ฝนโปรยลงมากระทบหน้ากระจกรถเป็นสาย ขณะรถคันหรูของหมออนลแล่นเข้าสู่ซอยลึกที่มีเพียงแสงไฟส้มหม่นจากเสาไฟริมถนน
คลินิกที่ว่าตั้งอยู่ในตึกเก่าอายุหลายสิบปี ป้ายสีซีดที่เขียนว่า “คลินิกเด็กสุขใจ” แขวนเอียงอยู่หน้าทางเข้า
“มันดูไม่เหมือนสถานที่ที่เด็กจะ ‘สุขใจ’ เท่าไหร่เลยนะคะ” จันทร์สิตาว่า พลางเบี่ยงตัวมองออกไปด้านนอก
“มันเป็นคลินิกที่ผมไม่ได้ดูแลโดยตรง มีหมอเวรผลัดเปลี่ยนกัน…แต่เด็กที่เสียชีวิตหลายคนก็เคยเข้ามาที่นี่ก่อนเกิดเรื่อง” น้ำเสียงเขาตึงขึ้นนิด
พวกเขาก้าวลงจากรถ ฝ่าฝนไปยังทางเข้าที่แคบชื้นและมืดทึบ
เมื่อเข้าไปด้านใน กลิ่นยาผสมกับกลิ่นอับเฉพาะตัวของตึกเก่าก็พุ่งกระแทกจมูก โซนต้อนรับว่างเปล่า มีเพียงแฟ้มเวชระเบียนกองพะเนินหลังเคาน์เตอร์ และไฟบางจุดที่กระพริบเหมือนใกล้ดับ
จันทร์สิตาเหลือบมองรอบตัว ดวงตาวาวด้วยความสงสัย “คลินิกเปิดหรือปิดกันแน่คะ?”
“มันเปิด...แต่ไม่มีคนอยากมาทำงานเวรที่นี่ตอนกลางคืน” เขาว่าเสียงเรียบ
พวกเขาเดินลึกเข้าไปด้านใน จนถึงห้องตรวจที่คาดว่าเป็นห้องประจำของหมอเวร
อนลเปิดแฟ้มคนไข้ที่วางทิ้งไว้ พบชื่อ "ธันวา" ปรากฏอยู่หลายครั้งในระยะเวลาไม่ถึงสองเดือน
“เขามาที่นี่บ่อยมาก...แต่ไม่มีประวัติป่วยทางกาย”
“แล้วหมอวินิจฉัยว่าอะไรคะ?” จันทร์สิตาโน้มตัวมาดูใกล้ ๆ กลิ่นน้ำหอมจาง ๆ ของเธอลอยแตะจมูกเขาอย่างไม่ตั้งใจ
เขาเว้นจังหวะหนึ่ง ก่อนตอบ “เด็กมีอาการนอนสะดุ้ง หวาดผวา ไม่พูดกับใคร...หมอลงว่า ‘ความผิดปกติทางอารมณ์’ ”
“แล้วคุณหมอคิดว่า...มันใช่แค่นั้นจริงเหรอคะ?”
เขาไม่ตอบทันที แต่ดวงตาคมทอดมองไปยังเตียงตรวจเล็ก ๆ ที่ถูกพับเก็บอยู่มุมห้อง
“ผมคิดว่า...มีบางอย่างที่เด็กไม่กล้าพูดออกมา”
ทันใดนั้น เสียงแหลมของของตกกระทบพื้นก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
จันทร์สิตาหันขวับ เงาเคลื่อนไหวผ่านบานประตูด้านข้างเพียงวูบเดียว
หมออนลก้าวไปเปิดประตูห้องนั้นทันที ข้างในคือห้องเก็บอุปกรณ์แพทย์เก่า ๆ
ภายในห้องนั้น มีผนังหนึ่งที่เต็มไปด้วย ภาพวาดของเด็กหลายคน วาดทับกันจนแน่น และเกือบทั้งหมดเป็นรูปคน...คนในชุดดำ คนที่ไม่มีหน้า หรือมีตาเดียวที่จ้องตรงออกมาอย่างเย็นเยียบ
“พระเจ้า...” เธอพึมพำ มือแตะไปที่ภาพหนึ่งที่มีคำว่า “อย่าไว้ใจคนที่ให้ขนม” เขียนอยู่ด้วยลายมือเด็ก
หมออนลหยิบกล้องมือถือขึ้นถ่ายไว้ทุกมุม
ในจังหวะที่แสงแฟลชสว่างวาบ จันทร์สิตาก็สะดุ้งเล็กน้อย เงาคล้ายร่างของเด็กเล็กสะท้อนในกระจกเก่า ๆ บานหนึ่ง...ก่อนจะหายวับไปทันที
“เห็นไหม...” เธอถามเบา ๆ เสียงสั่นเล็กน้อย
“เห็น” เขาตอบทั้งที่ไม่ได้หันไปมอง “แต่บางที...สิ่งที่เราต้องกลัว อาจไม่ใช่ผี”
“แล้วคืออะไรคะ?”
เขาหันมาสบตาเธอ “คือ ‘คน’ ที่ทำให้เด็กต้องเห็นแบบนั้น...”
เงียบไปพักหนึ่ง จันทร์สิตายืนใกล้เขาอย่างลืมตัว เธอเงยหน้าขึ้น กระซิบเบา ๆ
“ขอบคุณที่คุณไม่กลัว...แล้วก็ยังมาช่วยพวกเขา”
หมออนลยิ้มบาง ๆ ไม่พูดอะไร แต่สายตาอ่อนลง
มือเขายื่นมาสัมผัสแขนเธอเบา ๆ
“คุณเองก็กล้ากว่าที่ผมคิด...มากกว่าหมอหลายคนที่ผมเคยร่วมงาน”
หัวใจเธอเต้นแรง ทั้งที่เธอเองคือคนที่ตั้งใจจะหลอกเขา แต่ตอนนี้ เธอกำลังกลัวมากกว่า...ว่าจะหลอกตัวเองไม่สำเร็จ อยู่กันมานานกว่าเคสอื่นๆแถมใกล้ชิดมากเกินไปอีก
เสียงฝีเท้าเบา ๆ ก้าวย่ำบนพื้นไม้เก่าเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ขณะที่จันทร์สิตาก้มลงสำรวจร่องรอยที่มุมหนึ่งของห้อง
“ตรงนี้มีรอยเลือดเก่า...” เธอพูดเบา ๆ สัมผัสปลายนิ้วลงบนรอยแห้งกรังก่อนเงยหน้ามองหมออนล “คุณว่าเด็กคนนั้น...อาจจะถูกทำร้ายที่นี่เหรอ?”
อนลขยับแว่นอย่างนิ่ง ๆ สายตาเย็นเฉียบกวาดมองรอบห้องเหมือนคำนวณทุกองศา เขาไม่พูดทันที แต่เดินไปหยุดตรงกำแพงด้านหนึ่งที่มีรอยแตกและแถบผนังถลอก
“ไม่ใช่แค่ถูกทำร้าย” เขาตอบเสียงเรียบ “เด็กคนนั้น...ถูกขังไว้ที่นี่”
จันทร์สิตาหยุดหายใจไปครู่หนึ่ง เธอก้าวตามไปยืนข้างเขา กลิ่นฝุ่นเก่าและกลิ่นเหม็นบางอย่างทำให้เธอรู้สึกหายใจไม่ทั่วปอด
“คุณนี่เป็นหมอจริงหรือเปล่า?” เธอถามกลั้วหัวเราะ พยายามเบาอารมณ์
เขาหันมามองเธอนิ่ง ๆ “คุณเองก็ไม่เหมือนนางแบบที่เป็นหมอทั่วไป” มันอัศจรรย์ตั้งแต่อาชีพที่ขัดแย้งกันแต่อยู่ในตัวเธอคนเดียวแล้ว
“อ้าว หมายความว่าไงน่ะ?” จันทร์สิตายิ้มอย่างมีเลศนัย พรางเบี่ยงตัวเข้ามาใกล้เขาโดยไม่รู้ตัว มือบางเอื้อมแตะแขนเขาเบา ๆ “ฉันแค่เป็นนักนางแบบที่...อินกับเคสมากไปหน่อย”
อนลปรายตามองมือของเธอที่ยังแตะแขนเขา ก่อนจะขยับตัวเล็กน้อยให้หลุดจากสัมผัสนั้นอย่างแนบเนียน
แต่ก่อนที่เธอจะได้เย้าเขาต่อ เสียงบางอย่างจากชั้นล่างก็ดังขึ้น
ปึง...!
เสียงเหมือนของหนักถูกกระแทกลงพื้น จันทร์สิตาสะดุ้งเฮือก “ใครอยู่ข้างล่าง?”
อนลไม่พูดอะไร คว้าไฟฉายจากในกระเป๋าเสื้อแล้วก้าวไปยังบันไดอย่างเงียบเชียบ ท่าทางของเขาไม่ได้เหมือนหมอเลยแม้แต่น้อย แต่กลับคล้ายคนที่ผ่านการฝึกมาอย่างดี
จันทร์สิตารีบเดินตามพลางกระซิบ “คุณไม่กลัวเลยเหรอ?”
เขาเหลือบตามองเธอ “คุณต่างหากที่ควรจะกลัว”
เมื่อทั้งคู่ลงมาถึงชั้นล่าง พวกเขาก็เห็นประตูด้านหลังเปิดแง้มอยู่ และเสียงฝีเท้าหายไปในความมืด...
“มันหนีไปแล้ว...” อนลพูดเบา ๆ แต่ในน้ำเสียงมีความไม่พอใจแฝงอยู่
จันทร์สิตายืนนิ่งอยู่ข้าง ๆ เขา ขนลุกซู่ เธอไม่แน่ใจว่าเพราะความกลัว หรือเพราะชายหนุ่มข้างตัวที่ดูไม่เหมือนหมอเอาเสียเลย
“คุณจะเอายังไงต่อ?” เธอถาม
“ผมจะกลับไปหาข้อมูลของเด็กคนนั้นให้มากกว่านี้ ส่วนคุณ...” เขาหยุดชั่วครู่ก่อนพูดต่อ
“อย่ามาที่นี่คนเดียวอีก”
“ห่วงฉันเหรอ?” เธอหรี่ตายิ้มเจ้าเล่ห์
“กลัวคุณจะพังหลักฐานเสียมากกว่า” เขาตอบเรียบ ๆ
‘น่าสนใจขึ้นทุกวัน...หมอคนนี้’
ฝนโปรยลงมากระทบหน้ากระจกรถเป็นสาย ขณะรถคันหรูของหมออนลแล่นเข้าสู่ซอยลึกที่มีเพียงแสงไฟส้มหม่นจากเสาไฟริมถนนคลินิกที่ว่าตั้งอยู่ในตึกเก่าอายุหลายสิบปี ป้ายสีซีดที่เขียนว่า “คลินิกเด็กสุขใจ” แขวนเอียงอยู่หน้าทางเข้า“มันดูไม่เหมือนสถานที่ที่เด็กจะ ‘สุขใจ’ เท่าไหร่เลยนะคะ” จันทร์สิตาว่า พลางเบี่ยงตัวมองออกไปด้านนอก“มันเป็นคลินิกที่ผมไม่ได้ดูแลโดยตรง มีหมอเวรผลัดเปลี่ยนกัน…แต่เด็กที่เสียชีวิตหลายคนก็เคยเข้ามาที่นี่ก่อนเกิดเรื่อง” น้ำเสียงเขาตึงขึ้นนิดพวกเขาก้าวลงจากรถ ฝ่าฝนไปยังทางเข้าที่แคบชื้นและมืดทึบเมื่อเข้าไปด้านใน กลิ่นยาผสมกับกลิ่นอับเฉพาะตัวของตึกเก่าก็พุ่งกระแทกจมูก โซนต้อนรับว่างเปล่า มีเพียงแฟ้มเวชระเบียนกองพะเนินหลังเคาน์เตอร์ และไฟบางจุดที่กระพริบเหมือนใกล้ดับจันทร์สิตาเหลือบมองรอบตัว ดวงตาวาวด้วยความสงสัย “คลินิกเปิดหรือปิดกันแน่คะ?”“มันเปิด...แต่ไม่มีคนอยากมาทำงานเวรที่นี่ตอนกลางคืน” เขาว่าเสียงเรียบพวกเขาเดินลึกเข้าไปด้านใน จนถึงห้องตรวจที่คาดว่าเป็นห้องประจำของหมอเวรอนลเปิดแฟ้มคนไข้ที่วางทิ้งไว้ พบชื่อ "ธันวา" ปรากฏอยู่หลายครั้งในระยะเวลาไม่ถึงสองเดือน“เขามาที่น
บ้านไม้ชั้นเดียวในชานเมืองกลับมาอยู่ในสายตาทั้งสองอีกครั้ง เมื่อรถของหมออนลแล่นเข้าไปจอดที่เดิม ท่ามกลางแสงไฟสลัวของหลอดนีออนหน้าบ้านที่กะพริบเป็นจังหวะชวนขนลุกเสียงสุนัขหอนดังแว่วไกลลิบในยามค่ำคืน บรรยากาศในบ้านดูแตกต่างจากเมื่อวานอย่างเห็นได้ชัด ผ้าม่านถูกรูดปิดสนิท ราวกับเจ้าของบ้านพยายามซ่อนอะไรบางอย่างจากสายตาคนนอกพ่อของธันวานั่งอยู่กลางห้องรับแขก ใบหน้าซีดเซียว ดวงตาแดงก่ำเหมือนผ่านการร้องไห้มาทั้งคืน“ขอบคุณที่มาครับหมอ…ผมไม่ไหวแล้วจริงๆ” เขาพูดพลางยกมือไหว้ ร่างกายสั่นเทาอย่างควบคุมไม่อยู่“เราอยากฟังทุกอย่างที่คุณรู้นะครับ โดยไม่ตัดสินอะไรเลย” หมออนลนั่งลงตรงข้าม พูดด้วยน้ำเสียงมั่นคงจันทร์สิตานั่งอยู่ข้าง ๆ เธอจ้องพ่อของเด็กชายธันวาอย่างตั้งใจ ขณะปลายนิ้วแตะที่ข้อมือเธอเองเพื่อวัดชีพจรของคนตรงหน้าอย่างแนบเนียน พฤติกรรมของเขาไม่ใช่แค่ความเศร้า...แต่เหมือนคนเห็นอะไรที่เกินกว่าจะเข้าใจ“ธันวาเคยเล่าหลายครั้งว่า...มีคนแปลกหน้าอยู่ในบ้านตอนกลางคืน” เขาเริ่มพูดช้า ๆ “ตอนแรกผมคิดว่าเขาจินตนาการไปเอง เด็กชอบเล่นกับเงา แต่แล้ว…ผมก็เริ่มเห็นเองกับตา”หมออนลขมวดคิ้ว “เห็นอะไรครับ?”ช
สายลมเย็นยามค่ำเริ่มพัดแรงขึ้นเมื่อพระอาทิตย์คล้อยต่ำลงไปหลังแนวตึก วันใหม่มาถึงเร็วกว่าที่จันทร์สิตารู้ตัวเสียอีกเธอนั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานในสำนักงานนิติเวชฯ สายตาเพ่งมองผลแล็บที่เพิ่งถูกรายงานกลับมาจากการชันสูตรละเอียดรอบสองของศพเด็กชายคนนั้น“เลือดจาง… ภูมิคุ้มกันต่ำผิดปกติ… มีสารบางอย่างตกค้างในระบบประสาท?” เธอพึมพำกับตัวเอง พลางขมวดคิ้ว สารที่ว่านั้นไม่มีอยู่ในรายการสารเคมีทั่วไป มันดูคล้ายสารจากพืชบางชนิดที่ไม่ควรพบในร่างเด็กอายุไม่ถึง 10 ปีไม่ใช่แค่อ่อนแอ… เด็กคนนั้นเหมือนถูกบีบให้ร่างกายเสื่อมลงอย่างช้า ๆเสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้น ก่อนที่ประตูจะเปิดออกอย่างสุภาพ“ขออนุญาตครับ คุณหมอจันทร์ มีคนมาเยี่ยม”ชายตรงหน้าคือหมออนล สวมเสื้อเชิ้ตขาวเรียบแต่มีเสื้อคลุมยาวพาดแขน เขาไม่ได้มาแบบแพทย์ประจำโรงพยาบาล แต่มาในฐานะใครบางคนที่รู้ว่าเธอเจออะไร และกำลังต่อชิ้นส่วนปริศนาเดียวกัน“มาดูผลใช่ไหมคะ?” จันทร์สิตาวางแฟ้มลงบนโต๊ะ แล้วเชิญเขานั่งลงฝั่งตรงข้าม“ผมได้คุยกับแม่ของเด็กแล้ว พวกเขาอึดอัดมาก เหมือนมีอะไรไม่อยากพูด” เขาวางแฟ้มอีกเล่มลงบนโต๊ะ เป็นแฟ้มบันทึกสุขภาพของเด็กชายคนเดียวกัน “
แสงแดดอ่อนยามสายทอดผ่านกระจกหน้าต่างรถยนต์ SUV คันใหญ่ที่แล่นเข้าสู่เขตชานเมืองทางตะวันออกของกรุงเทพฯ พื้นที่แห่งนี้ไม่ได้มีเพียงความเงียบสงบห่างไกลผู้คนเท่านั้น แต่ยังแฝงไปด้วยบางสิ่งที่กำลังซ่อนความผิดปกติไว้ใต้เงามืดจันทร์สิตานั่งไขว่ห้างอยู่เบาะข้างคนขับ ใบหน้าสวยเต็มไปด้วยรอยยิ้มขณะลอบมองชายข้างตัวที่ยังคงตั้งใจขับรถอย่างสุขุมราวกับไม่มีผู้หญิงเซ็กซี่นั่งอยู่ข้าง ๆ เลยสักนิด"หมอขาาา~ ขับเร็วแบบนี้แสดงว่าตื่นเต้นใช่ไหมคะที่จะได้ลงพื้นที่กับจันทร์" เธอเอียงศีรษะเข้าหา กระซิบเสียงหวานใกล้จนลมหายใจอุ่น ๆ ของเธอแทบจะแตะปลายคางเขา เธอกล้าทำแบบนี้เพราะเริ่มสนิทกันมากขึ้น เธอก็จะใส่สุดมากขึ้นอนลยังไม่ละสายตาจากถนน มือที่จับพวงมาลัยกระชับแน่นขึ้นเล็กน้อย“อย่าเล่นแบบนี้บนถนน มันอันตราย”จันทร์สิตาแอบเบ้ปากนิด ๆ ก่อนแกล้งถอนหายใจ "โอเคค่ะ คุณหมอนักบุญ แต่ก็ช่วยทำหน้าหล่อให้น้อยลงหน่อยเถอะคะ คนขับผ่านมานี่มองจ้องกันเป็นแถว เดี๋ยวเขาจะคิดว่าจันทร์พาแฟนดาราไปเที่ยว"เขาเงียบ ไม่ตอบอะไรแต่หางตาเธอก็เห็นปลายปากเขายกขึ้นนิดหนึ่ง แค่เสี้ยววินาที จันทร์สิตาก็รู้ว่าเธอเริ่มเอาชนะภูเขาน้ำแข็งได้บ้
ห้องชันสูตรภายในโรงพยาบาลศิขรินทร์เงียบสงบ เย็นเฉียบตามมาตรฐาน แต่สำหรับจันทร์สิตา ความเย็นไม่ได้มาจากเครื่องปรับอากาศหรือสภาพแวดล้อม มันคือความเย็นชาในแววตาของหมออนลต่างหากที่สร้างบรรยากาศให้ตึงเครียดโดยไม่ต้องมีคำพูดใดภายในสัปดาห์แรก เธอเริ่มคุ้นกับงานที่ได้รับมอบหมาย เธอทำงานอย่างมืออาชีพ เป๊ะทุกขั้นตอนจนไม่มีใครตั้งข้อสงสัย ทว่าสายตาคู่นั้น…ยังคงมองเธอด้วยความว่างเปล่า“มันต้องมีสักจุดที่ร้าว…ฉันจะหามันให้เจอ”เธอคิดในใจขณะมองเขาผ่านกระจกห้องประชุมที่สะท้อนภาพหมอหนุ่มนั่งอ่านแฟ้มรายงานอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย“เคสนี้…ผ่านมือหมอชันสูตรมาก่อน แต่มีบางอย่างที่ผมไม่แน่ใจ คุณลองวิเคราะห์ดูใหม่อีกครั้ง”วันหนึ่ง ในระหว่างการประชุมเคสพิเศษ หมออนลส่งแฟ้มคดีเก่าให้เธอ พร้อมคำพูดเรียบๆ แฟ้มชันสูตรว่าด้วยเด็กหญิงอายุ 7 ขวบ เสียชีวิตกะทันหันในบ้านหรู สาเหตุระบุว่า ‘หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน’ แต่รายละเอียดบางจุด…ไม่สมเหตุสมผล เช่น รอยกดบริเวณแขนสองข้าง รอยจางคล้ายเข็มจิ้มบ่อยครั้ง และเวลาการเสียชีวิตที่ขัดแย้งกับคำให้การผู้ปกครอง“มีใครปกปิดอะไรไว้…และหมออนลเองก็กำลังสงสัยสินะ”จันทร์สิตาลอบยิ้มบา
สายฝนที่โปรยลงกระทบกระจกหน้าต่างห้องพักหรูในย่านใจกลางเมืองทำให้ค่ำคืนนี้ดูนิ่งสงบอย่างแปลกประหลาด แต่สำหรับ จันทร์สิตา เจ้าของใบหน้าสวยคม หญิงสาวผู้เปลี่ยนเสน่ห์ให้เป็นอาวุธ เงินคือเป้าหมาย และความรักไม่เคยอยู่ในพจนานุกรมของเธอ ค่ำคืนนี้คือจุดเริ่มต้นของอีกหนึ่งภารกิจภารกิจที่มีเป้าหมายใหม่ "หมออนล"ร่างบางยืนอยู่หน้ากระจก สวมเดรสเข้ารูปสีดำทาปากด้วยลิปสติกสีแดงเข้ม มือเรียวถือแฟ้มเอกสารปลอม อีกข้างกำสร้อยเงินเล็ก ๆ ที่ใช้ซ่อนกล้องขนาดจิ๋ว“ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่มีทางรอดสายตาฉัน” มีงานไหนบ้างที่ยากเกินฝีมือเธอ ไม่มี อย่างมากก็แค่ตึงมือหน่อยเช้าวันรุ่งขึ้น โรงพยาบาลศิขรินทร์โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังที่ขึ้นชื่อเรื่องความเป็นส่วนตัวและปลอดภัยระดับสูง จันทร์สิตาก้าวเข้าสู่โถงต้อนรับอย่างมั่นใจในคราบของ "แพทย์นิติเวช" เธอเรียนจบเกี่ยวกับด้านพวกนี้มาจริงๆแต่คนในวงการบันเทิงไม่รู้ มีเพียงองค์กรใหญ่ของเธอที่รับรู้ เธอส่งรอยยิ้มให้เจ้าหน้าที่ต้อนรับด้วยแววตาที่ไม่เปิดเผยความคิดใด ๆหลังจากขั้นตอนแนะนำตัวและสัมภาษณ์เบื้องต้น เธอถูกเชิญไปที่ห้องประชุม และนั่นคือจุดที่เธอได้พบกับเขาเป็นครั้งแรก