“จริงๆเหรอจ๊ะยาย ข้าวโพดจะได้ทำงานจริงๆใช่ไหมจ๊ะ ไม่ใช่ว่าพอข้าวโพดไปถึงแล้วเค้าบอกว่าไม่รับ หรือรับคนอื่นไปแล้วนะ”
เสียงใสของชายหนุ่มนามว่า ข้าวโพด หรือ ภูตะวัน อิทธินานนท์ หนุ่มอายุ 22 ปี ที่เพิ่งจบปริญญาตรีจากรั้วมหาวิทยาลัยชื่อดังของรัฐในกรุงเทพ ถามผู้เป็นยายด้วยความดีใจที่ได้รับข่าวดีเรื่องงานจากยายที่ส่งเสียเขามาหลังจากที่พ่อกับแม่เขาเสียชีวิตลงกะทันหันด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ตอนนั้นหนุ่มน้อยเพิ่งจะเรียนอยู่ปีหนึ่ง ตอนนั้นเขาเคว้งไม่มีใครนอกจากยาย ตอนแรกจะหยุดเรียนแต่ทว่าเขายังพอมีเงินจากประกันชีวิตของพ่อกับแม่และเงินก้อนจากที่ทางคู่กรณีให้มาพอให้เขาได้ทุนมีเรียนต่อจนจบ บวกกับเงินที่ยายบุปผาส่งเสียให้เพราะไม่อยากให้หลานออกไปหางานพิเศษทำ อยากให้ตั้งใจเรียนให้จบอย่างเดียว เขาก็มุมานะเรียนจนจบปริญญาในที่สุด
พอได้ยินข่าวที่น่ายินดีที่ยายมาบอกข้าวโพดจึงดีใจที่จะได้ทำงานหาเลี้ยงยายตอบแทนยายที่เลี้ยงดูตัวเองมา ถึงแม้เด็กหนุ่มมจะจบจากมหาวิทยาลัยแล้วแต่ด้วยความที่เป็นคนผิวขาว ปากกระจับเล็กสีแดง แก้มแดงอย่างคนมีสุขภาพดี ร่างบางที่ไม่มีกล้าม หากมองดูเผินๆอาจเหมือนผู้หญิงผมสั้นหรือทอมบอยมากกว่าผู้ชาย ตอนดีใจตากลมโตขนตายาวงอนสวยเบิกกว้างช่างน่ารักเหลือเกินสำหรับคนเป็นยายมาก ดูยังไงหลายชายนางเหมือนยังอยู่ช่วงมอปลายอยู่ดี
“จริงๆ ซิ ยายจะโกหกข้าวโพดหลานรักของยายทำไม พอดีคนงานบัญชีของพ่อเลี้ยงกิตติภูมิท่านขาด แม่เลี้ยงกานดาที่เป็นแม่เลยบอกให้ยายมาบอกข้าวโพดไว้”
“โอยยยย ข้าวโพดดีใจจังเลยที่จะได้อยู่ใกล้ๆยาย“ แขนเรียวยกมาโอบกอดตัวเล็กๆของยายบุปผาไว้ด้วยความรัก ก่อนที่จมูกโด่งรั้นจะหอมแก้มยายฟอดใหญ่
“เขาจะให้ไปสมัครวันไหนเหรอจ๊ะยายจ๋า ข้าวโพดอยากไปเร็ว ๆ กลัวเขาเปลี่ยนใจ” เสียงเล็กบอกเพราะถ้าทิ้งไว้นานเผื่อนายจ้างเขาเลือกคนอื่นไปก่อนแล้วแย่เลย
“ข้าวโพดไม่เหนื่อยเหรอลูก พักก่อนไหมอีกสองวันเดี๋ยวยายพาไปนะ ยายอยากให้ข้าวโพดพักก่อน ยายจะได้อยู่กับข้าวโพดด้วย”
“อ้าว แล้วไปทำงานที่พ่อเลี้ยงอะไรนั่น จะไม่ได้อยู่กับยายเหรอจ๊ะ”
“ไม่ลูก ยายอยู่บ้านใหญ่ที่รีสอร์ต ถ้าข้าวโพดไปทำงานกับพ่อเลี้ยงต้องไปอยู่ที่ไร่ชาบนดอยกับพ่อเลี้ยง นานๆ มาทีถึงจะได้ลงมาหายาย ข้าวโพดจะอยู่ได้ไหมลูก”
“ได้ซิจ๊ะยายจ๋า ยังไงก็อยู่ใกล้ยายดีกว่าอยู่กรุงเทพอีก”
“งั้นข้าวโพดไปนอนเถอะลูก พักผ่อนเดี๋ยวอีกสองวันครบกำหนดลางานของยาย เดี๋ยวยายพาข้าวโพดไปเอง”
“นี่เหรอคะหลานชายของป้าผา น่าเอ็นดูมากเลยชื่อข้าวโพดด้วย น่ารักทั้งชื่อทั้งหน้าตาอยากได้เป็นลูกอีกคนเลย”
แม่เลี้ยงกานดาชอบใจและรู้สึกเอ็นดูข้าวโพดเมื่อเห็นหน้าทำไมหน้าตาน่ารักอย่างนี้ ถ้าป้าบุปผาไม่บอกว่าเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วแม่เลี้ยงไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด หน้าตาอย่างกับเด็กมัธยม ปากนิดจมูกหน่อย จมูกรั้นๆ นั่นน่าจะดื้อพอดู พวงแก้มใสอมชมพู ผิวเนียนขาว ตัวบางสมส่วน เห็นแล้วนึกถึงบอมบอมลูกชายของเธอเลย อยากให้พี่บลูลูกชายเธอมาเห็นจังเลย คนนี้แหละที่จะเป็นลูกสะใภ้ของเธอแน่นอน
“ขอบคุณนะครับแม่เลี้ยง” ข้าวโพดยิ้มหวานตาหยีอย่างดีใจที่แม่เลี้ยงกานดาเมตตาเอ็นดูตัวเอง อย่างน้อยการมีนายจ้างใจดีก็มีกำลังใจทำงานไปแล้วครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งก็ได้กำลังใจจากยายที่ข้าวโพดทั้งรักและเคารพ
“เรียกฉันว่าป้าเถอะหนูข้าวโพด เอ่อ หนูข้าวโพดถ้าหนูต้องขึ้นไปทำงานบนดอย อยู่แต่กับไร่ชาไม่มีความเจริญอะไร นานๆถึงจะได้ลงมาในเมืองที อาจจะเดือนละครั้งหรือสองครั้งหนูจะว่ายังไงจ๊ะ จะอยู่ได้ไหม”
แม่เลี้ยงกานดาถามข้าวโพดกึ่งบอกให้รับรู้ในสิ่งที่อีกคนต้องเจอถ้าจะต้องขึ้นไปทำงานกับพ่อเลี้ยงกิตติภูมิลูกชายของเธอ เพราะผู้ช่วยที่ผ่านๆมาอยู่กันได้ไม่นานด้วยยังติดความเจริญความสะดวกสบายอยู่ ที่เห็นหนูข้าวโพดยังเด็กอาจจะไม่ชอบชีวิตแบบนั้นไปเจอแล้วอยู่ไม่ได้ลาออกอีกเสียดาย ถ้าอยู่ไม่ได้แม่เลี้ยงก็จะให้ไปทำงานที่รีสอร์ตแทน ปล่อยไปทำงานที่อื่นไม่ได้คนนี้เธออยากจองไว้เป็นลูกสะใภ้จริงๆ
“ข้าวโพดคิดว่าข้าวโพดอยู่ได้ครับแม่เลี้ยง เอ่อ คุณป้า ที่จริงข้าวโพดชอบอยู่กับธรรมชาติมากกว่าครับ แต่ที่ไปเรียนไกลถึงกรุงเทพเพราะได้ทุนเฉยๆ ครับ อยู่ไร่ชาอย่างน้อยก็ได้อยู่ใกล้ๆ ยาย ได้เจอกันทุกเดือนที่สำคัญเงินเดือนเหลืออีกครับเพราะไม่มีอะไรให้ซื้อ แฮ่ะ แฮ่ะ”
ข้าวโพดรีบเปลี่ยนสรรพนามเรียกแม่เลี้ยงทันทีที่เห็นอีกคนทำหน้าดุใส่ และบอกในแง่มุมของตัวเองให้แม่เลี้ยงได้รับฟังซึ่งถูกใจแม่เลี้ยงกานดายิ่งนักนี่แหละลูกสะใภ้ที่เธออยากได้มานาน
“อ้าว นี่ใครกันล่ะแม่เลี้ยง” เสียงทุ้มของพ่อเลี้ยงธนาที่อุ้มเด็กน้อยตัวขาวอวบน่ารักไว้ในอ้อมแขนเดินมาร่วมวงสนทนาด้วยแล้วถามภรรยาที่รักเมื่อเห็นเด็กผู้ชายหน้าตาดีออกไปทางน่ารักนั่งคุยอยู่กับภรรยาสองคนที่ศาลาสวนดอกไม้หน้าบ้าน
“หนูข้าวโพดหลานของป้าผาที่จะมาดูแลพี่บลู เอ่อ ดูแลบัญชีให้พ่อเลี้ยงกิตติภูมิไงคะพ่อเลี้ยง หนูข้าวโพดนี่พ่อเลี้ยงธนาสามีของป้าเอง และตัวน้อยน่ารักนั่นลูกของลูกชายป้าชื่อน้องบูมจ้า” แม่เลี้ยงกานดาอุ้มเอาหลานชายเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนก่อนที่จะหยอกเล่น
“สวัสดีครับพ่อเลี้ยง ผมข้าวโพดหลานของยายบุปผาครับ” ข้าวโพดยกมือทำความเคารพพ่อเลี้ยงธนาด้วยความนอบน้อมสร้างความเอ็นดูแก่พ่อเลี้ยงผู้เป็นนายใหญ่ของเลิศธนาธีรกานต์ตั้งแต่แรกเจอ
“จบอะไรมานะลูก บัญชีโดยตรงใช่ไหมเห็นป้าผาบอกถ้าลุงจำไม่ผิด”
พ่อเลี้ยงถามด้วยความเอ็นดูในความเป็นเด็กนอบน้อมและความน่ารักสดใสของคนเด็กกว่า รู้แล้วว่าทำไมแม่เลี้ยงผู้เป็นภรรยาถึงได้ดูรักเด็กคนนี้จังเห็นมองตาเป็นประกายยิ้มไม่หุบต้องมีแผนอะไรในใจเเน่ๆ ตัวพ่อเลี้ยงเองเลยเนียนอยากเป็นลุงเสียเลย
“อ่อ ใช่ครับ”
“ดีเลยลูก มาอยู่ด้วยกันนะ มาช่วยกันหน่อยพอดีไร่ชาของลูกชายลุงต้องการนักบัญชีเก่งๆ และคนดูแลอย่างหนูข้าวโพดอยู่พอดี บุญพาวาสนาจริงๆ ที่ได้หนูข้าวโพดมา” พ่อเลี้ยงธนาเริ่มจะจีบเด็กหนุ่มหน้าใสให้มาช่วยงานลูกชาย
“ขอบคุณนะครับทั้งพ่อ เอ่อ คุณลุงและคุณป้าที่กรุณาต่อข้าวโพดถึงข้าวโพดจะไม่มีประสบการณ์ในการทำงานจริงๆนอกจากตอนฝึกงานแต่ข้าวโพดก็จะพยายามช่วยเหลืองานในไร่ให้ได้มากที่สุดครับ” คนพูดพนมมือเรียวไหว้ขอบคุณพ่อเลี้ยงและแม่เลี้ยงผู้มีบุญคุณต่อทั้งตัวเองและยาย
“หนูข้าวโพดพร้อมที่จะเริ่มงานไหมจ๊ะ ป้าจะได้ตามพ่อเลี้ยงกิตติภูมิเจ้าของไร่เขามาทำความรู้จักพร้อมกับรับตัวไปทำงานเลยส่วนเงินเดือนไปตกลงกับเจ้าของไร่เค้าเอานะทั้งเรื่องเงินเดือนและทำสัญญา” แม่เลี้ยงกานดาแทบจะทนไม่ไหวอยากให้ลูกชายมาเจอกับเด็กหนุ่มที่เธอแอบมาดหมายไว้ให้เป็นลูกสะใภ้เร็วๆ
“พร้อมเริ่มได้เลยครับ” เด็กหนุ่มตอบรับตอนนี้เขาทั้งดีใจที่ได้มาอยู่ใกล้ยายทั้งดีใจที่ได้งานและอดจะตื่นเต้นไม่ได้ที่จะได้เริ่มงานมีเงินเดือนเป็นของตัวเองสักที
หลังจากบทสนทนานั้น บรรยากาศในบ้านกลับมาผ่อนคลาย พ่อแม่ของพันธกรเริ่มพูดคุยกับภาณุพงศ์อย่างเปิดใจมากขึ้น ความตึงเครียดและความไม่ไว้วางใจที่เคยมีก็เริ่มหายไป พวกท่านเริ่มเห็นถึงความเป็นคนดีและความจริงใจของภาณุพงศ์ ในช่วงเย็น พ่อของพันธกรยิ้มออกมาเป็นครั้งแรก ขณะที่พูดคุยกับภาณุพงศ์เกี่ยวกับอนาคต “ลูกเขยแบบเธอก็ดูไม่เลวเลยนะ ถ้าทำได้อย่างที่พูดไว้ พ่อก็คงไม่มีอะไรต้องห่วง” พ่อของพันธกรพูดพร้อมกับหัวเราะเบาๆ “ขอบคุณครับพ่อ ผมจะทำให้ดีที่สุด” ภาณุพงศ์ยิ้มรับ พันธกรยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ เขาไม่เคยคิดเลยว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ แต่เมื่อได้เห็นพ่อแม่ยอมรับตัวตนของเขาและภาณุพงศ์ เขาก็รู้สึกว่าทางเดินที่เคยยากลำบากนั้นได้เปิดกว้างขึ้นแล้ว แสงแดดยามเช้าสาดส่องลงบนทุ่งดอกดาวเรืองที่บานสะพรั่ง ทุ่งดอกไม้สีเหลืองทองสว่างสดใสทำให้บรรยากาศรอบๆ เต็มไปด้วยความอบอุ่นและความสงบ พันธกรยืนมองดอกไม้ที่เขาใช้เวลาหลายปีในการดูแลด้วยความรักและภาคภูมิใจ แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ยืนอยู่คนเดียว ข้างๆ เขาคือภาณุพงศ์ คนที่เขารัก ซึ่งตอนนี้นายตำรวจหนุ่มจับมือพันธกรไว้แน่น ทั้งคู่ยืนเคียงข้างกัน มองดูทุ่งดอกดาวเรือ
พันธกรยืนอยู่กลางทุ่งดาวเรืองที่เคยเป็นความภาคภูมิใจของเขา แต่ทุกอย่างรอบตัวกลับดูไร้สีสันและไม่มีชีวิตชีวาเหมือนเมื่อก่อน หลังจากที่พ่อแม่พยายามกีดกันความสัมพันธ์ของเขากับภาณุพงศ์ และบังคับให้เขาอยู่ในกรอบของครอบครัว ชีวิตของพันธกรก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปเขาไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยออกไปพบปะใคร และไม่สนใจสิ่งที่เคยทำให้เขามีความสุขอีกต่อไป ทุกวันเขาแค่ทำงานตามหน้าที่ ร่างกายทำงานไปตามปกติ แต่หัวใจกลับแห้งแล้งเหมือนถูกกักขังในกรงแห่งความทุกข์แม่ของพันธกรมองดูลูกชายด้วยความเจ็บปวดใจ ในสายตาของเธอ เขากลายเป็นคนเงียบขรึมและหม่นหมองไปอย่างเห็นได้ชัด เธอไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อน ตั้งแต่วันที่เธอและสามีกีดกันความรักของเขา เขาก็ไม่เคยยิ้มอย่างจริงใจอีกเลย"พ่อ พ่อลองมองดูลูกของเราซิ ตั้งแต่วันนั้นที่เราห้ามเขา เขาก็ไม่เหมือนเดิมอีกเลย" คนเป็นแม่พูดกับพ่อด้วยน้ำเสียงกังวลและทุกข์ใจพ่อของพันธกรซึ่งแม้จะภายนอกยังดูแข็งกร้าว แต่ภายในใจกลับรู้สึกถึงความเจ็บปวดไม่ต่างกัน เขาเองก็รู้ว่าลูกชายของเขาไม่ได้มีความสุขเหมือนที่เคยเป็น เขาได้แต่ถอนหายใจยาวออกมาก่อนจะเอ่ยกับภรรยาคู่ชีวิต"พ่อแค่ไม่อยากให้ลู
หลังจากการเผชิญหน้ากับภาณุพงศ์ พันธกรยังคงใช้เวลาส่วนใหญ่ในไร่ดอกดาวเรือง ความสงบของธรรมชาติที่ล้อมรอบเขาเป็นเหมือนเครื่องปลอบประโลมความคิดที่ยังคงยุ่งเหยิงอยู่ในใจ แม้ว่าเขาจะปฏิเสธภาณุพงศ์ไปและไล่ภาณุพงศ์กลับไปเชียงใหม่ในตอนแรก แต่ความจริงคือคำพูดของภาณุพงศ์ยังคงก้องอยู่ในหัวใจของเขา ความจริงใจที่เห็นในสายตา และน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกเสียใจและรัก ทำให้พันธกรเริ่มรู้สึกถึงความหวั่นไหวในใจ เขานั่งลงใต้ร่มไม้ มองดูดอกดาวเรืองที่เริ่มเปลี่ยนสีเมื่อแสงแดดตกกระทบ มันทำให้เขานึกถึงช่วงเวลาที่ดีระหว่างเขากับภาณุพงศ์ก่อนที่ทุกอย่างจะเริ่มซับซ้อน ความทรงจำเหล่านั้นทำให้พันธกรอดคิดไม่ได้ว่า บางทีเขาอาจไม่สามารถตัดใจจากภาณุพงศ์ได้อย่างที่เขาตั้งใจ ขณะที่กำลังจมอยู่กับความคิด โทรศัพท์ของพันธกรดังขึ้น ชื่อของภาณุพงศ์ปรากฏบนหน้าจอ เขามองมันอยู่นานก่อนจะตัดสินใจรับสาย ด้วยน้ำเสียงที่นิ่ง "ว่าไง" ถึงแม้พันธกรจะข่มเสียงให้นิ่ง แต่ในใจตอนนี้เขากลับเต้นรัว เพราะเสียงที่ภาณุพงศ์ตอบกลับมากลับเป็นเสียงที่อ่อนโยน "พี่แค่อยากถามว่าพันสบายดีไหม พี่รู้ว่าพันคงกำลังเครียดกับหลายๆ เรื่อง" "ก็ดี
วันนี้เป็นวันที่ฟ้าครึ้มเล็กน้อย ลมพัดเบาๆ ภาณุพงศ์กำลังนั่งดื่มกาแฟอยู่ในคาเฟ่ประจำ เขาตั้งใจใช้เวลาว่างจากงานเพื่อลองจัดการความรู้สึกที่ยังคงค้างคาใจเกี่ยวกับพันธกร แม้จะพยายามลืมแต่ในใจลึกๆ เขายังคงนึกถึงอยู่เสมอทุกครั้งที่เขาว่างในขณะที่เขากำลังจะลุกขึ้นไปจ่ายเงิน เขาก็เห็นข้าวโพดเดินเข้ามาในร้าน ภาณุพงศ์จึงเดินเข้าไปทักทาย“น้องข้าวโพด มาทำอะไรแถวนี้ครับ”“อ้าว พี่พงศ์ ไม่คิดว่าจะเจอกันที่นี่ ข้าวโพดอยากมาทานเค้กร้านนี้ครับก็เลยบังคับให้เฮียบลูพามา แล้วพี่พงศ์ล่ะครับ”“ก็เหมือนเดิม พักนี้ยุ่งๆ เลยหาที่นั่งสงบๆ คิดอะไรนิดหน่อย แล้วนี่ไอ้บลูล่ะ”“เฮียบลูคุยโทรศัพท์กับลูกค้าอยู่ครับ ข้าวโพดเลยเดินเข้ามาก่อน” ข้าวโพดบอกเพื่อนสามีและมองภาณุพงศ์เหมือนกำลังชั่งใจว่าจะพูดดีหรือไม่“เอ่อ พี่พงศ์รู้ไหมครับ ว่าพี่พันเพิ่งมาหาที่เชียงใหม่เมื่อวาน”ภาณุพงศ์ตกใจที่ได้ยิน หัวใจเต้นตึกตักที่ได้ยินเพียงแค่ชื่อของคนที่อยู่ในความคิดของเขาตลอด“พะ พันมาที่นี่ เขามาที่นี่เหรอ”“ใช่ครับ พี่พันมาหาข้าวโพดเมื่อวาน และเขาบอกอยากเจอพี่มาก และมีอะไรจะบอกพี่พงศ์ แต่…” ข้าวโพดหยุดพูดเหมือนกลืนไม่เข้าคายไม่อ
ในบรรยากาศของบ้านไม้สักเก่าแก่หลังใหญ่ที่เชียงคาน พันธกรนั่งฟังพ่อและแม่พูดคุยเรื่องการเตรียมงานแต่งงานที่พ่อเขาได้ตกลงกันไว้กับทางครอบครัวของอิงอรไปแล้วโดยไม่ถามความเห็นของเขา วันที่ถูกกำหนดไว้แน่นอนแล้ว เป็นการตกลงที่รวดเร็วเกินไป ทำให้พันธกรรู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าสู่เส้นทางที่เขาไม่ได้ต้องการ “พ่อกับแม่คุยกับครอบครัวหนูอิงเรียบร้อยแล้ว งานแต่งจะจัดเดือนหน้า” พ่อของพันธกรพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ถือว่าเป็นเรื่องดีสำหรับครอบครัวเรา อีกไม่นานแม่ก็จะได้เห็นหลานเต็มบ้านเต็มเมือง” แม่ของเขาพูดเสริมขึ้นพร้อมด้วยรอยยิ้มที่ส่งมาให้เขาอย่างอบอุ่นและคาดหวัง พันธกรได้แต่พยักหน้ารับคำ แม้ภายนอกจะดูสงบนิ่ง แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความสับสนและความทุกข์ใจ เขายังคงคิดถึงภาณุพงศ์อย่างห้ามไม่ได้ ความรู้สึกที่เคยคิดว่าจะจางหายไปกลับทวีความรุนแรงขึ้น เมื่อเขาต้องเผชิญกับการตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิต ไม่กี่วันต่อมา พันธกรตัดสินใจเดินทางไปเชียงใหม่เพื่อหาโอกาสระบายความอึดอัดใจให้กับข้าวโพด ซึ่งเป็นญาติผู้น้องที่เขาสนิทและไว้ใจ เขารู้ว่าข้าวโพดเป็นคนเดียวที่เขาจะพูดคุยด้วยได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกตัดสิน
บรรยากาศในบ้านของพันธกรดูสดใสขึ้นตั้งแต่เขากลับมาอยู่ที่เชียงคาน แต่ในใจของเขากลับรู้สึกอึดอัดมากขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะเมื่อต้องเจอกับแรงกดดันจากพ่อของเขา วันนี้พ่อเขาโทรมาหาให้เขาไปทานข้าวและนอนที่บ้านมีเรื่องจะคุยด้วย เขาซึ่งปกตินอนที่บ้านที่ไร่ดอกดาวเรืองเลยต้องเข้ามาหาพ่อกับแม่ผู้ให้กำเนิด “พ่อคิดว่าอิงอรเป็นผู้หญิงที่เหมาะสมกับลูก” พ่อพูดขณะนั่งจิบชาหลังอาหารเย็น “เธอเป็นคนดี เรียนเก่ง แถมยังช่วยงานพ่อแม่ของเธอได้เยอะ พ่อว่าถ้าลูกได้ใช้เวลากับเธอมากกว่านี้ อาจจะเห็นอะไรดีๆ มากขึ้นก็ได้” พันธกรรู้ดีว่าพ่อของเขาตั้งใจจะให้เขาแต่งงานและตั้งหลักปักฐานตามแบบที่ครอบครัวคาดหวังไว้ เขาไม่ได้อยากทำให้พ่อผิดหวัง เขาจึงพยักหน้ารับด้วยความจำใจ “ได้ครับพ่อ ผมจะลองออกไปเจอเธอดู” วันเสาร์เช้าตรู่ อิงอรกับครอบครัวของเธอปรากฏตัวที่บ้านพ่อกับแม่ของพันธกรในชุดเดรสเรียบๆ แต่ดูน่ารัก เธอมาพร้อมกับรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความตั้งใจจะทำให้วันนี้เป็นวันที่น่าจดจำสำหรับพวกเขาทั้งคู่ “สวัสดีค่ะ พี่พัน” อิงอรยิ้มอย่างเป็นกันเอง “วันนี้เราจะไปไหนกันดีคะ” พันธกรพยายามฝืนยิ้มกลับ “เดี๋ยวผมพาไปเดินเล่นริมโขงนะ