอกสาร“คุณจันทร์คะ เย็นนี้มีงานเลี้ยงต้อนรับของเครือโรงพยาบาลใหญ่ที่เราจะเข้าไปร่วมงานด้วย ให้ฉันตอบรับไหมคะ?”“ไม่” เธอพูดทันที โดยไม่หันกลับไปมอง“แต่ในลิสต์แขกมีบอร์ดบริหารหลายท่านเลยนะคะ ถ้าเราสร้างสัมพันธ์ไว้ก่อน—”“ฉันไม่ได้สนใจบอร์ดพวกนั้น” เธอหยุดกะทันหัน ทำให้ผู้ช่วยแทบชนหลัง“ฉันสนใจคนที่ไม่มีข้อมูล” เธอพลิกแฟ้มขึ้น “หมออนล ศิระภพ ศัลยแพทย์สมองที่ไม่มีประวัติในโลกออนไ